พระอุรุเวลกัสสปเถระ
เอตทัคคะในทางผู้มีบริวารมาก
   พระอุรุเวลกัสสปะ เกิดในตระกูลพราหมณ์กัสสปโคตร มีน้องชาย 2 คน ชื่อกัสสปะเหมือนกัน เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ได้ศึกษาจบไตรเพท คือ พระเวท ๓ อย่าง ซึ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของพราหณ์ ได้แก่

   ๑ . ฤคเวท (อิรุพเเพท) ประมวลบทสวดสรรเสริญเทพเจ้า

   ๒. ยุชรเวท (ยชุพเพท) บทสวดอ้อนวอนในพิธีบูชายัญต่าง ๆ

   ๓. สามเวท ประมวลบทเพลงขับสำหรับสวดหรือร้องเป็นทำนางในพิธีบูชายัญ

   ต่อมาได้เพิ่มอรรพเวท หรืออาถรรพเวท อันว่าด้วยคาถาอาคมทางไสยศาสตร์เข้ามาอีกจึงเป็น ๔ เรียกว่า จตุเพทางคศาสตร์

   กัสสปะพี่ชายคนโตนั้น มีบริวาร ๕๐๐ คน กัสสปะคนกลาง มีบริวาร ๓๐๐ คน และกัสสปะคนเล็กสุดท้อง มีบริวาร ๒๐๐ คน


บวชเป็นฤๅษีชฏิล

   ต่อมา ทั้งสามพี่น้องมีความเห็นตรงกันว่า “ ลัทธิที่พวกตนนับถืออยู่นั้นไม่มีแก่นสาร ” จึงพากันออกบวชเป็นฤๅษีชฏิล เกล้าผมเซิง บำเพ็ญพรตบูชาไฟ ตั้งอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราตามลำดับกัน

   พี่ชายคนโต ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำตอนเหนือ ณ ตำบลอุรุเวลา จึงได้ชื่อว่า “ อุรุเวลกัสสป ” น้องชายคนกลาง ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำถัดไป ณ ตำบลนที จึงได้ชื่อว่า “ นทีกัสสปะ ” ส่วนน้องคนเล็ก ตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำ ณ ตำบลคยา จึงได้ชื่อว่า “ คยากัสสปะ ”

   เมื่อพระพุทธองค์ ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว และจำพรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ในพรรษานั้นมีพระสงฆ์สาวกผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์จำนวน ๖๐ รูป เมื่อออกพรรษาปวาณาแล้ว พระบรมศาสดาได้ส่งพระสาวกทั้ง ๖๐ รูปนั้น ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังถิ่นต่าง ๆ ส่วนพระองค์เองเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม

   ในระหว่างทาง เสด็จเข้าไปประทับพักผ่อนภายใต้ร่มไม้ริมทางในไร่ฝ้าย ขณะนั้นมีพระราชกุมาร ๓๐ พระองค์ ผู้ได้นามว่า “ ภัททวัคคีย์ ” ได้พาภรรยาไปเที่ยวหาความสุขสำราญในราชอุทยาน ราชกุมารองค์หนึ่งไม่มีภรรยา จึงได้พาหญิงโสเภณีไปเป็นคู่เที่ยว

   เมื่อพวกราชกุมารกำลังเพลิดเพลินสนุกสนานกันอยู่นั้นหญิงโสเภณีได้ขโมยของมีค่าหนีไป พวกราชกุมารออกติดตามมา ได้พบกับพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ไร่ฝ้าย จึงเข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลถามว่า.

   “ ข้าแค่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เห็นหญิงคนหนึ่งผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่ พระเจ้าข้า ? ”

   “ พวกท่านเห็นว่า การแสวงหาหญิงกับการแสวงหาสิ่งประเสริฐในตนสิ่งไหนจะดีกว่ากัน ? ”

   “ แสวงหาสิ่งประเสริฐในตนดีกว่า พระเจ้าข้า ”

   “ ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงนั่งลง ตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง ”

   พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาให้ฟัง จนทั้งหมดได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่ชั้นพระโสดาบัน ถึงชั้นพระสกทาคามี และพระอนาคามี ทุกพระองค์ จากนั้น พระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทให้แล้ว ส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา

   พระบรมศาสดา เสด็จต่อไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เสด็จเข้าไปยังสำนักของอุรุเวลากัสสปะ ตรัสขอพักอาศัยสักหนึ่งราตรี แต่อุรุเวลกัสสปะเห็นว่าเป็นนักบวชต่างลัทธิ จึงบ่ายเบี่ยงว่า ไม่มีสถานที่ให้พัก แต่พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า

