พระราหุลเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ใคร่ในการศึกษา
พระราหุล เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ ( พุทธโอรส) กับ พระนางยโธรา หรือ พิมพา เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองนครกบิลพัสดิ์ ประสูติวันเดียวกันกับพระบิดาเสด็จออกบวช ดังนั้น ท่านจึงเจริญพระชันษาเติมโตขึ้นมาโดยมิเคยเห็นพระพักตร์รู้จักพระบิดาเลย จวบจนครั้นเมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เสด็จมาโปรดพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดิ์ ประทับอยู่นิโครธารามที่พระประยูรญาติสร้างถวาย ในวันรุ่งขึ้นเวลาเช้าทรงปฏิบัติพุทธกิจ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครกบิลพัสดิ์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพระบิดาในระหว่างถนน ให้พระบิดาดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล
ในวันที่ ๒ เสด็จเข้าไปรับบิณฑบาตในพระราชนิเศน์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระบิดาและพระนางมหาปชาบดีโคตมี เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระบิดาดำรงอยู่ในพระสทาคามี ส่วนพระนางมหาปชาบดีโคตมี ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้พระพุทธองค์จะเสด็จเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ถึง ๖ วันแล้วก็ตาม แต่พระนางพิมพาพระมารดาของราหุลกุมาร ก็มิได้มาเฝ้าพระพุทธองค์ดุจบุคคลอื่น ๆ เลย
ราหุลกุมารทูลขอทรัพย์สมบัติ
ครั้นล่วงถึงวันที่ ๗ แห่งการเสด็จเยือนพระนครกบิลพัสดิ์ พระนางพิมพาราชเทวี ประดับตกแต่งองค์ราหุลกุมารราชโอรสด้วยอาภรณ์อันวิจิตรแล้วตรัสว่า
พ่อราหุลลูกรัก พ่อจงไปดูพระสมณผู้มีผิวพรรณผ่องใส มีรูปร่างงามประดุจท่านท้าวมหาพรหม แวดล้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก พระสมณะองค์นั้นคือพระบิดาของเจ้า พระองค์มีขุมทรัพย์มหาศาลอันสุดจะคณนา นับแต่พระบิดาของเจ้าออกบวช เจ้าก็เหมือนหมดหวังในราชสมบัติ เจ้าจงไปกราบไหว้พระบิดาแล้วกราบทูลขอทรัพย์สมบัตินั้นในฐานะเป็นทายาทสืบสันติวงศ์ต่อพระองค์เถิด
ราหุลกุมาร เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามพระดำรัสของพระมารดา กราบถวายบังคมแล้ว ทอดพระเนตรดูพระสัพพัญญู บังเกิดความรักในพระบิดา ทรงปราโมทย์โสมนัสตรัสชมว่า ร่มเงาของพระองค์เย็นสดชื่นยิ่งนัก พระพักตร์ของพระองค์สดใสสุดประมาณ ดังนี้แล้ว ก็ตรัสเรื่องอื่น ๆ ต่อไป โดยมิได้กราบทูลขอทรัพย์สมบัติ
พระพุทธองค์ ทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ตรัสอนุโทนา เสด็จกลับสู่นิโครธาราม ส่วนราหุลกุมารก็เสด็จติดตามไปจนถึงอาวาส มิมีผู้ใดจะสามารถกราบทูลทัดทานได้ เมื่อสบโอกาสจึงกราบทูลขอทรัพย์สมบัติอันเป็นสิ่งที่รัชทายาทผู้สืบราชสันติวงศ์จะพึงได้รับ
