พระพาหิยเถระ
เอตทัคคะในทางขิปปาถิญญา
    พระพาหิยะ เกิดในวรรณะเเพศย์ ตระกูลกุฏพีแคว้นพาหิยะ คงจะเรียกชื่อท่านตามชื่อแคว้น เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ประกอบอาชีพค้าขายตามบรรพบุรษ เนื่องจากมีถิ่นฐานอยู่แถบชายฝั่งทะเล จึงอาศัยเรือเดินทะเลบรรทุกสินค้าไปขายตามเมืองต่าง ๆ สถานที่ท่านติดตามต่อค้าขายเป็นประจำ ก็คือแถบสุวรรณภูมิ อันตั้งอยู่ในแคว้นกัมโพชะ อินเดียตอยเหนือ ท่านจอดเรือรับส่งขนถ่ายสินค้าที่ท้าเรือสุปปารกะ ในอปรันตชนบท
เรือแตกแต่รอดตาย

   การเดินเรือค้าขายเป็นไปตามปกติตลอดมา แต่วันหนึ่งขณะที่เรือกำลังแล่นอยู่ในทะเล ใกล้จะถึงท่าสุปปรกะ ได้มีลมพายุเกิดคลื้นใหญ่ซัดเรืออัปปางลง ลูกเรือตายทั้งหมด พาหิยะคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยเกาะแผ่นกระดานสามารถพยุงกายมิให้จมน้ำตายเป็นเหยื่อปลาในทะเล พยายามกระเสือกกระสนประคองกายเข้ามาถึงฝั่งที่ท่าสุปปรกะได้ แต่พาหิยะก็มาถึงแต่ตัวเท่านั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่หลุดหายไปในทะเล เหลือแต่ตัวที่เปลือยเปล่า

   ณ บริเวรท่าเรือสุปปรกะนั้น มีพ่อค้าประชาชนหนาแน่น เพราะเป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้าและการค้าขาย พาหิยะ นอนหมดแรงอยู่ที่ริมชายฝั่งทั่งหิวทั้งเพลีย นอนคิดหาหนทางเพื่อเอาชีวิตรอดต่อไป แต่ก็ให้รู้สึกเขินอายที่ร่างกายเปลือยเปล่า ไม่มีสิ่งใดปกปิดบังร่างกายเลย จึงได้ใช้เปลือกไม้บ้างใบไม้บ้าง เท่าที่จะหาได้มาทำเป็นเครื่องปิดบังร่างกายแทนเครื่องนุ่มห่ม และได้เข้าไปอาศัยร่มเงาที่ศาลเทพรักษ์แห่งหนึ่งใกล้ ๆ บริเวรท่าเรือสุปปรกะนั้น พอความเหนื่อยเพลียบรรเทาลงแล้ว จึงถือแผ่นกระเบื้องเที่ยวขอาหารจากชาวบ้าน


อรหันต์เปลือย

   ในยุคสมัยนั้น คำว่า “ พระอรหันต์” เป็นคำที่ประชาชนกล่าวขานกันทั่วไปว่า มีอยู่ที่โน้นบ้าง มีอยู่ที่นี่บ้าง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดได้เคยพบเห็นพระอรหันต์จริง ๆ เลย พอได้เห็นพาหิยะผู้นุ่งเปลือกไม้ มีร่างกายผ่ายผอม ถือแผ่นกระเบื้องเดินมาในลักษณะอย่างนั้น ต่างก็พากันเข้าใจว่า “ นี่แหละ คือพระอรหันต์” ดังนั้น จึงำากันให้อาหารบริโภคอย่างสมบุรณ์ พร้อมทั้งเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ทำให้พาหิยะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่พาหิยะก็ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเสื้อผ้ามาสวมใส่เพราะเกิดความคิดว่า “ ถ้าเราสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว ก็จะทำให้เราเสื่อมจากลาภสักการะ” อีกทั้งก็เข้าใจผิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ จึงดำรงชีวิตและปฏิบัติตนไปตามนั้น ใบไม้และเปลือกไม้ที่แห้งไปก็เปลี่ยนใหม่ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้นามต่อท้ายชื่อของท่านว่า “ ทารุจิริยะ” และเรียกชื่อท่านเต็ม ๆ ว่า “ พาหิยะทารุจิระ” ซึ่งแปลว่า พาหิยะผู้มีเปลือกไม้เป็นเครื่องนุ่งห่ม และท่านได้ดำเนินชีวิตโดยทำนองนี้เรื่องมาเป็นเวลานาน


