พระโมคคัลลานเถระ
เอตทัคคะในทางผู้มีฤทธิ์
    พระมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหม์นายบ้าน ในหมู่บ้านโกลิตคามได้ชื่อว่า “ โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา ท่านเป็นสหายที่รักกันมากกับอุปติสสมาณพ เที่ยวแสวงหาความสุขความสำราญ ตามประสาวัยรุ่น และพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน และยังได้ออกบวชพร้อมกันอีกด้วย ( ประวัติเบื้องต้นของท่านพึงศึกษาจากประวัติของพระสารีบุตร)
ทรงแสดงอุบายแก้ง่วงแก่พระโมคคัลลานะ

   พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลลวาลามุตตความ แขวงมคธ พูกถินมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สวนเภสกาลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้ปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้

    ๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดอย่างแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

    ๒. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

    ๓. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตะให้ละความง่วงได้

    ๔. ถ้ายังไม่ได้ละ เธอควรย่อนช่องหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ามือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

    ๕. ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตาลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

    ๖. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา คือกำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

   

    ๗. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

    ๘. ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจให้ว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรับลุกด้วยความตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลื้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้ พระพุทธองค์ ตรัสสอนอธิบายเพื่อบรรเทาความง่วงโดยลำดับ จนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่นอนอย่างมีสติ เมื่อประทานอุบายแก้ง่วงดังนี้แล้วได้ประทานพระโอวาสอีก ๓ ข้อ คือ

    ๑ . โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจะไม่ชูงวง คือ ความถือตัวว่าเราเป็นนั้นเป็นนี่ เข้าไปในสกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วยคิดว่า เขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคนในสกุลเขามีการงานมาก ก็จะเกิดอิดหนาระอาใจ ถ้าเขาไม่ใส่ใจต้อนรับ เธอก็จะเขินคิดไปในทางต่าง ๆ เกิดความฟุ้งซ่านไม่สำรวม จิตก็จะห่วงจากสมาธิ

    ๒. โมคคัลลานะ เธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุเถียงกันเพราะถ้าเถียงกันก็จะต้องพูดมาก และผิดใจกัน เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่าน ไม่สำรวม และจิตก็ห่วงจากสมาธิ

    ๓. โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงแต่ไม่ตำหนิการคลุกคลีไปทุกอย่าง คือ เราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชนทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงัดปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย

    ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันเป็นธรรมชักนำไปสู่การสิ้นตัญหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบ ให้จิตติดอยู่

    พระพุทธองค์ ตรัสสอนในเรื่องธาตุกรรมฐาน โดยใจความว่า “ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็ควรกำหนดธรรมเหล่านั้น ในยามเมื่อเสวยเวทนา อันเป็นสุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง และให้พิจารณาด้วยปัญญา อันประกอบด้วยความหน่ายความดับ และความไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตก็พ้นจากอาสวกิเลสเป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่แล้ว”

    พระมหาโมคคัลลานะ ได้สดับพระบรมพุทโธวาทนี้แล้วปฏิบัติตาม และก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น อันเป็นวันที่ ๗ หลังจากที่ท่านอุปสมบท


ได้รับยกย่อมในทางอิทธฤทธิ์

    เมื่อพระมหาโมคคัลลานะ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจ และยังพุทธดำริต่าง ๆ ให้สำเร็จด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ จนได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีฤททธิ์ และทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พระอัครสาวกเบื้องซ้าย โดยทรงยกย่องให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า

    “ พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร พระโมคคัลลานะเป็นพระสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว พระสารีบุตร ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะ ย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงขึ้นไป”

    นอกจากนี้ พระโมคคัลลานะ ยังเป็นผู้มีควาวมสามารถในการ นวกรรมคือ งานก่อสร้าง พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่ นวกัมมาธิฏฐายี คือ ผู้ควบคุมดูแลการก่อนสร้างวิหารบุพพาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจากทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย


พระเถระมีความสามารถในทางอิทปาฏิหาริย์

    พระมหาโมคคัลลานะ เมื่อบวชและสำเร็จเป็นพระอรหัต์แล้วปรากฏว่าท่านมีความสามารถโดดเด่นในทางอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายท่านสามารถแสดงฤทธิ์ ไปยังภูมิของสัตว์นรกและไปโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ได้ ท่านได้พบเห็นสัตว์นรกขุมต่าง ๆ ที่ได้รับทุกข์ทรมานด้วยผลบาปกรรมที่มำไว้ในเมืองมนุษย์ ได้พบเห็นเทพบุตรเทพธิดา ที่ได้เสวยความสุขจากการทำบุญไว้ในเมืองมนุษย์เช่นกัน

    ท่านได้นำข่าวสารของสัตว์นรกและของเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้น มาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ ทำให้บรรดาญาติและชนเหล่านั้นพากันละเว้นกรรมชั่วลามกอันจะพาตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์ และพร้อมกันนั้นก็พากันทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติของตน เหล่าชนบางพวกที่ไม่มีศรัทธาเลื้อมใสในพระพุทธศาสนา ก็พากันละทิ้งเดียรถีย์ ทั้งหลายต้องเสื่อมจากลาภสักการะ เป็นอยู่ลำบากอดอยากขึ้นเรื่อง ๆ

    เรื่องที่พระเถระไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ นั้นมีเรื่องกล่าวไว้ในคัมภีร์ธรรมบทหมวดปิยะวรรคและโกธวรรคว่า

    วันหนึ่งพระเถระได้ขึ้นไปยังดาวดึงส์สวรรค์ ด้วยอิทธิฤทธิ์ ได้เห็นปราสาทหลังหนึ่ง มีแสงแวววาวแก้วนานาประการ มีขนาดใหญ่ทั้งกว้างทั้งสูง มีนางเทพธิดาอยู่ในปราสาทนั้นจนเนืองแน่น พระเถระจึงถามว่า

    “ แม่เทพธิดา วิมารนี้เป็นของใคร ( เกิดขึ้นเพื่อใคร )?”

    “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ วิมานนี้เกิดขึ้นเพื่อนันทิยะ ผู้สร้างศาลา ๔ มุข ๔ ห้อง ถวายพระบรมศาสดา พวกดิฉันมาเกิดในที่นี้ก็ด้วยหวังว่าจะได้เป็นบาทจาริกาของนันทิยะนั้น แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่พบนันทิยะ เพราะท่านยังไม่ละอัตภาพจากโลกมนุษย์เลยขอพระคุณเจ้าได้โปรดนำข่าวสารไปบอกแก่นันทิยะให้ละอัตภาพมนุษย์อันเปรียบประดุจถาดดิน มาถือเอาอัตภาพอันเป็นทิพย์ ซึ่งเปรียบประดุจถาดทองคำล้ำค้าในโลกสวรรค์นี้ด้วยเถิด เจ้าค่ะ”

    อันที่จริง วิมานนั้นได้เกิดขึ้นบนสวรรค์ดาวดึงส์พร้อมกับขณะที่นันทิยมาณพ ได้สร้างศาลาจตุรมุขมี ๔ ห้อง ถวายแด่พระบรมศาสดา

    พระเถระได้ท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ชั้นอื่น ๆ ได้พบเห็นวิมานทองของเหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายแล้ว ได้ไต่ถามเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นว่าทำบุญอะไร ทำทานด้วยสิงใด จึงเสวยผลบุญ ได้รับทิพย์สมบัติวิมานแก้ววิมานทองอันงดงามยิ่งนักเช่นนี้

    เทพบุตรและเทพธิดาเหล่านั้น ต่างก็รู้สึกละอายที่จะบอกแก่พระเถระเพราะบุตญทานที่พวกตนกระทำนั้นมีประมาณเพียงเล็กน้อย คือ

    - บางองค์บอกว่า เพียงรักษาคำสัตย์ จึงได้สมบัติคือวิมานนี้

    - บางองค์บอกว่า เพียงห้ามความโกรธ จึงได้วิมานนี้

    - บางองค์บอกว่า เพียงถวายอ้อยลำเดียว จึงได้วิมานนี้

    - บางองค์บอกว่า เพียงถวายมะพลับ , ลิ้นจี่ , ฯลฯ ผลเดียว จึงได้วิมานนี้

    พระเถระจาริกไปยังสวรรค์ชั้นต่าง ๆ พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็กลับมาสู่มนุษย์โลก นำข่าวสารที่ได้พบเห็นมาแจ้งแก่หมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งต่างก็พากันศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธสาสนา ทำบุญสร้างกุศล เพื่อหวังผลอันเป็นสุขสมบัติในปรโลก


