พระมหาโกฏฐิตเถระ
เอตทัคคะในทางผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา
พระมหาโกฏิฐิตะ เป็นพราหมณ์ชื่ออัสสลายนะกับนางพรหามณีชื่อ จันทวดี ในเมืองสาวัตถี เดิมชื่อว่า โกฏฐิตะ ตระกูลของท่านจัดว่าอยู่ในระดับมหาเศรษฐี ท่านจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่บิดาของท่านมีทิฏฐิแรงกล้ายึดมั่นในลัทธิศาสนาพรหามณ์อย่างมั่นคง เมื่อท่านเจริญวัยได้ศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิศาสนาพราหมณ์จบไตรเพท
 เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เที่ยวงจาริกเผยแผ่หลักธรรมคำาอนไปตามคามนิคมต่าง ๆ ทั้งในเมืองและชนบท ได้เสด็จมาถึงหมู่บ้านที่อัสสลายนพราหมณ์ตั้งนิวาสสถานอยู่ ได้ทรมานอัสสลายนพราหมณ์จนละทิฏฐมานะ และแสดงตนเป็นพุทธมามกะปวารณาตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสารณะตลอดชีวิต
ทิ้งพราหม์ถือพุทธ
 โกฏฐิมาณพ เห็นบิดาหันมายอมรับนับถือพระรัตนตรัยก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นบ้าง ต่อมาได้ฟังพระธรรมเทศนาก็ยิ่งเกิดศรัทธามากขึ้น ถึงกับมีจิตน้อมไปในการออกบวชเพื่อปฏบัติตามพระธรรมวินัย จึงกราบทูลขอบวชต่อพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทรงมอบหมายให้พระสารีบุตรเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ ให้พระโมคคัลลานเถระเป็นพระอาจารย์
 ในขณะที่ท่านกำลังโกนผมอยู่นั้นท่านได้พิจรณาในกรรมฐานไปเรื่อย ๆ พอผลัดเปลี่ยนผ้าสาฏกของคฤหัสถ์ออกแล้วนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ในขณะนั้น พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิชชา ๓ และวิโมกข์ ๓
 พระมหาโกฏฐิตะนั้น แม้ท่านจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ท่านก็ยังมีปกติฝักใฝ่ในการศึกษา ไม่ว่าท่านจะเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาหรือเข้าไปหาพระเถระรูปอื่น ๆ ท่านก็มักจะถามปัญหาในปฏิสัมภิทาอยู่เสมอ ๆ จนมีความเชี่ยวชาญแตกฉานในปฏิสัมภิทาเป็นพิเศษ มีเรื่องปรากฏในมหาเวทัลลสูตรมัชฌิมนิกายว่า
เป็นผู้แตกฉานเพราะชอบถามปัญหา
 สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ พระมหาโกฐิตเถระ ได้ขอโอกาสกราบเรียนถาม ข้อข้องใจกับพระสารีบุตรเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า
  ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ คนเช่นไร ที่เรียกว่าคนทุปัญญา ขอรับ ?
  ดูก่อนมหาโกฏฐิตะ คนทุปัญญา ก็คือ คนไม่มีปัญญา
  เพราะเหตุไร จึงเรียกว่า คนไม่มีปัญญา ขอรับ ?
  คนไม่มีปัญญา ก็คือคนไม่รู้ความจริงว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนี้ทำให้เกิดทุกข์ สิ่งนี้เป็นความดับทุกข์ และสิ่งนี้เป็นหนทางให้ถึงความดับทุกข์ ส่วนคนอีกพวกหนึ่งที่รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านเรียกว่า คนมีปัญญา
  พระมหาโกฏฐิตเถระ ได้กราบเรียนถามต่อไปว่า
  ข้าแต่พระอุปัชฌาย์ ที่เรียกว่า วิญญาณ นั้น หมายความว่าอย่างไร ขอรับ ?
  ดูก่อนมหาโกฏฐิตะ ที่เรียกว่า วิญญาณ นั้น ก็เพราะรู้สึกสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง
  ท่านขอรับ ปัญญากับวิญญาณนี้ รวมกันหรือแยกกัน ขอรับ ?
  ดูก่อนมหาโกฏญิตะ ปัญญากับวิญญาณนี้ อยู่รวมกัน ไม่อาจแยกกันได้ กล่าวคือ บุคคลรู้ในสิ่งใดก็รู้สึกในสิ่งนั้น บุคคลรู้สึกในสิ่งใดก็รู้ในสิ่งนั้นเป็นต้น
 พระเถระทั้งสองนั้น ได้สนทนาธรรมในข้อสงสัยต่าง ๆ กันต่อไป พอสมควรแก่เวลาแล้ว พระมหาโกฏฐิเถระ ได้กล่าวแสดงความชื่นชม ยินดีในปรีชาความรู้ของพระอุปัชฌาย์ ( พระสารีบุตรเถระ) แล้วกราบลากลับสู่ที่พักของตน
 ด้วยเหตุแห่งการฝักใฝ่ในการศึกษา จนเป็นที่เชี่ยวชาญในปฏิสัมภิทาเป็นพิเศษนี้ พระบรมศาสดา จึงทรงยกย่องท่านในตำเเหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔
 ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนา สมควรแก่การเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน...
ปฏิสัมภิทา ๔
 
๑ . อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ
 ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม
 ๓ . นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในนิรุตติ
 ๔ . ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาอันแตกฉานในปฏิภาณ
วิชชา ๓
 
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้จักระลึกชาติได้
  ๒ . จุตูปปาตญาณ รู้จักกำหนดจุติและเกิด
  ๓ . อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น
วิโมกข์ ๓
 
๑ . สุญญตวิโมกข์ ความพ้นโดยเป็นสภาพว่าง
คือว่างจากระคะ โทสะ โมหะ
 ๒ . อนิมิตตวิโมกข์ ความพ้นโดยหาเครื่องหมายมิได้
เพราะไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นเครื่องหมาย
 ๓ . อัปปณิหิตวิโมกข์ ความพ้นโดยหาที่ตั้งมิได้ คือไม่มี
ราคะ โทสะ โมหะ เป็นที่ตั้ง
|
|
|