พระสาคตเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ชำนาญเตโชสมาบัติ
    พระสาคตะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ ในเมืองสาวัตถี เมื่อเจริญเติบโตขึ้นมาได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดา แล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส กราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วได้บำเพ็ญสมณธรรมจนได้บรรลุสมาบัติ ๘ ฝึกฝนจนมีความชำนาญในองค์ฌานนั้น ที่ท่านมีความชำนาญเป็นพิเศษก็คือการเข้าเตโชสมาบัติ
แสดงฤทธิ์ช่วยชาวบ้าน

   สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดา เสด็จจาริกไปตามคามนิคมและชนบทต่าง ๆ พระสาคตะได้ตามเสด็จไปด้วย พระพุทธองค์เสด็จถึงท่าเรืออัมพะ ซึ่งอยู่ที่หมู่บ้านภัททวติกะ ใกล้พระนครโกสัมพี แคว้นเจตี ในบริเวณใกล้ ๆ ท่าเรือนั้นมีอาศรม มีอาศรมฤๅษีชฎิลตั้งอยู่ และชฎิลนั้นนับถือบูชาพญานาคชื่อว่า อัมพติฐกะซึ่งเป็นสัตว์มีพิษและมีฤทธิ์อำนาจมากกว่าพญานาคทั่วไป สามารถบันดาลให้ดินฟ้าอากาศเป็นไปตามต้องการได้ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เพราะฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล อันเป็นผลมาจากการบันดาลของพญานาคนั้น

   พระสาตคเถระ ทราบความเดือดร้อนของชาวบ้าน เกิดความสงสารจึงได้ช่วยเหลือ ด้วยอาการเข้าไปในโรงไฟที่พญานาคอาศัย นั่งขัดสมาธิอธิษฐานจิตในที่ไม่ไกลจากพญานค ทำให้พญานาคโกรธแล้วพ้นไฟพิษใส่ท่าน ท่านก็เข้าเตโชสมาบัติให้เกิดควันไฟใส่พญานาค บันดาลให้เกิดความเจ็บปวดแก่พญานาคทั้งพระเถระและพญานาคได้แสดงอิทธิ์เข้าต่อสู่กันหลายประการจนในที่สุดพญานาคก็สิ้นฤทธิ์ไม่สามารถจะทำอะไรพระเถระได้ แต่กลับถูกพระเถระกระทำจนได้รับความเจ็บปวดปวดบอบช้ำ    พญานาคนั้นเมื่อเห็นว่าเดชของตนสุ่พระเถระไม่ไหว จึงคิดว่า “ พระภิกษุนี้ประเสริฐแท้” ไม่คิดที่จะต่อสู่กับพระเถระอีกต่อไป โดยยอมเป็นผู้แพ้แล้วได้เข้าไปหมอบลงที่เท้าของพระเถระ และกล่าวขึ้นว่า

   “ ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าขอนับถือพระคุณเจ้าเป็นสรณะคือเป็นที่พึ่งในบัดนี้” พระสาคตเถระกล่าวว่า “ ดูก่อนพญานาค การที่ท่านกล่าวขึ้นเพื่อจะขอนับถือเราเป็นที่พึ่งนั้นไม่ได้ ท่านจงนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเถิด”

   ในที่สุด พญานาคยอมรับปากว่า ดีแล้ว และได้กล่าววาจาขอนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และก็เลิกละการกลั่นแกล้งให้ประชาาชนเดือดร้อน ฝนตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านทำไร่ทำนาได้ดี มีความสุขกายสุขใจและไม่ลืมที่จะระลึกถึงคุณของพระเถระที่ให้การช่วยเหลือ