พระราชทานอริยทรัพย์
พระบรมศาสดา ได้ทรงสดับดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า ราหุลกุมารปรารถนาทรัพย์สมบัติอันเป็นของพระบิดา ถ้าตถาคตจะให้ขุมทองแก่เธอแล้ว ก็จะเป็นสิ่งชักนำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ด้วยเป็นสิ่งหาสาระแม้สักนิดหนึ่งก็หามิได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะมอบทรัพย์อันประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนานี้แก่เธอ ซึ่งจะทำให้เธอเป็นโลกุตรทายาท สืบสกุลในพุทธวงศ์นี้สืบไป
ครั้นแล้วทรงมีพระดำรัสสั่งให้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จัดการบรรพชาให้แก่ราหุลกุมารในวันนั้น ด้วยวิธีให้รับไตรสรณคมน์ และสามเณรราหุล ได้ชื่อว่าเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา
พระเจ้าสุทโธทนะทูลขอพร
พระจ้าสุทโธทนะ เมื่อทราบว่าราหุลกุมารบรรพชาแล้ว ทรงโทรมนัสเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่งด้วยหวังไว้แต่เดิมว่า เมื่อพระราชโอรสสิทธัตถะออกบวชแล้วก็หวังจะได้นันทกุมารสืบราชสมบัติต่อ แต่พระบรมศาสดาก็ทรงพานันทออกบวชทำให้ผิดหวังเป็นคำรบสอง แต่ยังหวังอยู่ว่าจะให้ราหุลกุมารหลานรัก เป็นทายาทสืบราชสมบัติต่อไป แต่แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำไปบวชเสียอีก จึงหมดสิ้นผู้จะสืบสายรัชทายาท ทรงดำริต่อไปอีกว่า หากปล่อยไว้อย่างนี้อีกไม่นานบรรดากุมารในศากยสกุลก็จะถูกนำไปบวชจนหมดสิ้น อนึ่ง ความทุกข์โทมนัสอย่างนี้ก็จะเกิดแก่บิดามารดาในสกุลอื่น ๆ ด้วยเหตุสิ้นคนสืบสกุล จึงรีบเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในนิโครธาราม กราบทูลขอประทานพระพุทธานุญาตว่า
ข้าแต่พระผู้เจริญ นับต่อแต่นี้ไป ถ้ากุลบุตรผู้ใดแม้ประสงค์จะบวชในพระพุทธศาสนา หากมารดาบิดายังมิพร้อมใจกันอนุญาตให่บวชแล้วขอได้โปรดงดเสีย อย่าได้ให้บรรพชาแก่กุลบุตรผู้นั้นเลย
พระบรมศาสดา ได้ประทานพรตามที่พระพุทธบิดากราบทูลขอแล้วถวายพระพรลา พาพระนันทะและสามเณรราหุล พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จกลับสู่มหานครราชคฤห์
ได้รับยกย่องเป็นผู้ใคร่การศึกษา
พระราหุล เป็นผู้มีอัธยาศัยใคร่ต่อการศึกษาพระธรรมวินัย ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมาเวลาเช้า ท่านจะกำทรายให้เต็มฝ่าพระหัตถ์แล้วตั้งความปรารถนาว่า วันนี้ ข้าพเจ้าขอให้ได้รับคำสั่งสอนจากสำนักพระบรมศาสดา สำนักพระอุปัชฌาย์และสำนักพระอาจารย์ทั้งหลาย ให้ได้ประมาณเท่าเม็ดทรายในกำมือของข้าพเจ้านี้
ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา ให้ดำรงค์ตำเหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ใคร่ในการศึกษา
