พระลกุณฏกภัททิยเถระ
เอตทัคคะในทางพูดเสียงไพเราะ
   พระกุณฏกภัททิยะ เกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี มีชื่อเดิมว่า “ ภัททิยะ ” เมื่อเจริญวัยอายุมากขึ้น แต่ร่างกายของท่านไม่เจริญเติบโตตามอายุยังคงมีร่างกายเล็กต่ำเตี้ยเหมือนเด็กวัย ๑๐ ขอบ ชนทั่วไปเมื่อจะเรียกชื่อท่านก็จะเพิ่มคำว่า “ ลกุณฏกะ ”

   ซึ่งหมายถึงเตี้ย ไว้ข้างหน้าชื่อของท่านด้วย จึงเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ท่านภัททิยะเตี้ย หรือ ท่านภัททิยะแคระ


คนแคระก็บวชได้

   ในโอกาสที่พระผู้มีพระภาคเสด็จมาประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหารหมู่อุบาสกอุบาสิกา ชาวเมืองสาวัตถี ทราบข่าวการเสด็จมาของพระพุทธองค์ต่างก็ต่างถือดอกไม้และของหอมเครื่องสักการะทั้งหลาย ไปเข้าเฝ้าเพื่อฟังพระธรรมเทศนา ลกุณฏกภัททิยะ ก็ได้ติดตามไปร่วมฟังธรรมด้วย เมื่อพระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว ท่านก็เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าปรากถนาที่จะบวชในพระพุทธศาสนา เมื่ออุบสกอุบาสิกาพากันกลับเคหสถานของตน ๆ แล้วได้เข้าไปกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ประทานให้ตามความประสงค์

   พระลกุณฏกภัททิยะ ครั้นได้อุปสมบทแล้ว ได้เรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลขอปลีกตัวออกไปจากหมู่คณะกรรมฐานในสำนักของพระบรมศาสดาแล้ว กราบทูลขอปลีกตัวออกไปจากหมู่คณะไปอยู่ในที่อันสงบสงัดปฏิบัติความเพียร ไม่นานนักก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นคือพระโสดาบัน ซึ่งจะต้องเพียรศึกษาปฏิบัติให้ได้บรรลุมรรคผลชั้นสูงขึ้นไปอีก

   เพราะความที่ท่านมีรูปร่างเล็กและเตี้ย จึงเป็นที่ชวนหัวเราะแก่ผู้พบเห็นวันหนึ่ง หญิงแพศยานั่งรถมากับพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่ง เพื่อไปเที่ยวชมมหารสพ นางผ่านมาเห็นพระเถระแล้วคงจะเห็นว่าท่านตัวเล็ก ทั้ง ๆ ที่คล้ายลักษณะน่าจะมีอายุมาก นางจึงหัวเราะลั่นจนมองเห็นฟันในปาก

   พระเถระ เห็นฟันของหญิงแพศยานั้นแล้ว ถือเอานิมิตนั้นเป็นอารมณ์ พิจรณาว่าเป็นของปฏิกูล สกปรก น่าเกลียด จนได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี และต่อมาท่านได้ฟังธรรมกถา อันเป็นโอวาทจากพระสารีบุตรเถระ จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์


ถูกล้อเลียนว่าเป็นสามเณร

   พระลกุณฏกภัททิยะนั้น เพราะความที่ท่านเป็นผู้มีรูปร่างเล็กและเตี้ยเหมือนสามเณร จึงเป็นเหตุให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายที่เป็นปุถุชน ชอบล้อเลียนท่านด้วยความคึกคะนอง ชอบหยอกล้อท่านด้วยการจับศีรษะบ้างดึงหูบ้าง จับขมูกบ้าง แล้วพูดหยอกล้อท่านว่า

   “ แน่ะสามเณรน้อย ไม่อยากสึกหรือ ยังชอบใจประพฤติพรหมจรรย์อยู่อีกหรือ ? ”

   และครั้งหนึ่ง มีภิกษุประมาณ ๓๐ รูป มาจากถิ่นอื่น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้เดินสวนทางกับพระลกุณฏกภัททิยะ ซึ่งท่านเพิ่งมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้วก็กลับไป พระพุทธองค์ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า

   “ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นพระเถระรูปหนึ่งเดินสวนทางไปหรือไม่ ? ”

   “ ไม่เห็น พระเจ้าข้า ”

   “ พวกเธอเห็น มิได้หรือ ? ”

   “ เห็นแต่สามเณรองค์เล็ก ๆ เดินสวนทางไป พระเจ้าข้า ”

   “ ภิกษทั้งหลาย นั้นแหละ คือพระเถระ ”

   “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ รูปร่างของท่านเล็กเหลือเกิน พระเจ้าข้า ”

   “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตไม่เรียกบุคคลว่า “ เถระ ” เพราะความเป็นคนแก่ มีผมบนศีรษะหงอก และเพียงสักบุคคลว่านั่งบนอาสนะพระเถระเท่านั้นท่านเหล่านั้น ตถาคตเรียกว่า “ พระแก่เปล่า ” ส่วนท่านที่มีสัจจะ คือ อริยสัจ ๔ มีธรรมะ มีความสำรวม รู้จักข่มใจ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และมีปัญญา ท่านเหล่านี้ตถาคตเรียกว่า “ เถระ”


ได้รับยกย่องว่าพูดเสียงไพเราะ

   พระลกุณฏภัททิยเถระ แม้จะมีร่างกายที่ไม่ปกติและไม่เหมือนกับภิกษุอื่น ๆ อันเป็นเหตุให้ท่านถูกล้อเลียนด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ท่านก็ไม่เคยโกรธเคืองเลย เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ไม่มีกิเลสาสวะแล้ว นอกจากนี้ท่านยังมีความสามารถพิเศษ คือ ปกติท่านแสดงธรรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนและเจรจาประกอบด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงอันไพเราะ เป็นที่เสนาะโสตแก่ผู้ฟังทั้งหลายอันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเลื่อมใส

   ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้พูดเสียงไพเราะ

   ท่านพระลกุณฏกภัททิยเถระ ดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาอยู่พอสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน..