พระอัญญาโกณฑัญญะ
เอตทัคคะในทางรัตตัญญู
พระอัญญาโกณฑัญญะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ในหมู่บ้านโทณวัตถุ ไม่ห่างไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ เดิมชื่อ โกณฑัญญะ เมื่อเจริญเติบโตขึ้นได้ศึกษาศิลปวิทยาจบไตรเพท และวิชาการทำนายลักษณะอย่างเชี่ยวชาญ
ร่วมทำนายพระลักษณะ
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะพระบิดา ได้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาเลี้ยงโภชนาหารในพระราชนิเวศน์ เพื่อทำพิธีทำนายพระลักษณะ ตามประเพณี ให้คัดเลือกพราหมณ์ผู้มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษจาก ๑๐๘ คน เหลือเพียง ๘ คน และมีโกณฑัญญะมีอายุน้อยที่สุดจึงทำนายเป็นคนสุดท้าย
ฝ่ายพราหมณ์ ๗ คน ได้พิจรณาตรวจดูพระลักษณะของสิทธัทถะอย่างละเอียด เห็นต้องตามตำรามหาบุตรลักษณะพยาการณ์ศาสตร์ ครบทุกประการแล้ว จึงยกนิ้วมือขึ้น ๒ นิ้ว เป็นลักษณะในการทำนายเป็น ๒ นัยเหมือนกันทั้งหมดว่า
พระราชกุมารนี้ ถ้าดำรงอยู่ในเพศฆราวาส จักได้เป็นพระเจ้าจักพรรดิปราบปรามได้รับชัยชนะทั่วปฐพีมณฑล โดยอุบายอันชอบธรรม แต่ถ้าออกบรรพชาประพฆตพรตพรหมจรรย์ จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกในโลก แนะนำสั่งสอนเวไนยสัตย์ โดยไม่มีศาสดาอื่นยิ่งไปกว่า
ส่วนโกณฑัญญพราหมณ์ ได้สั่งบารมีมาครบถ้วนตั้งแต่อดีตชาติ และการเกิดในภพนี้ก็จะเป็นภพสุดท้าย จึงมีปัญญามากกว่าพราหมณ์ทั้ง ๗ คนแรก ได้พิจารณาตรวจดูพระลักษณะของพระกุมาร โดยละเอียดแล้ว ได้ยกนิ้วขึ้นเพียงนิ้วเดียวเป็นการยืนยันการพยากรณ์อย่างเด็จเดี่ยวเป็นนัยเดียวเท่านั้นว่า พระราชกุมาร ผู้บริบูรณ์ด้วยมหาบุรษลักษณะอย่างนี้ จะไม่อยู่ครองเพศฆรวาสอย่างแน่นอน จักต้องเสด็จออกบรรพชา และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมิต้องสงสัย
ออกบวชติดตามสิทธัตถะ
ครั้นกาลเวลาล่วงเลยมาถึง ๒๙ ปี เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบรรพชา โกณฑัญญพราหมณ์ทราบข่าวก็ดีใจ เพราะตรงกับคำทำนายของตน จึงรีบไปชวนบุตรของพราหมทั้ง ๗ คนที่ร่วมทำนายด้วยกันนั้น โดยกล่าวว่า
บัดนี้ เจ้าชายสิทธัทถราชกุมาร โอรสของพระเจ้าสุทโธทะนะ เสด็จออกบรรพชาแล้ว พระองค์จักได้ตรัสรุ้เป็นพระสัพญญูเจ้าแน่นอน ถ้าบิดาของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะออกบวชด้วยกันกับเรา ถ้าท่านทั้งหลายปรารถนาจะบวชก็จงบวชตามเสด็จพระมหาบุรุษพร้อมกันเถิด
บุตรพรหามณ์เหล่านั้น ยอมออกบวชเพียง ๔ คน คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และ อัสสชิ โกณฑัญญะจึงพามาณพทั้ง ๔ คนนั้นพร้อมทั้งตนด้วยรวมเป็น ๕ ได้นามบัญญัติว่า ปัญจวัคคีย์ ออกบวชสืบเสาะติดตามถามหาพระมหาบุรุษไปตามวถานที่ต่าง ๆ จนมาพบพระองค์กำลังบำเพ็ญความเพียรอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