พระพุทธเจ้าและพระอุปชฌาอาจารย์ ตามหลักฐานระบุว่าก่อนบรรลุอรหัตผล ท่านยังเป็นเด็กชอบพูดเล่น พระพุทธองค์จึงทรงสอนท่านให้สำรวมในการพูด ความว่า
บุคคลผู้ไม่มีความละอายในการพูดเท็จ
ที้งที่รู้ตัวอยู่ ย่อมทำบาปกรรมได้ทุกอย่าง
ฉะนั้น ต้องสำเนียกเสมอว่า
จักไม่กล่าวเทจ แม้เพียงประสงค์จะให้หัวเราะเล่น
ครั้งที่ ๒ เมื่อท่านอายุได้ ๑๘ ปี พระพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์จะบ่มปัญญาพิจรณาไตรลักษณ์ของท่านให้แก่กล้าจึงตรัสสอน ความว่า
รูปทุกชนิดทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
ทั้งที่มีอยู่ภายในหรือภายนอก ทั้งที่หยาบหรือที่ละเอียด
ทั้งที่ทรามหรือประณีต ทั้งที่อยู่ใกล้หรือไกล
เธอพึงพิจจรณารูปทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาชอบ
ตามความเป็นจริงว่า นั้นไม่ใช่ของเรา
เราไม่เป็นนั้น นั้นไม่ใช่อัตตาของเรา
ครั้งที่ ๓ เมื่อท่านมีอายุ ๒๐ ปี พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ปัญญาของท่านแก่กล้าแล้วจึงตรัสเตือนให้ท่านทำทุกข์ให้หมดสิ้นให้ได้ ความว่า
เธอละกามคุณ ๕ ที่น่ารักใคร่ชอบใจ
ออกจากเรือนมาด้วยศรัธา จงทำทุกข์ให้สิ้นไปให้ได้
จงคบกัลยาณมิตร จงอยู่ในเสนาสนะที่สงบสงัด ปราศจากเสียงอึกทึกครึกโครม
จงรู้จักฉันอาหารแต่พอประมาณ
อย่าติดใจในจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
จงอย่ากลับมาสู่โลกนี้อีก จงสำรวมในพระปาฏิโมกข์และในอินทรีย์ ๕
จงมีสติอยู่กับตัว จงมากด้วยความเบื่อหน่าย
จงเว้นนิมิตรอันสวยงามที่ประกอบด้วยราคะ
จงอบรมจิตให้มั่นคง แน่วแน่ในความสำคัญว่าไม่สวยไม่งาม
จงอบรมจิตให้ไม่มีนิมิตร
จงถอนความถือตัว อันเป็นกิเลสที่นอนเนื้องอยู่ในสันดานให้ได้
เพราะเมื่อละความถือตัวได้แล้ว เธอจงจาริกไปอย่างสงบ
พระราหุลฟังพระพุทธเจ้าพลางพิจจารณาตามพลาง เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล
เป็นต้นบัญญัต ห้ามภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบัน
ในขณะเมื่อท่านยังเป็นสามเณรเล็ก ๆ อยู่นั้น ท่านเป็นผู้ว่านอนสอนง่ายจนเป็นที่เลื่องลือในหมู่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยว่า ครั้งหนึ่งพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังธรรมกันยามค่ำคืน โดยมีพระเถระผลัดเปลี่ยนกันแสดงธรรม เมื่อสิ้นสุดการแสดงธรรมแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ต่างก็กลับที่พักของตน ส่วนพระภิกษุผู้บวชใหม่ และสามเณรรวมทั้งอุบาสก ที่ไม่สามารถจะกลับที่พักได้เพราะค่ำมืดจึงอาศัยนอนกันในโรงธรรมนั้น
