พระบัวเข็ม
พระอุปคุตต์ทรมานพระยามาร
   กาลครั้งนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชทรงดำริว่า จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ที่สร้างไว้นั้น เพื่อจะได้เป็นที่สักการบูชาแห่งทวยเทพ และมวนมนุษย์ทั่วทุกประเทศพระพุทธศาสนาจะได้แผ่ไปอย่างกว้างขวางและวัฒนาสถาพรสืบต่อไป และพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะกระทำ มหกรรม คือการฉลองใหญ่พระเจดีย์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ องค์ทุก ๆ พระนครทั่วสกลชมพูทวีปกับพระมหาสถูปนั้นด้วย พระองค์จึงทรงดำริว่า “ เราจะกระทำการฉลองพระสถูปเจดีย์ทั้งหลาย ทั้งจะกระทำมหาสักการบูชาให้ครบกำหนด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จึงจะสมควรกับศรัทธาปสาทะของเรา ทำอย่างไรจึงจักไม่มีอันตรายในการบำเพ็ญกุศลครั้งนี้ เราควรถามพระอริยสงฆ์ดีกว่า ว่าจะช่วยกันคิดหาทางป้องกันประการใด ”

   พระองค์ทรงเสด็จไปสู่พระวิหาร พร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เมื่อทรงนมัสการพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายแล้วประทับ ณ สถานที่อันควร จึงตรัสกับพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าจงช่วยค้นหาพระภิกษุผู้มี มหิทธานุภาพมาเพื่อป้องกันอันตรายในงานมหกรรม คือการบุชา เพื่อฉลองพระสถูปเจดีย์ของโยมที่จะจัดให้มีขึ้นถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ในครั้งนี้แก่โยมด้วยเถิด ”

   พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว ถวายพระพรว่า “ ขอถวายพระพระบรมบพิตรพระราชสมภาร พระราชปริวิตกของพระมหาบพิตรนี้ อาตมาภาพจะขอรับภารธุระแสวงหาและเลือกพระภิกษุผู้ทรง อิทธิฤทธิ์ มาช่วยการกระทำมหากรรมในครั้งนี้ ขอถวายพระพร ”

   พระเจ้าอโศกมหาราชทรงโสมนัสอย่างยิ่งต่อถ่อยคำรับรองของพระเถระแล้วทรงนมัสการลาเสด็จกลับพระราชนิเวศน์

   พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด ได้ช่วยกันพิจารณาหาเหตุแห่งอันตรายในการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ได้เห็นอันตรายแน่ชัดนั้นว่า จะมีพระยามารมาทำลายพิธีกรรมในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในครั้งนี้อย่างแน่นอน จึงได้ปรึกษากันว่า ผู้มีฤทธิ์เดชที่จะสามารถต่อสู้ป้องกันภัยพิบัติอันตรายจากพระยามารในครั้งนี้ได้

   ครั้นรุ่งขึ้นได้สองวันแล้วก็ยังหาผู้ที่มีความสามารถที่จะปราบพระยามารในครั้งนี้ไม่ได้ ในขณะนั้นเอง ได้มีพญานาคตัวหนึ่งได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามจึงได้ขึ้นมาจากนาคพิภพเพื่อจะนมัสการพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ในเวลาที่พญานาคได้ถวายวันทนาการพระภิกษุสงฆ์อยู่นั้นก็พอดีมีพญาครุฑตัวหนึ่งบินผ่านมาได้เหลือบแลลงมาเห็นพญานาคเข้า ก็คิดว่าวันนี้ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้อาหารอันโอชะเป็นเลิศช่างเป็นลาภปากของแท้ ๆ ที่บินผ่านมาที่นี้ ว่าแล้วก็บินโฉบลงมาเสียงลมปีกกระพือตัดอากาศเสียงดังสนันหวั่นไหว

   ฝ่ายพญานาคได้ยินเสียงนั้น ก็รู้ได้ในทันทีถึงอันตราย ด้วยสัญชาตญาณว่า นั้นคือเสียงลมปีกกระพือของพญาคุรฑ ถึงกับสะดุ้งตกใจกลัวจนตัวสั่น จะชำแรกแทรงแผ่นดินหนีลงไปก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว จึงได้เข้าไปหลบอยู่ในระหว่างเท้าของพระสังฆ์เถระทั้งหลายและได้ร้องวิงวอนขอร้องว่า “ ขอพระคุณเจ้าจงช่วยป้องกันชีวิตของข้าพระเจ้าด้วยเถิด ”

   พระสังฆเถระเหล่านั้นได้กล่าวกับพญานาคว่า “ อาตมาไม่อาจช่วยป้องกันชีวิตของท่านได้หรอก พญานาค ”

    ในที่สังฆสันนิบาตนั้น ( ประชมสงฆ์ ) ได้มีสามเณรอาคันตุกะรูปหนึ่ง อายุประมาณ ๗ ขวบ นั่งอยู่ข้างหน้าอาสนของพระสงฆ์ ๆ เห็นเหตุร้ายจะเกิดขึ้นเช่นนั้น จึงกล่าวกับสามเณรน้อยรูปนั้นว่า “ ดูก่อนสามเณร เธอจะช่วยป้องกันอัตราย ให้พญานาคได้รอดพ้นจากการเบียดเบียนของพญาครุฑได้หรือไม่ ”

   สามเณรน้อยกล่าวออกตัวแกมปฏิเสธว่า “ ข้าแต่พระเดชพระคุณทั้งหลายผู้เจริญ พระเดชพระคุณท่านทั้งหลายเป็นผู้ใหญ่ยังมิอาจป้องกันภยันตรายให้แก่พญานาคได้ ส่วนกระผมเป็นสามเณรเล็กเป็นเด็ก เหตุไฉนเลยจะสามารถคุมครองป้องกันภยันตรายได้เล่า ขอรับ ”

   พระภิกษุทั้งหลายจึงได้ช่วยกันปลอบประโลมขอร้องให้สามเณร จงช่วยป้องกันชีวิตของพญานาคนี้ด้วยเถิด

   สามเณรน้อยผู้มีฤทธิก็จำยอมแล้วกล่าวว่า “ ตกลงขอรับกระผมจะช่วยป้องกันอันตรายให้แก่พญานาคในครั้งนี้ กระผมจะไล่ให้พญาครุฑปลิวไปประดุจปุยนุ่นไปในอากาศเลยขอรับ ”