ด้วยความมั่นใจว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างแน่นอน จึงพากันเข้าไปอยู่เฝ้าทำกิจวัตรอุปัฏฐากด้วยการจัดน้ำใช้น้ำฉัน และปัดกวาดเสนาสนะ เป็นต้น ด้วยหวังว่าเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จะได้แสดงธรรมโปรดพวกตนให้รู้ตามบ้าง
เมื่อพระมหาบุรุษ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอุกฤษฎ์เป็นเวลาถึง ๖ ปี ก็ยังไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณ จึงทรงพระดำริว่า วิธีนี้คงจะไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงทรงเลิกละความเพียรด้วยวิธีทรมานกาย หันมาบำเพ็ญเพียรทางจิต เลิกอดพระกระยาหาร กลับมาเสวยตามเดิม เพื่อบำรุงพระวรกายให้แข็งแรง
ปัญจวัคคีย์ปลีกตัวหลีกหนี
ฝ่ายปัญจวัคคีย์ ผู้มีความเลื่อมใสในการปฏิบัติ แบบทรมานร่างกาย ครั้นเห็นพระโพธิสัตว์เจ้าละความเพียรนั้นแล้ว ก็รู้สึกหมดหวัง จึงพากันหลีกหนีทิ้งพระโพธิสัตว์เจ้าให้ประทับอยู่ตามลำพังพระองค์เดียว พากันเที่ยวสัญจรไปพักอาศัยอยู่ป่าอิสิปตรมฤคทายวัน กรุงพาราณสี
ครั้นพระโพธิสัตว์เจ้า ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงดำริพิจารณาหาบุคคลผู้สมควรจะฟังประปฐมเทศนา และตรัสรู้ตามได้โดยเร็วในชั้นแรก พระองค์ทรงระลึกถึงอาจารย์ทั้งสองที่พระองค์เคยเข้าไปศึกษา คือ อาฬารดาบทกาลามโคตร แต่ได้ทราบว่าท่านได้ถึงแก่กรรมไปได้ ๗ ัวนแล้ว และอีกท่านหนึ่งคือ อุทกดาบสรามบุตร แต่ก็ทราบด้วยพระญาณว่าท่านเพิ่งจะสิ้นชีพไปเมื่อวันวานนี่เอง
ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ผู้ซึ่งเคยอุปการคุณแก่พระองค์เมื่อสมัยทำทุกรกิริยา และทรงทราบว่าขณะนี้ท่านทั้ง ๕ พักอาศัย อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงเสด็จพุทธดำเนินไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ฝ่ายปัจวัคคีย์ นั่งสนทนากันอยู่ เห็นพระพุทธองค์เสด็จมาแต่ไกล เข้าใจว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อแสวงหาผู้อุปฏฐาก จึงทำกติกากันว่า
พระสมณโคดมนี้ คลายความเพียรแล้วเวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมากพวกเราไม่ควรไหว้ ไม่ควรลุกขึ้นต้อนรับ ไม่รับบาตรและจีวรของพระองค์เลย เพียงแต่จัดอาสนะไว้ เมื่อพระองค์ปรารถนาจะประทับนั่ง ก็จงนั่งตามพระอัธยาศัยเถิด
ครั้นพระพุทธองค์เสด็จมาถึง ต่างพากันลืมกติกาที่นัดหมายกันไว้ กลับทำการต้อนรับเป็นอย่างดีดังที่เคยกระทำมา แต่ก็ยังใช้คำทักทายว่า อาวุโส และเรียกพระนามว่า โคดม อันเป็นถ้อยคำที่แสดงความไม่เคารพ ดังนี้ พระพุทธองค์ทรงห้ามแล้วตรัสว่า
อย่าเลย พวกเธออย่ากล่าวอย่างนั้น บัดนี้ ตถาคตได้บรรลุอมตธรรมเองโดยชอบแล้ว เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังเถิด เราจะแสดงให้ฟัง เมื่อเธอปฏิบัติ ตามที่เราสอนแล้ว ไม่นานก็บรรลุอมตธรรมนั้น
อาวุโสโคดม แม้พระองค์บำเพ็ญเพียรอย่างอุกฤษฎ์เห็นปานนั้น ก็ยังไม่บรรลุธรรมพิเศษอันใด บัดนี้ พระองค์คลายความเพียรนั้นแล้วหันมาปฏิบัติเพื่อความเป็นคนมักมาก แล้วจะบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร ?