เนื่องจากเป็นพระบวชใหม่ จึงไม่สำรวมในการนอน ทำให้เกิดภาพที่ไม่น่าดู รุ่งเช้า อุวาสกทั้งหลายพากันติเตียนและทราบไปถึงพระผุ้มีพระภาค พระพุทธองค์จึงรับสั่งประชมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุนอนร่วมในที่มุงที่บังกันกับอนุปสัมบัน ( อนุปสัมบัน คือผู้มิใช่พระภิกษุ) ถ้านอนร่วมต้องอาบัติปาจิตตีย์
ครั้นในการคืนต่อมา สามเณรไม่สามารถจะนอนร่วมกับพระภิกษุได้ และเมื่อไม่มีที่จะนอน ท่านจึงเข้าไปนอนในเว็จกุฏิ ( ส้วม ) ของพระบรมศาดาเมื่อเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาหมายจะเข้าวัจกุฏิ พระราหุลได้ยินเสียงกระแอมของพระพุทธเจ้าจึงรีบออกมาถวายบังคม พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามว่า
ราหุล ทำไมเธอจึงมานอนที่นี่
พระราหุลจึงได้กราบทูลให้ทรงทราบ พระองค์สลดพระทัยจึงดำริว่า
ต่อไปภายหน้า สามเณรน้อย ๆ จะได้รับความลำบาก จะถูกทอดทิ้งไม่มีใครสนใจ จึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วตรัสถามพระสารีบุตร
สารีบุตร เธอรู้ไหมว่า เมื่อคืนนี้ราหุลนอนที่ไหน
ไม่ทราบ พระพุทธเจ้าข้า พระสารีบุตรทูลตอบพระพุทธเจ้าตรัสเล่าว่าให้ฟังแล้วตรัสตำหนิพระสาวกในที่ประชุมสงฆ์ว่า ภิกษุทั้งหลายขนาดตถาคตยังอยู่พวกเธอยังพากันทอดทิ้งสามเณรกันถึงเพียงนี้แล้ว ต่อไปภายหน้าเล่า เมื่อตถาคตนิพพานแล้วจะมีใครดูแลสามเณร
จากนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติเพิ่มเติมต่อจากที่ได้ทรงบัญญัติแล้ว โดยทรงอนุญาตว่า
ให้ภิกษุนอนร่วมกันอนุปสัมบันได้ ๓ คืน ถ้าเกิน ๓ คืน พระภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์
ในพระพุทธบัญญัตินี้ หมายถึงให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๓ คืน ในคืนที่ ๔ ให้เว้นเสีย ๑ คืนแล้วค่อยกลับมานอนรวมกันใหม่ได้ โดยเริ่มนับหนึ่งใหม่จนถึงคืนที่ ๓ ทำโดยทำนองนี้จนกว่าจะมีสถานที่นอนแยกกันเป็นการถาวร
ความเป็นผู้ว่านอนสอนง่ายของพระราหุลครั้งนี้เป็นที่เลื้องลือไปทั่ว พระสาวกได้นำมาพูดคุยกันในโรงธรรมเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงอดีตชาติของท่าน
ความกตัญญู เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งท่านยังเป็นสามเณรอยู่นั้น พระมารดา คือ พระนาง ยโสธรา ซึ่งบัดนี้ได้ออกบวชเป็นภิกษุณีแล้วเกิดประชวรด้วยโรคลม พระราหุลได้ไปเยี่ยมพระมารดา ครั้นได้ทราบว่าประชวรก็ห่วงใย ยิ่งได้ทราบว่าพระมารดาประชวรถึงขั้นไม่สามารถลุกขึ้นได้ก็ยิ่งทำให้ใจเสียเกรงว่าพระมารดาจะสิ้นพระชนม์ พระนางพิมพาเถรี ทรงทราบว่าสามเณรลูกชายมาเยี่ยมจะเสด็จลุกก็ไม่สามารถจะเสด็จลุกขึ้นได้
ข้าแต่พระมารดา มีความประสงค์สิ่งใดที่จะนำมารักษาอาพาธนี้ จงตรัสบอกสิ่งนั้นแก่กระหม่อมมาเถิด "
ดูก่อนราหุลปิยบุตร สมัยเมื่อโยมอยู่ในราชนิเวศน์ เคยดื่มน้ำมะม่วงผสมกับน้ำตาลกรวด โรคลมนี้จะระงับไป แต่มาบัดนี้ต้องมาอาศัยการบิณฑบาตเลี้ยงชีพ มิรู้ที่จะหาน้ำมะม่วงผสมน้ำตาลกรวดมาได้อย่างไร