   ครั้นพญาครุฑบินโฉบต่ำลงมาสูงเกือบเท่าคนยืน แต่สามเณรน้อยก็ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจึงได้ร้องเตือนสามเณรว่า “ ดูก่อนสามเณร เธอจงไล่ครุฑโดยเร็วเถิด ”

   สามเณรก็เข้าฌานสมาบัติโดยฉับพลัน อธิษฐานให้บังเกิดลมพายุอันร้ายแรงเหมือนลมยุคันตวาด ( หมายถึงลมที่ มาทำลายโลกเมื่อสิ้นยุค ) พัดพญาครุฑให้ปลิวหนีหายไป ประดุจปุยนุ่นถูกลมพายุใหญ่พัดพาไป ฉนั้น

   เมื่อพญานาคเห็นเช่นนั้นก็โล้งอก เรารอดตายในครั้งนี้ก็ด้วยสามเณรน้อยองค์นี้เป็นผู้ช่วยช่วยชีวิตเราไว้ พร้อมทั้งกล่าวคำสรรเสริญและกราบลาพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายแล้วแทรกแผ่นดินกลับไปสู่นาคพิภพ

    พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจึงได้ซักถามสามเณรน้อยว่า “ ดูก่อนสามเณรเหตุโฉนเธอจึงได้ประฏิเสธในตอนแรก รู้ไหมว่ากระทำการอย่างนี้ไม่สมควร เอาล่ะอาตมาพร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่อยู่ในที่นี่จะลง ทัณฑกรรม เธอ”

   สามเณรน้อยจึงได้กราบเรียนว่าถามว่า “ พระเดชพระคุณทั้งหลายจะลงทัฑกรรมแก่กระผมประการใด ขอรับ ”

    “ ดูก่อนสามเณร บัดนี้พระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงกระทำมหกรรมคือการฉลองพระมหาสถปเจดีย์โดยมีกำหนดนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เกรงว่าพระยามารจะการะทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เธอจงมาช่วยป้องกันอันตรายของพระยามารในครั้งนี่ กิจอันนี้แหละเป็นทัณฑกรรมที่พระภิกษุสงฆ์จะลงโทษแก่เธอ ”

    “ ข้าแต่พระเดชพระคุณเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย กระผมเป็นเพียงสามเณรทั้งอายุและฤทธิ์ก็ยังน้อยนิด ไม่สามารถจะป้องกันของพระยามารได้ กระผมเห็นจะมีแต่พระนาคอุปคุตตเถระ ที่มีมหิทธิฤทธิ์ภานุภาพยิ่งล้น และจะทรมานพระยามารให้ปราชัยได้ ขอรับ ”

   “ ดูก่อนสามเณร พระอุปคุตตเถระผู้มีอนุภาพมากกว่าเธอรูปนั้น ท่านอยู่ที่ไหน ”

   “ ข้าแต่พระเดชพระคุณผู้เจริญ พระอุปคุตตเถระ ท่านได้ทำลายอุทกขันธ์ลงไปเนรมิตปราสาทแก้ว ๗ ประการ จำพรรษาอยุ่ในท้องมหาสมุท ( ที่สะดือทะเล ) เพื่อหลบหนีความวุ่นวายสับสนอลหม่าน ท่านนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่บนรัตนบัลลังก์ ในท่ามกลางปราสาทแก้วนั้น ไม่ได้ฉันภัตตาหารมาเป็นเวลานาน ถ้าท่านได้มาสู่สังฆสมาคมนี้ ก็สามารถทรมานพระยามารผู้มีใจบาปให้พ่ายแพ้ด้วยฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ของท่านได้

    ดังมีเรื่องกล่าวว่า สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนมายุอยู่ ได้ตรัสพยาการณ์ไว้ว่า ต่อไปในอนาตคกาลข้างหน้า จะมีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า พระอุปคุตต์ จะได้ทรมานพระยามารให้ละพยศหมดความเลวร้ายอหังการยอมพ่ายแพ้อานุภาพของท่าน แล้วจะกล่าวปฏิญาณปรารถนาพุทธภูมิ คือ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า พระเดชพระคุณท่านทั้งหลายได้ทราบถึงพยากรณ์นี้บ้างไหม ขอรับ ”

   พระภิกษุทั้งหลายได้ฟังคำบอกเล่าของสามเณรน้อยแล้ว ทุกองค์ต่างก็พากันชื่นชมยินดี ทั้งให้ความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า จะไปนิมนต์ พระอุปคุตตเถระ จึงได้จัดพระภิกษุ ๒ รูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติไปนิมนต์พระอุปคุตตเถระ เมื่อพระภิกษุ ๒ รูปรับหน้าที่เป็นสมณฑูต ก็ใช้ อภิญญาฤทธิ์ดำดินลงไปที่ปราสาทแก้วของพระอุปคุตตเถระ แล้วเข้าไปกราบนมัสการและบอกให้ทราบถึงความประสงค์ของพระสงฆ์ทั้งหลายที่ได้ใช้มานิมนต์ขึ้นไปสังฆสันนิบาต ( ที่ประชุมสงฆ์ )

   พระอุปคุตตเถระกล่าวกับพระภิกษุทั้ง ๒ รูป ด้วยกิริยาที่แสดงความเคารพในพระสงฆ์ มิได้แสดงอาการขัดขืนหรือแข็งกระด้างแต่ประการใดเลยว่า

   “ ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ท่านทั้งสองจงล่วงหน้าไปก่อนเถิด กระผมจะตามไปในภายหลัง ”

   เมื่อส่งพระภิกษุ ๒ รูปให้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว พระอุปคุตตเถระได้ไปด้วยอิทธิฤทธิ์อันรวดเร็วยิ่งนัก และได้ไปถึงสถานที่สังฆสันนิบาตก่อนพระภิกษุทั้ง ๒ รูปนั้นเสียอีก เมื่อไปถึงแล้วจึงกระทำความเคารพพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง เสร็จแล้วก็นั่งบนอาสนะอันสมควรแก่ตน

   พอพระภิกษุสมณฑูตทั้งสองรูปมาถึงที่ประชุมสงฆ์นั้น ได้แลเห็นพระอุปคุตตเถระมานั่งอยู่ก่อนแล้ว ก็ให้บังเกิดความประแปลกประหลาดใจ จึงกล่าวกับพระเถระว่า “ ท่านส่งกระผมทั้งสองให้ล่วงหน้ามาก่อน และบอกว่าข้าพเจ้าจะตามมาทีหลัง แต่เหตุไฉนท่านกลับมานั่งอยู่ในที่นี้ก่อนพวกกระผมอีกนี่แสดงให้เห็นว่าท่านมีมหิทธิฤทธิ์เหลือล้น ขอรับ ”

    ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง ก่อนที่จะมอบหน้าที่รับผิดชอบให้พระอุปคุตตเถระ ก็ได้กล่าวตำหนิพระเถระว่า “ ดูก่อนท่านอุปคุตต์ ท่านไม่ได้ร่วมสามัคคีอุโบสถกับพระภิกษุสงฆ์ และไม่ได้ช่วยเหลืองานของพระศาสนา หลบไปหาความสงบสบายแต่ลำพังแต่ผู้เดียว ขาดความเคารพในสงฆ์ เป็นการขัดกับพระพุทธประสงค์ แม้แต่ พระมหากบินเถระพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงตรัสติเตียน เพราะเหตุที่ไม่เคารพในสงฆ์ ฉะนั้นท่านสมควรที่จะถูกพระภิกษุสงฆ์ลงทัณฑกรรม ” ( ทัณฑกรรม คือการลงโทษ หรือลงอาญา) พระมหาเถระได้ฟังเหตุผลของพระภิกษุทั้งปวงแล้ว ก็ยอมรับความผิดนั้นด้วยดี กราบขอขมาโทษพร้อมกับกล่าวว่า “ พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงจะลงทัณฑกรรมประการใด กระผมพร้อมที่จะน้อมรับทัณฑกรรมประการนั้น ขอรับ ”

   “ ดูก่อนท่านอุปคุตต์ พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดจะยังๆไม่อดโทษให้ในตอนนี้ แต่จะอดโทษให้ก็ต่อเมื่อท่านได้ช่วยกระทำงานป้องกันอันตรายถวายแด่พระมหากษัตริย์ได้แล้วนั้นแหละ คือพระเจ้าอโศกมหาราชผู้ทรงเป็นสังฆอุปฏฐาก ทรงมีพระราช สัทธาปนาการจะทรงกระทำมหกรรม คือ การฉลองพระสถูปในพระนครนี้ โดยกำหนดจะกระทำอธิการสักการบูชเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ท่านจะทรงรับภารธุระป้องกันพระยามาร อย่าให้มากระทำอันตรายในงานทรงบำเพ็ญพระราชมหากุศลครั้งนี้ งานนี้แหละเป็นทัณฑกรรมที่พระสงฆ์แก่ท่าน”

   พระมหาเถระได้รับฟังการลงทัณฑกรรมจากพระภิกษุสงฆ์จึงยอมรับด้วยดี ลุกขึ้นกราบเท้าพระมหาเถระทั้งหลาย แล้วกล่าวว่า “ ถ้าหากกระผมแสวงหากัปปิยบิณฑบาต คือบิณฑบาตอันควร และได้ฉันกัปปิยะภัตแล้ว ก็อาจที่จะกำจัดพระยามารไม่ให้มากระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญบุญของพระบรมกษัตริย์ได้ อนึ่งพระบรมศาสดาได้ทรงพิจราณาเห็นเหตุนี้แล้ว จึงได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า ในกนาคตกาลข้างหน้า จะมีภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อว่า อุปคุตต์ จะทรมานพระยามารให้ละพยศหมดความร้ายกาจ ”

    ครั้นรุ่งเช้า พระเจ้าอโสกมหาราชเสด็จมาสู่พระอารามทรงนมัสการพระภิกษุแล้วตรัาถามถึงเรื่องที่พระองค์ทรงได้ขอร้องไว้

   พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระผู้เป็นประธานแห่งสงฆ์ทั้งปวงได้ถวายพระพรว่า “ ขอถวายพระพรบรมบพิตรพระราชสมภาร พระภิกษุทั้งปวงได้หาพระภิกษุที่มีความเฉลี่ยวฉลาดเป็นนักปราชญ์มีความรอบรู้ในพระธรรมวินัยพุทโธวาท ทั้งสมบูญณ์ด้วยศีลาจารวัตร และมี มหิทธิฤิทธิ์เป็นเลิศ จักสามารถป้องกันอันตรายจากหมู่มารที่จะมากระทำอันตรายในการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในครั้งนี้ได้ และจะช่วยให้การทรงบำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหาบพิตรสำเร็จลงโดยความเรียบร้อยเป็นอันดี ขอถวายพระพร ”

   “ พระภิกษุรูปนั้นอยู่ที่ไหน มีชื่อว่าระไร ”

   พระเถระยกมือชี้ไปที่พระอุปคุตตเถระ พร้อมทั้งกับถวายพระพรตอบว่า “ ขอถวายพระพรบรมบพิตรราชสมภาร พระภิกษุนั้นอยู่ที่นี่แล้ว มีชื่อว่า “ พระกีสนาคอุปคุตตเถระ ขอถวายพระพร ”

   พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จเข้าไปใกล้พระอุปคุตตเถระแล้วทรงกระทำนมัสการ และทอดพระเนตรเห็นพระมหาเถระมีร่างกายผอมมาก จึงทรงดำริว่า “ พระมหาเถระนี้จะมีอนุภาพสามารถที่จะป้องกันอันตรายจากพระยามารได้หรือไม่หนอ ” ทรงนมัสการลาพระภิกษุสงฆ์ และทรงลุกขึ้นจากไปที่ประทับ แล้วเสด็จลากลับพระราชนิเวศน์

   รุ่งขึ้นวันที่สอง พระเจ้าอโศกมหาราชทรงปริวิตกกังวลพระทัยจึงทรงดำริว่า “ เราควรจะทดสอบพระมหาเถระดูว่า ท่านจะมีฤทธานุภาพจริงหรืออย่างไร ”

   ในรุ่งเช้าของวันนั้นพระอุปคุตตเถระได้เข้าไปบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์เพื่อจะยังพระราชหฤทัยของพระเจ้าอโศกมหาราชให้ทรงเห็นและเกิดปีติโสมนัส พอได้รับบิณฑบาตจากพระเจ้าอโศกมหาราชแล้วท่านจึงกลับออกมานอกประตูพระราชวัง

   พระเจ้าอโศกมหาราชได้ตรัสสั่งนายควาญช้างให้เตรียมปล่อยช้างซับมันอันเป็นช้างที่ได้รับการฝึกหัดมาดีแล้ว เพื่อจะทดลองกำลังฤทธานุภาพของพระมหาเถระดูว่า จะสู้กับช้างของพระองค์ได้หรือไม่ประการใด เพราะถ้าหากตู่สู้กับช้างไม่ได้แล้ว ไฉนเลยต่อสู้กับพระยามารได้เล่า