   “ ธรรมดาโค ย่อมเข้าไปสู่ฝูงโค นักบวชก็ย่อมเข้าไปสู่สำนักของนักบวช ถ้าท่านไม่มีความหนักใจ ตถาคตจะขอพักอาศัยอยู่ในโรงไฟ ซึ่งเป็นที่บูชายัญของท่านนั้น ”

   “ ดูก่อนมหาสมณะ เรามิได้หนักใจ ถ้าท่านจะพักในที่นั้น แต่ว่ามีพญานาคดุร้ายและมีพิษมาก อยู่ในโรงไฟนั้น เกรงว่าท่านจะได้รับอันตรายถึงชีวิตก็ได้ ”

   เมื่ออุรุเวลกัสสปะไม่ขัดข้อง พระพุทธองค์จึงเสด็จเข้าไปในโรงไฟ ทรงพิษจารณาตรวจดูสถานที่อันสมควรแล้ว ประทับนั่งสมาธิเจริญกรรมฐาน

   ฝ่ายพญานาค เห็นผู้แปลกหน้าผิดกลิ่นเข้ามาในโรงไฟของตนก็โกรธ จึงพ้นพิษออกมาเป็นควันไฟอบอวนทั่วทั้งโรงไฟ หวังจะทำอันตรายให้สิ้นชีวิต พระพุทธองค์ทรงแสดงพุทธานุภาพให้ปรากฏ ด้วยการบันดาลให้ควันไฟกลับไปสัมผัสเนื้อ หนัง เอ็น และกระดูกของพญานาค ทำให้ฤทธิ์เดชของพญานาคเหือดหายไป บังเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาแทน


อุรุเวลกัสสปะละลัทธิเดิม

   ในราตรีนั้น พระพุทธองค์ทรงทรมานพญานาคด้วยวิธีต่าง ๆ ทรงเข้าเตโชกสิณสมาบัติบันดาลให้เปลวไฟรุ่งโรจน์โชตนาการทั่วโรงไฟ เหล่าชฏิลทั้งหลายต่างมองดูด้วยความดีใจว่า “ พระสมณะ คงจะวอดวาย ในกองเพลิงด้วยพิษของพญานาค อย่างแน่นอน ” ในที่สุด พระพุทธองค์ ก็ทรงปราบพญานาค จนสิ้นฤทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้วจับเอาลงไปขดไว้ในบาตร

   รู่งเช้า อุรุเวลกัสสปะ พาศิษย์ชฏิลมาตรวจดู เมื่อเห็นการณ์เช่นนั้นจึงคิดว่า “ พระสมณะนี้ มีอานุภาพมาก สามารถปราบพญานาคให้พ่ายแพ้ได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา ” คิดดังนี้แล้ว จึงยังมิยอมรับนับถือ แต่ก็รู้สึกเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ และนิมนต์ให้พักอยู่ต่อไปได้ โดยพวกตนจะเป็นผู้นำอาหารมาถวายทุกวัน

   วันต่อมา พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปประทับที่ชายป่าใกล้ ๆ อาศรมของ อุรุเวลกัสสปะนั้น ในยามราตรีของแต่ละคืน ได้มีทวยเทพเทวาตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชทั้ง ๔ ท้าวโกสีย์เทวราช และท้าวมหัมบดีพรหม ต่างก็มาเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมเทศนา ได้เปล่งรัศมีส่องสว่างทั่วทั้งไพรสณฑ์ ยังความฉงนสนเท่ห์ให้เกิดแก่อุรุเวลกัสสปะและบริเวรเป็นอย่างยิ่ง ครั้นรุ่งเช้า ได้กราบทูลถามที่มาของแสงสว่างนั้น ครั้นได้ทราบความตลอดแล้วรู้สึกศรัทธาเลื่อมใสและดำริในใจว่า

   “ อานุภาพของพระสมณโคดมนี้ยิ่งใหญ่หาผู้เปรียบมิได้ แม้แต่เทพยดาทุกชั้นฟ้า ยังมาเข้าเฝ้าเพื่อขอฟังธรรม แต่ถึงจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตามก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนเช่นเรา ”

   พระบรมศาสดา ทรงพักอยู่ในสำนักของอุรุเวลกัสสปะ เป็นเวลาถึง ๒ เดือน ทรงแสดงอิทธิ์ปาฏิหาริย์ ทรมานอุรุกัสสปชฏิล หลายประการแต่อุรุเวลกัสสปะ ผู้มีสันดานกระด้าง มีทิฏฐิแรงกล้า ยังถือตนเองว่าเป็นพระอรหันต์อยู่เช่นเดิม

   พระพุทธองค์ทรงดำริว่า “ ตถาคต จะยังโมฆบรุษชฏิลนี้ ให้เกิดความสลดสังเวช ” ดังนี้แล้วจึงตรัสว่า