พระเถระทรมานพญานาค

    สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงพิจาณาเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของนักบวชนอกพระพุทธศาสนานามว่า “ อัคคิทัต” จึงสั่งให้พระมหาโมคคัลลานะเถระไปอบรมสั่งสอนให้ลดทิฏฐิมานะละการถือลัทธินั้นเสีย

    พระเถระรับพุทธบัญชาแล้วไปยังสำนักของอัคคิทัตนั้น กล่าวขอที่พักอาศัยราตรีหนึ่ง แต่อัคคิทัตปฏิเสธว่าไม่มีสถานที่ให้พัก พระเถระจึงกล่าวต่อไปว่า “ อัคคิทัต ถ้าอย่างนั้น เราขอที่พักที่กองทราบนั้นก็แล้วกัน”

    ก็ที่กองทรายนั้นมีพญานาคตัวใหญ่มีพิษร้ายแรงอาศัยอยู่อัคคิทัตเกรงว่าพระเถระจะได้รับอัตรายจึงไม่อนุญาต แต่เมื่อพระเถระรบเร้าหนักขึ้นจนต้องยอมอนุญาต พระเถระจึงเดินไปที่กองทรายนั้น พญานาคเห็นพระเถระเดินมารู้ว่าไม่ใช่พวกของตนจึงพ้นควันพิษเข้าใส่พระเถระ ฝ่ายพระเถระก็เข้าเตโชกสินบังหวนควันไฟให้กลับไปทำอันตรายแก่พญานาค ทั้งพระเถระและพญานาคต่องก็พ่นไฟเข้าใส่กันจนเกิดแสงสว่างรุ่งโรจน์โชตนาการ พิษควันไฟไม่สามรถทำอันตราบพระเถระได้เลย แต่ทำอันตรายแก่พญานาคฝ่ายเดียว

    อัคคิทัตกับบริวารมองดูแล้วคิดตรงกันว่า “ พระเถระคงจะมอดไหม้ในกองเพลิงเสียแล้ว” พร้อมทั้งคิดว่า “ สาสมแล้ว เพราะเราห้ามแล้วก็ไม่ยอมเชื่อฟัง”

    รุ่งเช้า อัคคิทัตกับบริวารเดินมามาดู ปรากฏว่าพระมหาโมคคัลลานะเถระนั่งอยู่บนกองทรายโดยมีพญานาคขดรอบกองทรายแล้วแผ่พังพานอยู่เหนือศีรษะพระเถระ จึงพากันคิดว่า “ น่าอัศจารรย์ สมณนี้มีอนุภาพยิ่งนัก”

    ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง พระมหาโมคคัลลานะเถระจึงลงจากกองทรายแล้ว เข้าไปกราบบังคมทูลอาราธนาให้เสด็จประทับนั่งบนกองทรายแล้วกล่าวกับอัคคิทัตว่า “ พระพุทธองค์ เป็นศาสดาของข้าพเจ้า ๆ เป็นสาวกของพระองค์ ”

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้อัคคิทัตพร้อมทั้งบริวารเลิกละการเคารพบูชาภูเขา ป่า ต้นไม้ และจอมปลวก เป้นต้น ที่พวกตนพากันเคารพบูชาว่าเป็นที่พึ่งอันเกษมสูงสุด ให้หันมาระลึกถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดนำไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งปวง

    เมื่อจบพระธรรมเทศนา อัคคิทัตและบริวาร ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมดแล้วกราบทูลขอบรรพชาในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาให้ประทานให้ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

    เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของพระมหาโมคคัลลานะเถระนั้นมีมาก แต่นำมากล่าวไว้ในที่นี้พอเป็นตัวอย่างเพียงเท่านนี้


พระเถระมีอัธยาศัยใจกว้าง

    พระมหาโมคคัลลานะเถระ ผู้เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมและความสมารถในอิทธิปาฏิหารย์เหนือกว่าพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ แต่ท่านก็เป็นผู้มีอัธยาศัย ใจกว้างไม่กีดกัน ไม่เบียดบังความดีความสามารถของคนอื่น ไม่ฉ่วยโอกาสชิงความดีความชอบจากผู้อื่น ดังจะเห็นได้จากเรื่องต่อไปนี้