   เมื่อพระมหาเถระออกมาพ้นประตูพระราชวังแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงให้สัญญาณแก่นายควาญช้างให้ปล่อยช้างพระที่นั่ง แผดเสียงร้องกึกก้อง แล้วช้างก็ได้วิ่งไล่ติดตามพระเถระไปด้วยอาการอันดุดันประสงค์ร้ายพร้อมที่จะบดขยี้พระมหาเถระให้แหลกลาญในพริบตา แต่เมื่อช้างนั้นวิ่งเข้ามาใกล้พระมหาเถระ พอเงาของช้างซับมันว่าวิ่งไล่ติดตามมา พระมหาเถระก็นึกรู้ได้ทันทีว่า ช้างเชือกนี้พระราชาทรงแสร้งปล่อย เพื่อจะทดลองดูฤทธิ์ของเรา ท่านจึงได้อธิษญานจิตว่า “ ขอให้ช้างนี้จงกลายเป็นช้างศิลายืนอยู่ ที่นี่เถิด ” แล้วพระมหาเถระก็ได้เดินจากสถานที่แห่งนั้นไป

   พระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากที่รับสั่งให้นายควาญช้างปล่อยช้างออกไล่วิ่งตามพระมหาเถระแล้ว พระองค์ทรงเป็นห่วงเกรงว่าช้างจะไปทำร้ายพระมหาเถระจนถึงแก่มรณภาพเข้า จึงรีบเสด็จตามมา ครั้นพอทอดพระเนตรเห็นช้างยืนนิ่งมิได้ไหวติงราวกับช้างศิลาเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงบังเกิดความพิศวงงงงวยสงสัย แล้วทรงดำริว่า “ มงคลหัตถีบริบูรณ์ด้วยสรรพลักษณะปานดังนี้ ทำไมมายืนแน่นิ่งร่างกายมิได้เคลื่อนไหวประดุจรูปช้างศิลาเช่นนี้ อานุภาพของพระมหาเถระช่างน่าอัศจรรย์แท้ๆ ท่านคงมีฤทธิ์สามารถป้องกันอันตรายจากพระยามารได้เป็นแน่ เราหมดความปริวิตกในเรื่องนี้แล้ว ” จึงเสด็จตามพระมหาเถระมาโดยด่วน พอทันกับพระอุปคุตตเถระ ก็ทรงอภิวาทแล้วตรัสขอขมาโทษต่อพระมหาเถระว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้าจงอดโทษให้แก่โยมด้วยเถิด การที่โยมกระทำในครั้งนี้ มิได้มีความปรารถนาจะบีฑายายีพระคุณเจ้า แต่กระทำลงไปเพื่อจะทดลองดูฤทธิ์ ของพระคุณเจ้าให้เห็นประจักษ์ และโยมก็๋ได้เห็นแล้วโดยมิต้องเชื่อคำบอกกล่าวเล่าลือของผู้อื่นอีกต่อไป ”

   “ ขอถวายพระพรพระบรมบพิตรราชสมภาร อาตมามิได้ถือโทษแต่อย่างไร ขอมหาบพิตรจงมีความสุขสวัสดิ์วัฒนาสถาพร และคชสารพระที่นั่งนั้นจงมีความสุขแล้วกลับแล้วกลับไปอยู่ในที่ของตนตามปรกติเถิด ขอถวายพระพร ”

   เมื่อพระมหาเถระกล่าวเพียงเท่านี้ช้างพระที่นั่งก็สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ แล้วเดินกลับไปที่อยู่ของตน ในกาลนั้นมหาชนผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ต่างก็เกิดความประหลาดใจ ต่างก็โจษจันกันเรื่องของอิทธิ์ฤทธิ์ปาฏิหารของพระอุปคุตตเถระ

   พอถึงวันกำหลดวันงานฉลองพระพระมหาสถูปเจดีย์ ที่ทรงสร้างไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา และพระวิหารตลอดกระทั้งพระมหาเจดีย์ทั้งหลาย พระเจ้าอโศกมหาราชเสด็จพร้อมด้วยพระบรมศานุวงศ์ มหาเสนาบดี เหล่าอำมาตย์ทั้งหลาย และบรรดาเศรษฐี พราหมณ์ พร้องทั้งประชาชนทุกหมู่เหล่าล้วนตกแต่งร่างกายด้วยสรรพาภรณ์อันงิจิตรตระการตา พร้อมทั้งเครื่องปูชนียภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ดอกไม้ธูปเทียนของหอมเป็นต้น เครื่องดนตรีนานาชนิดได้มาร่วมประชุมกันประโคมเสียงอึกทึกคึกโครมสนั่นหวั่นไหว ณ ลานพระมหาสถูปเจดีย์นั้น

   เมื่อขบวนของพระเจ้าอโศกมหาราช เสด็จมาสู่ลานพระจุฬามณีเจดีย์สถาน พระองค์ตรัสสั่งให้เริ่มพิธี แล้วจุดประธีปบริเวณสถานที่รอบ ๆ พระมหาเจดีย์นั้น กว้างประมาณครึ้งโยนช์และตามริมฝั่งแม่น้ำคงคา บริเวณที่ทำพิธีและริมฝั่งแม่น้ำได้สว่างไสวไปด้วยดอกไม้และไฟประธีปอันนับไม่ถ้วนนั้นสว่างราวกลางวันก็ไม่ปาน พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่ได้เขามาร่วมพิธีเพื่อนมัสการพระมหาเจดีย์จำนวนมาก โดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน

   ในขณะนั้น พระยาวัสวดีมารผู้มีใจหยาบช้า ( อุปมาเหมือนคนชั่วไม่รู้จักความดี) ทราบว่าพระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงกระทำมหาสักการบูชาฉลองพระมหาสถูปเจดีย์กับพระอาราม เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มโหฬารตระการตานัก ก็มีจิตริษยา คิดจะขัดขวางทำลายพิธีกรรมการกุศลทั้งหลายเสีย จึงได้รีบลงมาจากสวรรค์ชั้นบรนิมมิตวดีในเทวโลก ครั้นแล้วได้แสดงอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ท้องฟ้ามืดมัวและพายุใหญ่ก็พัดพามาแต่ไกล เพื่อต้องการจะทำลายพิธีสักการบูชาพระมหาสถูปเจดีย์ด้วยแรงใจอิจฉาริษยาของพระยามารที่ไม่ต้องการเห็นใครได้ดีกว่าตน