พระพรหมมาเตือนให้กลับใจ

   วันหนึ่ง ได้มีพรหม ผู้เคยเป็นสหายเก่าที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันในอดีตชาติกับพาหิยะ และได้บรรลุธรรมชั้นอนาคามิผล เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส ได้ติดตามดูพฤติกรรมของพาหิยะมาตลอด เห็นว่าสหายกำลังปฏิบัติผิดทาง ดำเนินชีวิตด้วยการลวงโลก ซึ่งจะทำให้เขาไปเกิดในทุคติอบายภูมิ จึงลงมาเตือนให้สติว่า

   “ พาหิยะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ บัดนี้ พระอรหันต์ที่แท้จริงเกิดขึ้นแล้วในโลก ขณะนี้ พระองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถีแคว้นโกศล”


เดินทางทั้งวันทั้งคืน

    ท่านพาหิยะ ได้ฟังคำเตือนของพระพรหม ผู้เป็นสหายเก่าแล้วเกิดความสลดใจในการกระทำของตนเอง รู้สึกสำนึกผิดเลิกละการกระทำนั้น และเกิดความปีติยินดีที่ทราบว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก จึงรีบออกเดินทางจากท่าเรือสุปปรกะ มุ่งสู่เมืองสาวัตถี ซึ่งมีระยะทางถึง ๑๒๐ โยชน์ ( ๑๙๒ ก.ม ) ท่านเดินทางทั้งวันทั้งคืนอย่างรีบร้อน เพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้แน่ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด

   ท่านเดินทางมาถึงเมืองสาวัตถี ในเวลารุ่งเช้าแล้ว รีบตรงไปยังพระเชตวันมหาวิหาร เมื่อได้ทราบว่า ชณะนี้ พระบรมศาสดา เสด็จเข้าไปบิณฑบาตอยู่ในเมือง จึงรีบติดตามไปในเมืองและได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ ด้วยความปีติยินดีอย่างที่สุด ท่านได้เข้าไปกราบแทบพระบาทแล้ว กราบทูลขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง พระพุทธองค์ตรัสห้ามว่า “ พาหิยะ เวลานี้ มิใช่เวลาแสดงธรรม”


ตรัสรู้เร็วพลัน

   ท่านพาหิยะ ได้พยายามกราบทูลอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง พระบรมศาสดา จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ฟัง โดยตรัสสอนให้สำรวมอินทรีย์ คือ เมื่อเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส และสัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัสเท่านั้น อย่ายินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น และหมั่นสำเหนียกศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยู่เป็นนิตย์

   ท่านพาหิยะ ส่งกระแสจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนานั้น ท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลในทันที ท่านได้กราบทูลขออุปสมบท

   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ ดูก่อนพาหิยะ บาตรและผ้าไตรจีวรของเธอมีพร้อมแล้วหรือ”

   ท่านพาหิยะกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงประสริฐ บาตรและผ้าไตรจีวรของข้าพระองค์ยังมีไม่ครบ พระเจ้าข้า ”

   พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบอกว่า “ ถ้าอย่างนั้น เธอจงแสวงหาบาตรและผ้าไตรจีวรเสียให้พร้อมก่อน” หลังจากนั้นพระองค์ก็เสด็จจาริกบิฑบาตต่อไป

   เหตุผลที่พระผุ้มีพระภาคเจ้าไม่ประทานการบรรพชาด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่ท่านพาหิยะ เพราะพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่า ในอดีตชาติท่านพาหิยะ ไม่เคยทำบุญสงเคราะห์ภิกษุสามเณรด้วยบาตรและไตรจีวรเลย เมื่อบวชแล้วบาตรและจีวรที่เกิดด้วยบุญฤทธิ์ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่ท่าน ในเมื่อพระองค์ประทานการบรรพชาให้

   ถ้าหากท่านพาหิยะไม่ได้บวช เพศคฤหัสถ์ของบุคคลที่สำเร็จพระอรหันต์แล้ว จะรองรับความเป็นพระอรหันต์นั้นอยู่ได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น แล้วจะต้องดับเบญจขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ด้วยว่า เพศคฤหัสถ์ไม่สมควรที่จะทรงความเป็นพระอรหันต์ไว้ เพราะจะทำให้เกิดบาปแก่ผู้ไม่รู้มาดูหมิ่นหรือกระทำล่วงเกินได้ง่าย ฉะนั้น ท่านจึงต้องแสวงหาบาตรและผ้าไตรจีวรตามสถานที่ต่าง ๆ และที่กองขยะเป็นต้น

   และในขณะที่ท่านกำลังแสวงหาบาตรและจีวรอยู่นั้น ได้ถูกอมนุษย์ผู้เคยเป็นศัตรูเก่ากันมาแต่อดีตชาติ เข้าสิงร่างแม่โคลูกอ่อนวิ่งเข้าขวิดท่านตาย จึงถือว่า ท่านนิพพานตั่งแต่ยังไม่ได้บวชเป็นพระภิกษุ