    สมัยหนึ่ง เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ อยากจะเห็นพระอรหันต์แท้จริงเพราะในเมืองราชคฤห์นั้นมีเจ้าลัทธิหลายสำนักซึ่งต่างก็โอ้อวดว่าตนเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติและหลักคำสอนก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และหาแก่นสารมิได้ จึงให้บริวารกลึงไม้จันทน์แดงทำเป็นบาตรแล้วผูกติดไม้ไปต่อกันหลาย ๆ ลำตั้งแล้วประกาศว่า “ ผู้ใดเป็นพระอรหันต์ ก็จงเหาะมาเอาบาตรใบนี้ไป”

    เจ้าลัทธิทั้งหลายปราถนาจะได้บาตร แต่ไม่สามารถเหาะมาเอาไปได้จึงมาเกลี้ยกล่อมเศรษฐีให้ยกบาตรให้ตน โดยไม่ต้องเหาะขึ้นไป แต่เศรษฐีก็ยังคงยืนยันว่าต้องเหาะขึ้นไปเอาเองเท่านนั้นจึงจะได้

    ขณะนั้น พระมหาโมคคัลลานะเถระกับพระปิณโฑลภารทวาชเถระ กำลังยืนห่มจีวรอยู่บนก้อนหินใหญ่ เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ได้ยินพวกชาวบ้านพูดกันว่า “ ในโลกนี้ คงจะไม่มีพระอรหันต์ เพราะวันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้วที่ท่านเศรษฐีประกาศให้พระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร แม้แต่ครูทั้ง ๖ ที่โอ้อวดนักหนาว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ยังไม่สามรถเหาะขึ้นไปเอาบาตรได้เลย เราเพิ่งรู้วันนี้เองว่าพระอรหันต์ไม่มีในโลก”

    พระเถระทั้งสอง ต้องการประกาศให้ประชาชนทั้งหลายรู้ว่าในพระพุทธศาสนามีพระอรหันต์อยู่จริง ดังนั้น พระโมคคัลลานะเถระ แม้จะมีฤทธิ์มีอานุภาพมากกว่า มีอายุพรรษามากกว่า แต่อาศัยความที่ท่านเป็นผู้มีใจกว้างมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ต้องการให้คุณของพระเถระรูปอื่นปรากฏบ้าง จึงบอกให้พระปิณโฑลภารทวาชเถระเหาะขึ้นไปเอาบาตรนั้นลงมา จนเศรษฐีและชาวเมืองพากันแตกตื่นมาดูกันอย่างโกลหล

    อีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อพระบรมศาสดา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก มหานที่ประชุมกันอยู่ที่นั้นไม่ทราบว่าพระพุทธองค์หายไปไหน จึงพากันเข้าไปถามพระมหาโมคคัลลานะเถระ

    แม้พระเถระจะทราบเป็นอย่างดี แต่ท่านก็ไม่ตอบโดยตรง กลับมอบให้ไปถามพระอนุรทธเถระ ทั้งนี้ ก็เพื่อยกย่องคุณความรู้ความสามารถของพระพุทธสาวกรูปอื่น ๆ ให้ปรากฏบ้างนั้นเอง


พระมหาโมคคัลลานะถูกโจรทุบ

    วันเวลาผ่านไปตามลำดับ เข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะพักอยู่ที่กาฬศิลา ในมคฤธชนบทนั้น

    พวกเดียรถีย์ทั้งหลาย มีความโกรธแค้นพระโมคคัลลานะ เป็นอย่างมาก เพราะความที่ท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ไปเยี่ยมชมสวรรค์นรกได้ แล้วนำข่าวสารมาบอกแก่ญาติมิตรของผู้ไปเกิดในสวรรค์และนรกให้ได้ทราบประชาชนทั้งหลายจึงพากันเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาทำให้พวกเดียรถีย์ ต้องเสื่อมคลายความเคารพนับถือจากประชาชน ลาภสักการะก็เสื่อมลง ความเป็นอยู่ก็ลำบากฝืดเคือง จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นเป็นอันเดียวกันว่า “ ต้องกำจัดพระมหาโมคคัลลานะ เพื่อตัดปัญหา”

    ตกลงกันแล้ว ก็เรี่ยวไรเงินจากบรรดาศิษย์ และอุปัฏฐากของตน เมื่อได้เงินมาพอความต้องการแล้ว ได้ติดต่อจ้างโจรให้ฆ่าพระเถระ พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง ๒ ครั้ง

    ในครั้งที่ ๓ พระเถระได้พิจรณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกแหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งในป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป


บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะเถระ

    ในอดีตชาติ พระมหาโมคคัลลานะเถระ เกิดเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ต่อมาเมื่อเจริญเติมโตขึ้นพ่อแม่ทั้งสองประสบเคราะห์กรรมตาบอดด้วยกันทั้งสองคนเป็นภาระที่ลูกชายคนเดียวต้องปรนนิบัติเลี้ยงดู การงานทุกอย่างทั้งนอกบ้านในบ้านลูกชายจัดการเป็นที่เรียบร้อย พ่อแม่ทั้งสองมิต้องกังวล

    ต่อมา พ่อแม่เห็นว่าลูกชายอยู่ในวัยที่สมควรจะมีครอบครัวได้แล้วจึงจัดการสู่ขอหญิงสาวที่มีชาติตระกูลใกล้เคียงกัน ให้มาแต่งงานเป็นคู่ครองของลูกชายทั้ง ๆ ที่ลูกชายมิได้เต็มใจ เพราะตนเองผู้เดียวก็สามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อบิดามารดาเป็นภาระจัดการให้แล้วก็ไม่ขัดความประสงค์ของท่าน เมื่อแต่งงานแล้วชีวิตครอบครัวที่มีลูกสะใภ้พ่อผัวแม่ผัวอยู่ร่วมกันมาในระยะแรก ๆ ก็ราบรื่นสงบสุขเป็นอย่างดี

    เมื่อกาลเวลาผ่านนาน ๆ ไป ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจพ่อผัวแม่ผัวที่ตาบอดด้วยกันทั้งสองคน จึงหาวิธีกำจัดท่านทั้งสองด้วยการยุแหย่สามีให้เกลียดชังพ่อแม่คือ เมื่อสามีออกไปทำงานนอกบ้านก็แกล้งทำบ้านเรือนให้สกปรกรกรุงรัง เมื่อสามีกลับมาก็ฟ้องว่าพ่อแม่ทั้งสองเป็นผู้กระทำ ตนเองไม่สามารถที่จะทรมานเห็นทนอยู่กับผู้เฒ่าตาบอดทั้งสองคนนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

    ระยะแรก ๆ สามีก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร นักได้แต่รับฟังแล้วก็นิ่งเฉย แต่เมื่อภรรยาพูดบ่อย ๆ และเห็นบ้านเรือนสกปรกมากยิ่งขึ้นจึงเชื่อคำของภรรยาและได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับคนตาบอดทั้งสองคนนี้ดี

    “ เอาท่านใส่เกวียนไปฆ่าทิ้งในป่า ” ภรรยาเสนอความคิดเห็น

    สามีแม้จะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะตนเป็นคนรักและกตัญญูต่อพ่อแม่มาตลอดแม่เมื่อภรรยารบเร่าไม่รู้จบสิ้นจึงใจอ่อนยอมทำตามที่ภรรยาแนะนำ รุ่งเช้า ได้จัดอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นอย่างดีแล้วกล่าวว่า

    “ ข้าแต่คุณพ่อคุณแม่ ญาติที่หมู่บ้านโน้นต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมพวกเราไปกันในวันนี้เถิด”

    ลูกชายให้พ่อแม่นั่งบนเกวียนแล้วออกเดินทาง พอมาถึงกลางป่าส่งเชือกบังโคให้พ่อถือไว้แล้วพูดว่า

    “ คุณพ่อจับปลายเชือกนี้ไว้ โคจะลากเกวียนไปตามทางนี้ ทราบว่าในป่านี้มีพวกโจนซุ่มอยู่ ลูกจะเดินตรวจดูโดยรอบ ”

    เมื่อลงเดินไปได้สักครู่หนึ่ง ก็เปลี่ยนเสียงร้องตะโกนประหนึ่งว่าเสียงโจรดักซุ่มอยู่ แล้วเข้ามาทุบตีบิดามารดา

    ฝ่ายบิดามารดาเชื่อว่าเป็นโจรจริง ๆ แม้จะถูกทุบตีอยู่ก็ยังร้องขอกให้ลูกรีบหนีไป พ่อแม่แก่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ลูกจงรักษาชีวิตไว้เถิด

    ลูกชาย ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ร้องบอกอยู่อย่างนั้น ก็ยังทุบตีอยู่จนตายด้วยมือของตน ทิ้งศพไว้ในป่านั้นแล้วตนเองก็เดินทางกลับบ้าน