   ส่วนพระอุปคุตตเถระ ผู้รับหน้าที่ป้องกันอันตรายมิให้เกิดในงานมหากรรมนี้ ได้พิจารณาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสับพลันผิดปรกติเช่นนี้ ท่านเข้าสมาบัติ ก็ทราบได้ในทันทีว่าพระยามารได้เริ่มกระทำทำลายพิธิการบำเพ็ญกุศลแล้ว ท่านจึงใช้อิทธิฤทธิ์ด้วย อธิษฐานานุภาพปัดเป่าให้พายุใหญ่ของพระยามารนั้นอัตรธรานหายไป

   พระยามารเมื่อบันดาลพายุใหญ่ร้ายแรงเพื่อทำลายพิธีนั้นไม่ได้ผลก็โกรธแค้น จึงบันดาลให้ห่าฝนทรายกรดอันรุ่งโรจน์ดุจเพลิงตกลงมา แต่พระมหาเถระก็อธิษานจิตอิทธิฤมธิ์ให้เป็นเม็ดฝนกรวดกรด ห่าฝนก้อนศิลา ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าลมกรด ห่าฝนเถ่ารึง ( ได้แก่ กองเถ้าที่ไม่มีถ่านไฟ แต่ยังมีความร้อนระอุอยู่) ห่าฝนเปือกตมให้ตกลงมาเป็นลำดับกัน และยังบันดาลให้เกิดมืดมิดทมึนทึนปรกคลุมบริเวรนั้นจนน่ากลัวอีก

   พระมหาเถระก็อธิษฐานจิต อิทธิฤทธิ์หอบเอาห่าฝนเหล่านั้น และความมือดมิดของพระยามารไปทิ้งเสียนอกขอบจักรวาล

   แล้วพระมารยิ่งโกรธแค้นจัด จึงเนรมิตร่างกายตนเป็นสัตว์ดุร้ายต่าง เช่นโคใหญ่วิ่งเข้าไปหมายจะชนทวีบให้แหลกพังพินาศไปกับตา

   พระมหาเถระก็เนรมิตร่างกายเป็นรูปพยักฆ์ใหญ่วิ่งไล่กรวดจับเจ้าโคร้าย ๆ พระยามารเห็นเช่นนั้นก็ตกใจส่งเสียงร้องหวาดกลัวจนสนั่นหวั่นไหวไปทั้วทั้งบริเวร

   พระเจ้าอโศกมหาราชและเหล่าอำมาตย์เสนาบดีพ่อค้าเศรษฐีและประชาชนต่างก็เฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยใจสั่นระทึก สัตว์ทั้ง ๒ ต่อสู้ไม่นานโคร้ายพระยามารกเป็นพ้ายแพ่แก่พยักฆ์ใหญ่พระมหาเถระ โคร้ายพระยามารจึงได้กลับกายร่างเป็นรูปพยานาคมี ๗ เศียร ตรงเข้าคาบกายของพยักฆ์ใหญ่พระมหาเถระๆ ก็กลายร่างเป็นพญาครุฑแล้วกลับกลายคาบเอาศีรษะของพระนาคพระยามารลากไปจนพระยามารต้องปราชัยอีกครั้ง

   แต่พระยามารก็ยังไม่ยอมแพ้รีบแปลงร่างจากพระยานาคเป็นยักษ์ใหญ่ตัวโตมโหราณ ทั้งหน้าตาก็ดุร้ายเป็นที่น่ากลัวยิ่ง ในมือถือตะบองทองแดงอันใหญ่เท่าลำต้นตาลใหญ่ กวัดแกว่งเสียงดังก้องกำประนาท เข้าไปประทัตประหารพระยาครุฑพระเถระทันที ฝ่ายพระยาครุฑพระเถระจึงเปลี่ยนแปลงร่างจากพระยาครุฑเป็นยักษ์ที่ใหญ่กว่ายักษ์พระยามารอีกสองเท่า ในมือก็ถือสองตะบองไฟกวัดแกว่งไล่ตีศีรษะของยักษ์พระยามาร จนยักษ์พระยามารต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน

   เมื่อพระยามารบันดาลอิทธิฤทธิ์หลายประการก็แล้ว แต่พระมหาเถระก็สามารถแก้อิทธิฤทธิ์ของตนให้ต้องพ้ายแพ้ตลอดและไม่สามารถที่จะเอาชนะต่อพระมหาเถระได้ จึงคิดว่า ไม่ว่าเราจะเนรมิตเป็นรูปอะไรที่ร้ายแรงแค่ไหนอย่างไร พระเถระรูปนี้ก็เนรมิตรูปนั้นให้ใหญ่กว่าและมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าเป็นหลายเท่า เราจะทำประการใดดีหนอ เห็นทีว่าเราคงจะต้องพ่ายแพ้แก่สมณะรูปนี้เสียแล้วกระมัง จึงได้ตัดสินใจแสดงตัวให้ปรากฏเป็นรูปเดิม คือพระยาวัสสดีมาร ยืนอยู่ตรงหน้าของพระมหาเถระ

    พระอุปคุตตเถระได้คิดค้นหาวิธีที่จะสยบปราบพระยามารนี้ให้สิ้นฤทธิ์ เราจะกระทำให้ยักษ์ตนนี้ละพยศสิ้นฤทธิ์สิ้นให้ปลดเปลื้องความชั่วร้าย ให้หันกลับมาเป็นดี เมื่อพระมหาเถระคิดดังนี้แล้วจึงได้แปลงกายจากยักษ์ใหญ่กลับมาเป็นพระมหาเถระตามเดิม และก็ได้เนรมิตสุนักเน่ามีกลิ่นเหม็นคลุ้ง เต็มไปด้วยหมู่หนอนที่เข้าซอนไซกันเย้าะเยี้ยะ มองดูแล้วน่าขยะแขยง แล้วให้ไปผูกติดไว้ที่คอของพระยามาร พร้อมกับอธิษฐานจิตว่า “ ไม่ว่าบุคคลผู้ใดก็แล้วแต่ หรือกระทั้งเทพยดา พรหม ขออย่าให้สามารถปลดเปลื้องหรือแก้ออกได้ ” แล้วพระเถระก็กล่าวกันพระยารว่า “ ดูก่อนมารผู้มีใจบาป หยาบช้า ท่านจงไปจากที่นี้ได้แล้ว”

   ฝ่ายพระวัสวดีมารมีซากของสุนัขเน่าผูกติดคออยู่โดยที่ตัวเองไม่สามารถที่จะแกะออกได้ ไม่ว่าจะทำอย่างอย่างไรซากสุนัขเน่าก็ไม่หลุดออกจงได้หมดอาลัยตายอยาก ให้กลัดกลุ้มและอับอายแก่เทพบุตรเทพธดาและมวณประมนุษย์สุดจะทนไหว จึงได้เหาะขึ้นไปยังสำนักของท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิปักข์ และท้าวเวสวัณ ได้กล่าววิงวอนให้ท่านทั้งหลายช่วยปลดเปลื้องซากสุนัขเน่านี้ออกจากคอให้ที ท่านท้าวทั้ง ๔ จึงได้ถามถึงสาเหตุที่มาที่ไป พระยาสวัสดีมารจึงได้เล่าเรื่องให้ฟังและกล่าวว่า “ พระอุปคุตตเถระ ท่านได้เอาซากสุนัขเน่ามาผูกติดคอของข้าพระเจ้าไว้ ท่านทั้งหลายจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด”

   ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ พอได้ยินชื่อของพระเถระแล้ว จึงพากันกล่าวว่า “ ข้าแต่พระยามาร พระเถระรูปนั้นท่านมีฤทธานุภาพยิ่งนัก เมื่อท่านเป็นผู้ผูกไว้ พวกข้าพเจ้าก็หมดความสามารถที่จะช่วยแก้ออกให้ท่านได้ ”

    พระยามารเมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ได้จึงได้เหาะไปสู่สำนักของพระอินทร์ มี ท้าวสุยามา ท้าวสันดุสิต และท้าวสหัมบดีมหาพราหม พระยามารได้กล่าวขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยแก้มัดซากสุนัขเน่านี้ออกจากคอของตนที เทวราชทั้งหลายพร้อมทั้งท้าวสหัมบดีก็กล่าวกับพระยามารว่า “ พวกข้าพเจ้ามิอาจจะแก้ซากสุนัขเน่านี้ออกได้ เพราะพระภิกษุรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ( ความรู้ยิ่ง) ๖ ประการ ท่านเป็นพุทธสาวกผู้ปกอปรด้วย มหิทธิเดช ท่านจงกลับไปที่นสำนักของพระภิกษุรูปนั้นเถิด แล้วกล่าวขอร้องท่านด้วยวาจาอันภุภาพอ่อนหวาน แล้วท่านก็จะช่วยแก้ออกให้ท่านเอง ส่วนผู้อื่นนั้นเกลงกลัวอานุภาพของท่าน ไม่มีใครกล้าที่จะแก้ออกให้ท่านได้หรอก”

   เมื่อพระยามารได้ฟังคำของเทวราชทั้งหลายแล้ว ก็รันทดท้อใจหมดสิ้นเรี่ยวแรงความคิดที่จะพึ่งพาผู้อื่นให้ช่วยเหลือในครั้งนี้ไม่มีอีกแล้ว จึงต้องจำใจกลับไปหาพระอุปคุตตเถระพร้อมกับซากสุนัขเน่าผูกติดอยู่ที่คอให้สุดแสนที่อะอับอายแล้วเข้าไปกราบแทบเท้าของพระมหาเถระ แล้วกล่าวรับสารภาพผิดต่าง ๆ แล้วกล่าวอ้อนวอนด้วยวาจาอันภาพต่อพระเถระ ทั้งอาราธนาว่า “ พระคุณเจ้าผู้เจริญขอท่านจงโปรดเมตตากรุณาช่วยปลดเปลื้องซากสุนัขเน่านี้ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด พระคุณเจ้าเป็นผู้ชนะ ส่วนข้าพเจ้าเป็นผู้แพ้จะไม่คิดต่อสู้กับพระคุณเจ้าอีกแล้ว”

   พระเถระพิจารณาเห็นว่านี้เป็นโอกาศเหมาะ ที่เราควรจะทรมานจับพระยามารมัดไว้ก่อนจนกว่างานมหากรรมของพระเจ้าอโศกมหาราชจะเสร็จสิ้น ท่านจึงกล่าวว่า “ ดูก่อนพระยามารท่านจงไปที่ภูเขาลูกนั้นเถิด”

   พระยามารดีใจไม่รอช้ารีบไปยังภูเขาตามที่พระมหาเถระชี้บอกทันที พระมหาเถระได้ตามไปแก้เอาซากสุนัขเน่าออกจากคอออกให้ แต่ท่านก็เห็นว่าควรจะว่าพระยามารนี้ไว้ก่อน จึงได้แก้รัดประคตออกจากเอวของท่าน และได้อธิษฐานจิตให้ประคตนั้นยาวพอที่จะมัดพระยามารติดกับภูเขา แล้วท่านก็จัดการผูกมัดรวบไว้กับภูเขาอย่างมั่นคงพร้อมกับบอกกับพระยามารว่า “ ดูก่อนพระยามาร ท่านจงอยู่ที่ภูเขานี้ รอจนกว่าพระเจ้าอโศกมหาราช จะทรงกระทำมหากรรมพิธีใหญ่ คือบุชาพระมหาสถูปเจดีย์และอารามต่างๆจนแล้วเสร็จแล้วอาตมาจึงจะมาแก้มัดออกให้

   พระยาวัสสดีมาร จำต้องถูกผูกติดกับภูเขาเป็นการประจาน ด้วยโทษฐานเป็นผู้มีใจบาป คอยขัดขวางทำลายของผู้กระทำความดีของผู้อื่น อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

   งานมหกรรมการฉลองพระมหาสถูปเจดีย์ และพระอารามต่าง ๆ มีกำหนด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยปราศจากพระยามารมาขัดขวาง เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย

   พระอุปคุตตเถระเมื่อเห็นว่างานมหกรรมกุศลได้สำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว จึงได้ไปยังภูเขาที่จับพระยามารผูกติดไว้กับภูเขา แต่ท่านได้แอบบังกายของท่านอยู่เบื้องหลังเพื่อจะฟังว่า พระยามารจะกล่าวว่าอย่างไรบ้าง

   ฝ่ายพระยามารนั้นเมื่อได้ถุกพระอุปคุตตเถระจับมัดไว้กับภูเขาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ก็ละพยศหมดความดุร้าย กลับหวนคิดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้กล่าวรำพันสรรเสริญขึ้นว่า “ เมื่อสมัยพระพุทธองค์ประทับเหนือรัตนบัลลังก์ ณ ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ข้าพระบาทมิอาจจะอดกลั้นความโกรธอิจฉาริษยาไว้ได้ จึงได้ขว้างจักรอันคมกล้า ที่จะสามารถจะตัด วชิรบรรพตให้ขาดสปั้นภายในพริบตาเดียว ราวกับตัดหน่อไม้ไผ่ ฉะนั้น แต่พระพุทธองค์ทรงพิจารณาพระบารมี ๓๐ ประการ มีทานเป็นต้นและมีอุเบกขาเป็นที่สุด จักรนั้นพลันกลับกลายเป็นดอกไม้กั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบน ส่วนพวกพลบริวารนั้นเล่าได้ขว้างอาวุธต่าง ๆ ไปยังพระพุทธองค์ แต่ว่าอาวุธเหล่านั้นได้กลับกลายเป็นพวงบุปผาชาติตกลงยังพื้นดิน ในที่สุดข้าพระบาทก็ต้องพ่ายแพ้ต่อพระองค์” พระยามารระลึกถึงพระพุทธคุณกล่าวคะถาว่า “ นโม เต ปุริสาชัญญา” เป็นอาทิ