พระนางพิมพาตรัสเล่าด้วยพระอาการที่อ่อนเพลีย และทรงมีความวิตกในเรื่องโอสถที่จะหามาบำบัดโรค
ข้าแต่พระมารดา กระหม่อมจะแสวงหานำมาถวาย สามเณรราหุลทูลแล้วรีบทูลลากลับไป
พระราหุลเมื่อไปเยี่ยมพระมารดาแล้ว ทราบว่าพระโรคลมจะสงบได้ด้วยเสวยน้ำมะม่วงผสมน้ำตาลกรวด ก็รู้สึกหนักใจมากเพราะไม่รู้ว่าจะหายาดังกล่าวมาถวายพระมารดาได้แต่ไหน แต่ที่รับปากจะหามาให้นั้นก็เป็นด้วยความรักความห่วงใยในพระมารดา ตามปรกติเมื่อมีเรื่องที่ต้องการช่วยเหลือพระราหุลจะระลึกถึงบุคคลสำคัญ ๔ คน คือ พระสารีบุตร ( พระอุปชฌาย์) พระโมคคัลลานะ ( พระอาจารย์) พระอานนท์ (พระเจ้าอา) และ พระพุทธเจ้า ( พระพุทธบิดา) ครั้งระลึกได้ดังนี้ ท่านจึงไปหาพระสารีบุตรเถระก่อนท่านผู้อื่น แล้วยืนอยู่ด้วยอาการเอันเศร้าโศก
ราหุล เธอมีอาการเศร้าโศก เพราะเหตุไรเล่า พระสามรีบุตรเถระถามสามเณรราหุลด้วยมองเห็นที่บอกถึงความทุกข์ระทมใจ
ข้าแต่พระอุปชฌาย์ กระผมมีความทุกข์ระทมใจเนื้องมาจากพระเถรีผู้เป็นโยมพระมารดา เกิดโรคลมเสียดเเทงขึ้นในพระอุทร ขอรับ สามเณรราหุลกราบเรียน
ราหุล เธอมีความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงบอกมาเถิด
กระผมมีความประสงค์จะได้น้ำมะม่วงผสมน้ำตาลกรวด นำไปถวายโยมมารดา ขอรับ
เรื่องนี้ไม่เป็นไร ราหุล อย่าวิตกไปเลย รอไว้พรุ้งนี้ก่อน คงหาได้
รุ้งเช้า ท่านได้พาพระราหุลเข้าไปในเมืองสาวัตถีแล้วให้ท่านพักอยู่ ณ โรงฉันแห่งหนึ่ง ส่วนตัวพระเถระเองได้เข้าไปในพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศล และโดยที่ยังมิทันได้ถวายพระพรให้ทรงทราบถึงเหตุที่มา ขณะนั้นนายอุทยานได้นำผลมะม่วงสุกเข้ามาถวายแด่พระราชา ๆ ทรงปอกเปลือกมะม่วงผลนั้นออกและผสมกับน้ำตาลกรวด แล้วขยำในภาชนะอันสอาดด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ถวาย เมื่อได้น้ำมะม่วงผสมน้ำตาลกรวด
ครั้นเสร็จแล้ว จึงนำไปใส่ลงบาตรของพระสารีบุตรเถระๆ ก็ถวายพระพรลากลับออกมาหาพระราหุลซึ่งนั่งคอยอยู่ด้วยความวิตกกังวล
ราหุล เธอจงนำน้ำมะม่วงผสมน้ำตาลกรวดไปถวายแก่โยมพระมารดา ตามปรารถนาเถิด พระสารีบุตรบอกพร้อมกับส่งให้
ครั้นได้แล้ว พระราหุลก็รีบนำไปถวายพระมารดา พระมารดาได้เสวยแล้วไม่นานนักก็หายประชวร ซึ่งทำให้พระราหุลพระปิโยรสสบายพระทัยขึ้น
ท่านพระราหุลเถระ ดำรงสังขาร โดยสมควรแก่กาลแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพานที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก
ท่านมีอายุไม่มากนัก เพราะท่านนิพพานก่อนพระพุทธองค์ผู้เป็นพระบิดา ก่อนพระสารีบุตรผู้เป็นพระอุปชฌาย์ ก่อนพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นอาจารย์
|
|
|