   ข่าวสารการที่พระสาคตเถระปราบพญานาค ได้ร่ำลือกันไปทั่วทั้งเมือง เมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ภัททวติกาคาม ตามสมควรแก่พระอัธยาศัยแล้ว พระพุทธองค์เสด็จไปยังพระนครโกสัมพีและพระสาคตเถระ ก็ตามเสด็จไปด้วยชาวเมืองโกสัมพี ได้ถวายการต้อนรับพระบรมศาสดา อย่างสมเกียรติและในส่วนของพระสาคตเถระ ชาวประชาพากันคิดว่า จะถวายสิ่งของที่พระเถระชอบที่สุดและหายากที่สุดในขณะที่เที่ยวปรักษากันอยู่ว่าจะถวายสิ่งใดดีนั้น พระฉัพพัคคีย์ได้แนะนำแก่ชาวเมืองว่า “ สิ่งที่พระภิกษุชอบที่สุดและหายากที่สุดก็คือ สุราอ่อน ๆ ที่มีสีแดงเหมือนเท้านกพิราบ”


พระเถระเมาเหล้า

   เช้าวันรุ่งขึ้น พระสาคตเถระเข้าไปบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี ชาวเมือง ทั้งหลายต่างพากันถวายสุราให้ท่านดื่ม ขณะนั้นยังไม่มีพุทธบัญญัติห้ามภิกษุดื่มสุรา พระเถระจึงดื่มสุราที่ชาวเมืองถวายแห่งละนิดละหน่อย เพื่อเป็นการรักษาศรัทธาของชาวเมือง ปรากฏว่ากว่าที่พระเถระจะเดินบิณฑบาตตลอดหมู่บ้านก็ทำเอาท่านมึนเมาจนหมดสติล้มลงที่ประตูเมือง ทั้งนี้เพราะท่านไม่ได้ฉันอาหารเย็นเหมือนฆราวาส ( จึงไม่มีอาหารเหลือค้างอยู่ในท้อง ทำให้เกิดอาการเมาง่าย)

   พระบรมศาสดา เสด็จมาพบท่านนอนสลบหมดสติอยู่อย่างนั้น จึงรับสั่งให้ภิกษุช่วยกันนำท่านกลับที่พัก พระภิกษุทั้งหลายช่วยกันพาพระสาคตเถระไปสู่อาราม แล้วให้พระเถระนอนหันศีรษะไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ แต่ท่านพระสาคตเถระเมาจนหมดสติลืมตัว ก็กลับตัวนอนใหม่ โดยหันเท้าทั้งสองไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่นั้น ( เมามากจนจำทิศเหนือ-ทิศใต้ไม่ได้)

   พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งให้พระภิกษุทั้งหลายมาเฝ้าแล้วตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสาคตะเป็นผู้เคารพนบนอบในคถาคตมิใช่หรือ”

   พระภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเจริญ ท่านสาคตเป็นผู้เคารพนบนอบในพระองค์ พระเจ้าข้า”

   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้พระสาคตะยังเป็นผู้เคารพนบนอบในตถาคตอยู่บ้างหรือไม่”

   พระภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงประเสริฐบัดนี้ท่านพระสาคตะหมดสติขาดความเคารพนบนอบในพระองค์ พระเจ้าข้า”

   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้พระสาคตะพอมีกำลังเพื่อจะสู้แม้กับงูพิษได้หรือไม่”

   พระภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงสวัสดิ์ ขณะนี้ท่านพระสาคตะไม่อาจจะสู้ได้แม้กับงูน้ำที่ไม่มีพิษได้เลย พระเจ้าข้า”

   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย น้ำที่บุคคลดื่มเข้าไปแล้ว กระทำให้ถึงวิสัญญีภาพ คือสลบลง หรือหมดความรู้สึกตัว เป็นน้ำที่สมควรดื่มหรือไม่”

   พระภิกษุทั้งหลายกราบทูลตอบว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ น้ำที่บุคคลดื่มเข้าไปแล้ว มีอาการมึนเมาหมดสติยั้งคิดเป็นน้ำไม่ควรดื่ม พระเจ้าข้า”

   พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนพระสาคตเถระว่า

   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่พระสาคตะดื่มน้ำเมานั้นมิใช่กิจของสมณะแต่เหตุไฉนพระสาคตะจึงดื่มน้ำเมาเล่า เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงบัญญัติ สุราปาน สิขาบทว่า “ ภิกษุดื่มสุราและเมรัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์” ปาจิตตีย์ แปลว่า การละเมิดที่ทำกุศล คือความดีให้ตกไปเป็นชื่ออาบัติประเภทหนึ่งในอาบัติทั้ง ๗ ได้แก่ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกฏทุพภาสิต แต่เป็นพวกอาบัติเบา เปรียบด้วยลหุโทษ)

   นับเป็นพระพุทธบัญญัติ คือข้อห้าม ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระภิกษุทั้งหลายจะกระทำเช่นพระสาคตเถระไม่ได้

   ส่วนพระสาคตเถระดื่มสุราแล้ว มีอาการมึนเมาเช่นนั้น ถือว่าเมาก่อนพระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทนี้ ซึ่งยังไม่จัดว่าผิดในสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินี้ และได้รับอภัยทัณฑกรรม ในฐานะเป็นต้นบัญญัติ

   ครั้นรุ่งขึ้น พระเถระมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตามปกติแล้ว รู้สึกสลดใจต่อการกระทำของตน จึงเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงอดโทษให้แล้ว กราบทูลลาปลีกตัวจากหมู่คณะแสวงหาที่สงบสงัด บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอเสขบุคคลในพระพุทธศานา

   เมื่อท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ และในขณะนั้น พระสาคตเถระได้ทำหน้าที่เป็น พุทธอุปัฏฐาก ได้มีชาวบ้านจำนวน ๘ หมื่นตำบลนั้น เดินทางมาเพื่อขอเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ท่านได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ดำดินลงไปแล้วโผล่ขึ้นที่ตรงพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค ซึ่งชาวบ้านทั้งหลายเหล่านั้นก็เห็นด้วยสายตาของตนเองโดยตลอด

   พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่า ชาวบ้านเหล่านี้ยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างทั่วถึงและมั่นคง จึงตรัสสั่งให้พระสาคตเถระว่า “ ดูก่อนสาคตะ เธอจงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อันเป็นธรรมที่ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ธรรมดาให้ยิ่งขึ้นไป”

   พระสาคตเถระกราทูลรับว่า “ พระพุทธเจ้าข้า” แล้วจึงเหาะขึ้นไปในเวหา แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ เช่นเดินจงกลมบ้าง ยืน นั่ง และนอนบ้าง กระทำให้เป็นควันบ้าง กระทำให้เป็นเปลวไฟบ้าง กระทำองค์ท่านให้หายไปบ้างอยู่น ณ กลางนภากาศนั้น

   ครั้นแล้วจึงลงจากเวหาเข้ามาหมอบกราบถวายบังคมพระยุคคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า และกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโลกนายกพระองค์เป็นพระศาสดาของข้าพองค์ ส่วนข้าพระองค์เป็นสาวกของพระองค์ พระเจ้าข้า” พระสาคตเถระกล่าวประกาศดังนี้ถึง ๓ ครั้ง


ทรงยกย่องพระเถระในตำแหน่งเอตทัคคะ

   ชาวแคว้นอังคะทั้งหลาย ต่างก็อัศจรรย์ใจในความสามารถของพระเถระคิดตรงกันว่า “ ขนาดพระเถระผู้เป็นสาวก ยังมีความสามารถถึงเพียงนี้แล้วพระบรมศาสดาผู้เป็นบรมครู จะมีความสามารถถึงเพียงไหน ” แล้วพากันกราบถวายบังคมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

   พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ ให้ทุกคน ณ ที่นั้น ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลโดยทั่วกัน

   ลำดับนั้น พระบรมศาสดา จึงทรงประกาศยกย่องพระสาคตเถระ ในตำเเหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางยกย่องพระศาสนา สมควรแก่กาลเวลาแล้ว และอยู่จวบจนสิ้นอายุขัย ก็ดับขันธปรินิพพาน...