   ซึ่งมาความหมายว่า “ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกระทำประโยชน์แก่สรรพสัตว์ และเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งปวง ผู้หาที่พึ่งมิได้สิ้นกาลนานโข พระพุทธองค์ ทรงประเสร็ฐด้วยคุณหาผู้เสมอมิได้ จงมาเป็นที่พึ่งข้างข้าพระบาทในบัดนี้ ในกาลก่อนข้าพระบาทชื่อว่าวสัตดี กระทำอันตรายแก่พระองค์โดยหาวิธีการอันชั่วร้ายหลากหลายอย่าง แต่พระองค์ก็มิได้ทรงกระทำโทษตอบโต้แก่ข้าพระบาท แม้แต่เพียงน้อยนิดก็ไม่เคยมี แต่กาลบัดนี้พระสาวกของพระองค์ช่างไม่มีเมตตากรุณา ลงโทษหนักแก่ข้าพระบาทให้ได้รับทุกข์แสนสาหัสเห็นปานฉะนี้ ” พระยาวัสวดีมารผู้มีทุกโทมนัส ก็เอาเท้าทั้งสองถีบถูเขานั้นให้เกิดอาการหวั่นไหวต่าง ๆ ทั้งเบื้องบนเบื้องล้างราวกับจะถลมทลายลงมาฉับพลัน แม้ภุเขาสิเนรุราชก็น้อมยอดหวั่นไหว ประดุจดังต้นไม้เมื่อต้องลมพายุ ฉันนั้น พื่นดินก็สะเทือนดังสนั่น ดังกับเกิดแแผ่นดินไหวใหญ่ มหาสมุททรสาครก็เกิดเป็นระรอกลูกคลื้นใหญ่กระฉอกกระฉ่อนเหมือนทะเลต้องลมพายุใหญ่ร้ายแรงฉะนั้น

   แล้วพระยามารก็กลับระลึกถึงพระขันติธรรมของพระผู้มีพระภาพเจ้า และก็เปล่งอุทานว่า ถ้าหากข้าพเจ้ามีกุศลได้สร้างสมไว้แล้ว ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบำเพ็ญบุญบารมีไว้เพื่อการตรัสรู้ในอนาคตกาล ฉันใด ขอข้าพระเจ้าจงได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนี้ฉันนั้น เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งแห่งสรรพสัตว์ และกระทำประโยชน์โปรด เวไนยสัตว์ทั้งปวงในสากลโลก

    ในขณะที่พระยามารเปล่งวาจาประรถนาพุทธภูมิ คือปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น พระอุปคุตตเถระจึงแสดงกายให้ปรากฏแล้วเดินเข้าไปแก้มัดออกให้ทันที ท่านได้กล่าวกับพระยามารว่า “ ดูก่อนพระยามาร ท่านจงอดโทษแก่อาตมาที่อาตมาได้ล่วงเกินแก่ท่าน อันว่าประโยชน์ของท่าน คือความปรารถนาพุทธภูมินั้น อาตามาก็ให้บังเกิดได้แล้ว และอาตมาจะขอห้ามท่านว่า ท่านจงอย่ากระทำอันตรายในทางทรงบำเพ็ญบุญของพระบรมกษัตริย์และของผู้อื่นเลย และบัดนี้ท่านได้ถือปฏิญาณที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า ตึ้งแต่นี้เป็นต้นไป ตัวท่านจะเป็นปูชนียบุคคล คือพระโพธิสัตว์ควรที่ชาวโลกทั้งหลายจะกระทำนมัสการบูชา ”

   พระยามารจึงกล่าวตัดพ้อตอบว่า “ พระคุณเจ้าผู้เป็นพุทธสาวกช่างกระไร ไม่มีจิตใจกรุณาปราณีต่อข้าพเจ้าผู้เป็นมารบ้างเลย ”

   พระอุปคุตตเถระจึงกล่าวแสดงเหตุผลต่อพระยามารว่า “ ดูก่อนพระยามาร อาตมากับท่านเป็นคู่ทรมานกัน เพราะเหตุนี้จึงไม่มีกรุณา อาตมาลงโทษแก่ท่านก็ะเพื่อจะกระทำให้ท่านมีจิตยินดี ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ทั้งตัวท่านก็เที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญู และพระบรมศาสดาก็ได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า อาตมานี้จะได้เป็นผู้ทมานพระยาสวัสดีมารให้ละพยศหมดความอหังการสิ้นความร้ายกาจในอนาคตกาล และในที่สุดพระยามารนั้นก็จะเปล่งวาจาปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า ขอท่านจงตั้งใจละจิตบาปเสียเถิด อย่าได้กระทำกรรมอันหยาบช้าต่อไปอีกเลย ”

   พระมหาเถระกล่าวเหตุผลต่าง ๆ ให้พระยามารได้ฟังแล้ว ท่านก็มีความประสงค์จะให้พระยามารช่วยเนรมิตตนเป็นพระยามารช่วยเนรมิตตนเป็นพระพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ชมเป็นมิ่งขวัญตา จึงได้กล่าวขอร้องต่อพระยามารว่า “ ดูก่อนพระยามาร ท่านจงช่วยอนุเคาะห์แก่อาตมาสักครั้งหนึ่งเถิด เนื่องจากพระบรมศาสดาได้อุบัติขึ้นในโลกและได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว อามตมาได้เห็นก็แต่พระธรรมวินัยของพระองค์ท่าน ไม่ทันได้เห็นพระวรกายของพระองค์ ขอให้ท่านจงเนมิตกายของท่านเป็นพระวรกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทั้งอาการทั้งปวงพร้อมทั้งพระอัครสาวกทั้งคู่ให้อาตมาได้เห็นกับตาด้วยเถิด ”