    อนึ่ง ในอรรถกถาสรภังคชาดก คัมภีร์ขุททกนิกาย กล่าวเนื้อความในตอนนี้ว่า ลูกชายพอได้ยินเสียงมารดาบิดาร้องบอกให้รีบหนีไปไม่ต้องเป็นห่วงพ่อแม่ก็กลับคิดได้ว่า “ ตนทำกรรมหนัก พ่อแม่แม้จะถูกเราทุบตีอยู่นี้ ก็ยังร้องคร่ำครวญด้วยความรักและห่วงใยให้เรารีบหนีไปโดยมิได้คำนึงถึงชีวิตของตนเอง” ดังนี้แล้วจึงเข้าไปบีบนวดให้แล้วบอกกับพ่อแม่ว่า “ บัดนี้พวกโจรหนีไปหมดแล้ว” จากนั้นก็นำท่านกลับมาปรนนิบัติดูแลที่บ้านอย่างดี

    ลูกชายเมื่อตายแล้วต้องชดใช้กรรมในนรกเป็นเวาลานาน เมื่อพ้นจากนรกแล้วมาเกิดใหม่ ต้องถูกทุบตีจนแหลกละเอียดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายนี้ แม้จะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลวดังกล่าวมานั้นเอง


กราบทูลลานิพพาน

    พระโมคคัลลานะเถระ คิดว่า “ เราควรไปกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคก่อนจึงจะปรินิพพาน” ดังนี้แล้วก็เรียบเรียงสรีรกายประสานกระดูกผูกให้มั่นด้วยกำลังฌาณ เหาะมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลลาปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ โมคคัลลานะ เธอจะนิพพาน ที่ไหน เมื่อไหร่ ?”

    “ ข้าพระองค์ จะนิพพานที่กาฬศิลาในวันนี้ พระเจ้าข้า”

    “ โมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพร้อมทั้งทรงอนุญาตแล้วตรัสต่อไปอีกว่า “ ต่อแต่นี้ไปภิกษุทั้งหลายจะไม่ได้เห็นพระสาวกเช่นเธออีกแล้ว ขอเธอจงช่วยอนุเคราะห์แสดงธรรมให้ภิกษุทั้งหลายฟังก่อนเถิด”

    พระเถระได้รับพระพุทธบัญชาเช่นนั้นจึงลุกขึ้นถวายบังคมรับพระพุทธดำรัสแต่ก่อนที่จะแสดงธรรมท่านได้เหาะขึ้นไปสูงได้ชั่วต้นตาล ๑ แล้วกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้า จากนั้นก็ได้เหาะกลับขึ้นไปอีกแล้วกลับลงมาถวายพระพุทธเจ้าอีก ท่านทำอยู่อย่างนี้ถึง ๗ ครั้ง กล่าวคือท่านเหาะขึ้นไปสูงถึง ๗ ชั่วลำตาล และในแต่ละชั่วลำตาลนั้นท่าาได้เหาะกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าทุกครั้ง ขณะที่เหาะอยู่สูงถึง ๗ ชั่วลำตาลนั้นท่านได้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ มากกว่าร้อยแล้วจึงแสดงธรรม ขณะที่แสดงธรรมอยู่นั้นท่านก็ได้แสดงฤทธิ์แล้วลงมาถวายอภิวาทกราบทูลลาไปยังกาฬศิลา และปรินิพพาน ณ ที่นั้น ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรนิพพานได้ ๑๕ วัน

    พระผู้มีพระภาค เสด็จไปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ทรงเป็นองค์ประธานจุดเพลิงฌาปนกิจศพให้ท่าน ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ตกลงมาโดยรอบบริเวณ มหาชนพากันประชุมทำสักการะอิฐิธาตุตลอด ๗ วัน พระพุทธองค์โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ ที่ใกล้ซุ้มประตูแห่งพระเชตวันมหาวิหารนั้น

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระอัครสาวกทั้งขวาและซ้ายนิพพานหมดแล้ว ก็เปรียบประหนึ่งต้นหว้าแก่ที่กิ่งใหญ่ทั้งสองหักลงแล้ว คงเหลือแต่พระอานนท์ ผู้เป็นพุทธอุปฐากเพียงองค์เดียว เที่ยวติดตามประหนึ่งว่าเงาตามพระองค์ ฉะนั้น...