พระพุทธองค์ ตรัสเตือนปัญจวัคคีย์ให้ระลึกถึงความหลังว่า ท่านทั้งหลายจำได้หรือไม่ว่า วาจาเช่นนี้ เราเคยพูดกับท่านบ้างหรือไม่ ปัญจวัคคีย์ระลึกขึ้นได้ว่า พระองค์ไม่เคยตรัสมาก่อนเลย จึงยินยอมพร้อมใจกับฟังพระธรรมเทศนาโดยเคารพ
ฟังปฐมเทศนา
พระพุทธองค์ ทรงประกาศพระสัพพัญญุตญาณแก่เหล่าปัจวัคคีย์ โดยตรัสพระธรรมจักรกัปวัตรสูตร เป็นปฐมเทศนา ซึ่งเนื้อความในพระธรรมเทศนานี้ พระพุทธองค์ทรงตำหนิหนทางปฏิบัติอันไร้ประโยชน์ ๒ ทาง ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ คือ
๑ กามสุขัลลิกานุโยค การปฏิบัติที่ย่อหย่อนเกินไป แสวงหาแต่กามสุขอันพัวพันหมกมุ่นแต่รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ซึ่งเป็นสิ่งเลวทราม เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน เป็นกิจขอบคนกิเลสหนา มิใช่ของพระอิริยะ มิใช่ทางตรัสรู้หาประโยชน์มิได้
๒ อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติตนให้ได้รับความลำบาก เคร่งครัดเกินไป กระทำตนให้ได้รับความทุกข์ทรมาน เป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่า ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ทางแห่งความหลุดพ้น
จากนั้น พระพุทธองค์ตรัสชี้แนะวิธีปฏบัติ แบบ มัชฌิมาปฏิปทา คือการปฏิบัติแบบกลาง ๆ ไม่ย่อหย่อนเกินไปแบบประเภทที่หนึ่ง และไม่ตึงเกินไปแบบประเภทที่สอง ดำเดินทางสายกลางซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เรียกว่า อริอัฏฐังคิกมรรค ซึ่งชี้ให้ดำเนินตามสายกลาง คือ มรรคมีองค์ ๘ ประการ ได้แก่
๑ สัมมาทิฏฐิ (ปัญญาเห็นในอริยสัจ ๔)
๒ สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ ( ดำริออกจากกาม เบียดเบียนพยาบาท)
๓ สัมมาวาจา เจรจาชอบ ( เว่นจากวจีทุจริต ๔)
๔ สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ ( เว่นจากกายทุจริต ๓ )
๕ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ (เว่นจากเลี้ยงชีพในทางที่ผิด)
๖ สัมมาวายามะ เพียรชอบ ( เพียรละความชั่วทำความดี)
๗ สัมมาสติ ระลึกชอบ (ระลึกในสติปัฏฐาน ๔)
๘ สัมมาสมาธิ ตั้งจิตไว้ชอบ ( เจริญฌานทั้ง ๔)
พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า ทางสายกลางนี้แหละพระองค์ตรัสรู้มาด้วยปัญญาอันสูง เป็นทางทำให้ดำเนินไปถึงความสงบ
เมื่อจบพระธรรมเทศนา ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากมลทิน เกิดแก่โกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา
พระพุทธองค์ ทรงทราบว่า โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนาแล้ว จึงแปล่งอุทานด้วยความพอพระทัยด้วยพระดำรัสว่า
อญฺญาสิ ว ต โภ โกณฑญฺโญ อญญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ
ซึ่งแปลว่า โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ
ด้วยพระพุทธดำรัสนี้ คำว่า อัญญา จึงเป็นคำนำหน้าชื่อของท่านโกณฑัญญะ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนเป็นที่รู้ทั้วกันว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ
พระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา
ต่อจากนั้น ท่านได้กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทให้ด้วยพระดำรัสว่า
เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด
ด้วยพระวาจาเพียงเท่านี้ โกณฑญญะ ก็สำเร็จเป็นพระภิกษุในพระพุทธศานา นับว่าเป็นพระสงฆ์รูปแรกในโลก และการอุปสมมบทด้วยวิธีนี้เรียกว่า
เอหิภิกขุอุปสมปทา
วันต่อ ๆ มา ท่านที่เหลืออีก ๔ คน ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน และอุปสมบทด้วยกันทั้งหมด พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า พระปัญจวัคคีย์มีญาณแก่กล้า พอที่จะบรรลุธรรมเบื้องสูงได้แล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนา อนันนลักขณสูตร คือสุตรที่แสดงลักษณะแห่งเบญจขันธ์ว่าเป็นอนัตตาควาวมไม่มีตัวตน โปรดพระปัญจวัคคีย์ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอเสขบุคคลด้วยกันทั้งหมด ขณะนั้น มีพระอรหันต์ เกิดขึ้นในโลก ๖ องค์รวมทั้งพระบรมศาสดาด้วย
ได้รับยกย่องทางรัตตัญญู
พระอัญญาโกฑัญญะ เมื่ออกพรรษาแล้ว พระพุทธองค์ทรงส่งออกไปประกาศพระศาสนาพร้อมกับพระวาวกรุ่นแรกจำนวน ๖๐ รูป ท่านได้เดินทางไปยังบ้านเดิมของท่าน ได้นำหลานชายชื่อ ปุณณมันตานี ซึ่งเป็นบุตรของนางมันตานี ผู้เป็นน้องสาวของท่านมาบวช และได้ชื่อว่า พระปุณณมันตานีบุตรเถระ
เพราะความที่ท่านเป็นพระเถระ ผู้มีอายุกาลมาก มีประสบการณ์มาก จึงได้รับยกย่อมจากพระบรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้รัตตัญญู หมายถึง ผู้รู้ราตรีนาน
บั้นปลายชีวิต
พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระเถระผู้เฒ่า ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะชอบหลีกเร่นอยู่ในสถานที่อันสงบวิเวกตามลำพัง ในคัมภีร์มโนรถปูรณี และคัมภีร์ธุรัตถวิลาสิรี กล่าวไว้ตรงกันว่า เป็นดวลา ๑๒ ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพานท่านได้กราบทูลลาพระบรมศาสดาไปจำพรรษา ณ ป่าหิมพานต์ ตามลำพังนอกจากต้องการความสงบดังกล่าวแล้ว ยังมีเหตุผลส่วนตัวของท่านอีก ๓ ประการ คือ
; ๑ ท่านไม่ประสงค์จะเห็นพระอัครสาวก คือ พระสารีบุตรเถระ และ พระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็นกำลังสำคัญในการช่วยแบ่งเบาภาระของพระพุทธองค์ ในกิจการพระศาสนาด้านต่าง ๆ ที่ต้องมาแสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระผู้เฒ่าชราอย่างท่าน ซึ่งสังขารนับวันจะร่วงโรย และแตกดับเข้าไปทุกขณะ
๒ ท่านได้รับความเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ที่ต้องคอยนต้อนรับผู้ไปมาหาสู่ ซึ่งมีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ การอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้านจึงไม่เหมาะสมสำหรับพระแก่ชราอย่างท่าน
๓ ท่านเบื่อหน่ายในความดื้อรั้น ของพระสัทธิวิหาก รุ่นหลัง ๆ ที่มักประพฤตินอกลู่นอกทาง ห่างไกลจากการบรรลุมรรผล
ท่านได้อยู่จำพรรษาในป่าหิมพานต์ บริเวณใกล้สระฉัททันต์ เป็นเวลานาน ๑๒ ปี วันที่ท่านจะนิพพาน ท่านพิจารณาอายุสังขารแล้ว ได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อกราบทูลลานิพพาน ครั้นพระพุทธองค์ประทานอนุญาตแล้ว ท่านเดินทางกลับยังป่าหิมพานต์ และนิพพานในบรรณศาลาที่พักริมสระฉัททันต์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกจำนวนมาก ได้เสด็จไปทำฌาปนกิจศพให้ท่าน....
เล่ากันว่า วันเผาศพท่านมีสัตว์ป่านานาชนิดมาชุมนุมกันอย่างเนืองแน่น ร่างกายของท่านมอดไหม้ไปท่ามกลางความอาลัยรักของศัตว์ป่าเหล่านั้น....
|
|
|