   พระยามารได้ฟังคำขอร้องของพระมหาเถระนั้นแล้ว จึงได้กล่าวข้อแม้ว่า “ ข้าแต่พระคุณเจ้า ถ้าหากข้าพระเจ้าเนรมิตกายเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นเป็นประจักษ์กับตาแล้วไซร์ ขอพระคุณเจ้าจงอย่าได้ถวายนมัสการข้าเจ้าเป็นอันขาด ”

   พระมหาเถระก็กล่าวปฏิญาณว่า “ อาตมาจะไม่ถวายนมัสการต่อท่าน จะขอเพียงแต่ขอชมเฉย ๆ เท่านั้น ”

   เมื่อพระยามารได้รับคำปฏิญาณของพระมหาเถระเป็นมั่นแล้วจึงเข้าไปในไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง เพื่อจะบันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เป็นไปตามคำขอร้องของพระมหาเถระ

   พระอุปคุตตเถระได้บอกให้พระภิกษุทั้งหลายมาประชุมกับพร้อมเพียงโดยเร็วพลันอย่างน่าอัศจารรย์ ด้วยอาศัยอำนาจฤทธิของท่านนั้นเอง พระภิกษุสงฆ์รูปใดใคร่จะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระภิกษุรูปนั้นธูปเทียนดอกไม้ของหอมได้มาประชุมแวดล้อมอย่างมากมาย พระอุปคุตตเถระได้กล่าวว่า “ ข้าพระเจ้าจะชมพระรูปของพระศาสดา และจะกระทำสักการะบูชาต่อพระองค์ ”

   ในกาลนั้น พระยามารได้เนรมิตกายเป็นพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันประกอบด้วยพระมหาบุรษลักษณะ ๓๒ ประการ และพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ทั้งสว่างรุ่งเรื่องด้วยพระ ฉัพพรรณรังสี คือ พระรัศมี ๖ ประการ มีพระอัครสาวกอยู่ทางเบื้องขวาและเบื้องซ้าย พร้อมทั้งแวดล้อมไปด้วย พระอสีติมหาสาวกเป็นสังฆบริวาร แสดงให้ปรากฏแก่พระมหาเถระพระภิกษุสงฆ์ประชาชนพร้อมทั้งพระเจ้าอโศกมหาราชกับหมู่อำมาตย์และข้าราชบริพารก็ได้เสด็จมาคอยทรงทัศนาการอยู่ ณ ที่นั้น

   ฝ่ายพระอุปคุตตเถระเมื่อได้แลเห็นพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระมหาสาวกทั้งหลายปรากฏขึ้นดังนั้น ก็บังเกิดมีปีติขนลุกชูชัน ด้วยความเลื้อมใสศรัทธาอันไม่หวั่นไหวทำให้ลืมคำปฏิญาณที่ให้ไว้แก่พระยามาร จึงก้มลงถวายอภิวาทพระรูปของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเบญจางคประดิษฐ์อย่างสนิทใจ พระเจ้าอโศกมหาราชพร้อมทั้งมหาชนทั้งหลายจึงได้พร้อมเพียงกันกระทำนมัสการสักการบูชา ต่อพระรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

   พระยามารเห็นเป็นเช่นนั้นก็พลันบันดาลให้พระรูปของพระศาสดาและสาวกทั้งหลายให้อันตธานหายไป กลับกลายมาเป็นรูปของตนเช่นเดิม และได้กล่าวต่อว่ากับพระอุปคุตตเถระว่า “ ทำไมพระคุณเจ้าจึงได้ถวายอภิวาทเล่า ข้าพเจ้าได้ตกลงสัญญากับพระคุณเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่ามิให้กระทำนมัสการ ”

   “ ดูก่อนพระยามาร อาตมามิได้กราบไหว้ท่านหรอก แต่ว่าอาตมากระทำอภิวาทพระรูปของพระบรมศาสดา และพระมหาสาวกทั้งหลายต่างหากเล่า ”

   ตั้งแต่พระยามารตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จิตใจก็มีความอ่อนน้อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่มีความหยาบช้าดุร้ายเหมือนแต่กาลก่อนนั้นเลย

   พระอุปคุตตเถระได้พิจารณาเห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทางตั้งใจดีของพระยามารแล้ว ท่านจึงกล่าวกับพระยามารว่า “ ท่านจงไปโดยสุขสวัสดีเถิด ”

   พระยามารน้อมกายก้มกราบถวายนมัสการพระมหาเถระ แล้วลากลับสู้เทวสถานวิมานของตน......

   ชีวประวัติของพระอุปคุตตเถระ ตามตำนานไม่ได้กล่าวถึงว่าท่านดับขันธนิพพานแล้วหรือยัง ท่านอาจจะมีชีวิตอยู่ถึงกัปหนึ่งก็ได้ ด้วยอานุภาพแห่งอิทธิภาวนาของท่าน ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เคยตรัสไว้กับพระอานนท์เถระไว้ว่า “ ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดเจริญอิทธบาท ๔ ให้มาก กระทำให้เป็นญาณ กระทำให้เป็นที่ตั้งไว้เนือง ๆ สะสมรอบแล้ว และปรารถนาดีแล้ว ผู้นั้นจะประสงค์อยู่ตลอดกัปก็ได้ ”

   การตั้งบูชานิยมใช้ภาชนะใส่น้ำแล้วตั้งรูปพระอุปคุตตเถระ หรือพระบัวเข็มไว้ตรงกลางโดยมีฐานรอง อันเป็นการกระทำให้คล้ายกับว่าท่านประดิษฐานในน้ำ เพื่อให้ตรงกับการเป็นอยู่จริง ๆ ของท่าน แล้วบูชาด้วยดอกไม้

    คาถาสำหรับบูชาเพื่อให้เกิดโชคลาภ มีดังต่อไปนี้

   อุปะคุตโต   จะ   มะหาเถโร   สัมพุทเธนะ   วิยากะโต   มารัญจะ  มาระ   พะลัญจะ   โส   อิทานิ   มะหาเถโร   นะมัสสิตะวา   ปะติฏฐิโต   อะหัง   วันทามิ   อิทาเนวะ   อุปะคุตตัง   จะ   มะหาเถรัง   ยัง   ยัง   อุปัททะวัง   ชาตัง  วิธัง   เสติ   อะเสสะโต  มะหาลาภัง  ภะวันตุ  เม ฯ

   หรืออีกแบบหนึ่งว่า

   อุปะคุตโต  จะ  มะหาเถโร  ยักขาเทวา  นะระปูชิโต  โสระโห  ปัจจะ  ยาทิมหิ  มะหาลาภัง  ภะวันตุ  เม ฯ