บุพกรรมของพระพาหิยะเถระ

   ในอดีตชาติเล่าว่า พระพาหิยะและเพื่อนๆอีกสามคน..คือ ๑พระเจ้าปุกกสาติ ๒ พระพาหิยะเถระ ๓ ตัมพทาฐิกโจรฑาต ๔ สุปปพุทกุฏฐิ

   บุคคลทั้งสี่ ได้นำหญิงนครโสเภณีคนหนึ่งไปที่สวน พากันเที่ยวหาความสำราญอยู่ในสวนตลอดวัน พอตกตอนเย็นก็ปรึกษาหารือกันว่า ในสถานที่นี้ไม่มีผู้อื่นเลย มีแต่พวกเราเท่านั้น พวกเราจะแย่งเอาทรัยพ์พันกหาปณะที่พวกเราให้เป็นค่าจ้างแก่หญิงผู้นี้พร้อมทั้งเครื่องแต่งตัวทั้งปวงของหญิงผู้นั้แล้วฆ่ามันเสีย เสร็จแล้วก็พากันหนีไป

   หญิงนครโสเภณีฟังถ่อยคำที่พวกบุตรเศรษฐีทั้งสี่พากันปรึกษากันแล้ว ก็อ้อนวอนขอชีวิต แต่ก็ไร้ผล ก่อนที่จะสิ้นชีวิตนางจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ บุคคลเหล่านี้ไม่มียางอาย ได้ร่วมอภิรมย์กับเราแล้ว คราวนี้ต้องการจะฆ่าเรา เราจักรู้ถึงสิ่งที่ควรกระทำแก่พวกเขาเหล่านั้น ” ด้วยแรงอาฆาตส่งผลให้นางเกิดเป็นนางยักษิณี ฝ่ายพระพาหิยะและเพื่อนทั้ง ๓ คนนั้นเวียนว่ายตายเกิดและตกนรกเพราะ กรรมนั้นส่งผลแล้วมาในชาตินี้ก็มาเกิดเป็นมนุษย์ นางยักษืณีได้แปลงเป็นแม่โคนมมาขวิดตายหมดทุกคน


ทรงยกย่องเป็นเอทัคคะในทางขิปปาถิญญา

    พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากพระนครสาวัตถีพร้อมด้วยพระภิกษุเป็นจำนวนมาก ทรงเห็นพระพาหิยะนอนตายอยู่ที่กองขยะ จึงตรัสสั่งพระภิกษุทั้งหลายว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงช่วยกันนำเอาร่างของพาหิยะนี้ออกจากเมืองไปทำฌาปนกิจ คือเผาสรีระของพาหิยะเสีย แล้วก่อเจดีย์ขึ้น ณ ทางสี่แพร่ง และนำเอาอัฐิธาติของพาหิยะบรรจุไว้ในเจดีย์นั้น ”

   พระภิกษุทั้งหลายช่วยกันกระทำตามพระพุทธดำรัสสั่งจนเป็นที่สำเร็จเรียบร้อย

   ครั้นต่อมาภายหลัง พระภิกษุเป็นจำนวนมาก มาประชุมสนทนากันถึงเรื่องของพระพาหิยะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งพระภิกษุทั้งลาย ทรงกระทำการเผาสรีระศพของท่านพาหิยะ แล้วเก็บธาติไปบรรจุไวในเจดีย์ที่สร้างขึ้น ณ ทางสี่แพร่งนั้น ท่านพาหิยะสำเร็จมรรคผลขึ้นไหนหนอ จัดว่าเป็นพระภิกษุหรือสามเณรได้แล้วหรือประการใด

   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกเรื่องการสนทนาของพระภิกษุทั้งหลายมาเป็นต้นเหตุ ตรัสเทศนาว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาหิยะเป็นบัณฑิตปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำตถาคตให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม พาหิยะปรินิพพานแล้ว ”

   ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานธรรมนี้ในเวลานั้นว่า

   ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่ตั้งอยู่ใน นิพพานธาติใด ในนิพพานธาตินั้น ( ภาวะแห่งนิพพาน)

   ดาวทั้งหลายส่องแสงไปไม่ถึง พระอาทิทตย์ส่องแสงไปไม่ถึง พระจันทร์ก็ส่องแสงไปไม่ถึง

   ความมืดก็ไม่มีเมื่อใด พราหมณ์ชื่อว่าเป็น “ มุนี ” เพราะรู้ ( สัจจะ ๔ )

   รู้จริงด้วยตนเองแล้ว เมื่อนั้นพราหมณ์ย่อมพ้นจากรูปและอรูป จากสุขและทุกข์

   และทรงยกย่องพระพาหิยะในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ขิปปาภิญญา คือ ตรัสรู้เร็วพลัน.....