   “ ดูก่อนกัสสปะ ตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ ทางปฏิบัติของท่าน ยังห่างไกลต่อการสำเร็จเป็นพระอรหันต์ มิใช่ทางมรรคผลอันใดเลย ไฉนท่านจึงถือตนว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านลวงตนเองแล้วยังลวงคนอื่น ถ้าท่านรู้สึกสำนึกตัว และปฏิบัติตามคำสอนของเรา ท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ที่แม้จริงในไม่ช้า ”

   อุรุกัสสปะ ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้วรู้สึกสลดใจ ก้มศีรษะลงแทบพระบาทกราบทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดา จึงตรัสแก่เธอว่า

   “ กัสสปะ ท่านเป็นอาจารย์เจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ มีบริวารมากถึง ๕๐๐ คน ท่านจงบอกให้บริวารของท่านทราบทั่วกันก่อน ตถาคตจึงจะอุปสมบท ให้ท่าน ”

   อุรุเวลกัสสปะ จึงประกาศชักชวนชฏิลบริวารของตนทั้งหมด พากันลอยบริขารดาบส มีเครื่องแต่งผมทำเป็นชฏา และเครื่องบูชาเพลิง เป็นต้น ลงในแม่น้ำ แล้วทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาประทานการอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา พร้อมกันทั้งหมด

   ฝ่ายนทีกัสสปะและคยากัสสปะ น้องชายทั้งสองคน ซึ่งตั้งอาศรมอยู่ที่คุ้งน้ำตอนใต้ลงไปตามลำดับ เห็นบริขารของพี่ชายลอยมาตามน้ำ ทำให้คิดว่า “ อันตรายคงจะเกิดมีแก่พี่ชายของตน ” จึงพร้อมด้วยบริวารรีบมาสำนักของพี่ชาย เห็นพี่ชายอยู่ในเพศพระภิกษุ จึงสอบถามได้ความว่า “ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐยิ่งนัก ” จึงพากันลอยบริขารลงในแม่น้ำแล้วขออุปสทบทด้วยกัน ทั้งหมด


ฟังอาทิตตปริยายสูตร

   พระพุทธองค์ ประทับอยู่ที่ตำบลเวลาเสนานิคม พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้ว จึงเสด็จพร้อมด้วยหมู่ภิกษุชฏิลเหล่านั้น จำนวน ๑,๐๐๓ รูป ตำบลคยาสีสะ และประทับอยู่ ฯ ที่นั้น ทรงพิจรณาเห็นอินทรีย์ของภิกษุใหม่แก่กล้าแล้ว จึงตรัสเรียกท่านเหล่านั้นมาประชุมพร้อมกันแล้วตรัสพระธรรมเทศนา “ อาทิตตปริยายสตร ” ทรงเปรียบเทียบสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อนดุจเดียวกับไฟ เพื่อเหมาะสมกับอัธยาศับของพวกเธอ ที่เคยบูชาไฟมาก่อน ทรงแสดงถึงอายตนะภายใน คือ   ตา    หู   จมูก    ลิ้น    กายและใจ    เป็นของร้อน    อายตนะภายนอก    คือ   รูป เสียง    กลิ่น    รส    โผฏฐพพะ    และธรรมมารมณ์    เป็นของร้อน   และความรู้สึกว่าเป็นสุข   เป็นทุกข์    ไม่สุข    ไม่ทุกข์    เพราะตาเห็นรูป    หรือหูได้ยินเสียง    เป็นต้น ก็เป็นของร้อน

   ใจความโดยสรูป ก็คือ เมื่อตาเห็นรูป   หูได้ยินเสียง  จมูกได้กลิ่น   ลิ้นได้ลิ้มรส   กายได้สัมผัส   และใจกระทบอารมณ์   แล้วทำให้เกิดความเร่าร้อน  ร้อนเพราะราคะ   โทสะ   และ โมหะเป็นต้น  ผู้ได้สดับและรู้เท่าทันกิเลสเหล่านี้แล้วย่อมเบื่อหน่ายในสิ่งทั้งปวง เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัดแล้ว จิตก็ไม่ยึดมั่นไม่ถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น

   ขณะที่พระบรมศาสดา ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั้น ภิกษุชฏิล ทั้ง ๑,๐๐๓ รูป ส่งกระแสจิตไปตามวาระแห่งพระธรรมเทสนา จิตของพวกเธอ ก็หลุดพ้นจากกิเลสสาวะทั้งปวง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยกันทั้งหมด


ตามเสด็จโปรดพระเจ้าพิมพิสาร

   พระอุรุกัสสปะ เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้ช่วยกิจการพระพุทธศานา และช่วยแบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดา ได้เป็นอย่างมากโดยเฉพาะ เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ใหม่ ๆ ได้ติดตามเสด็จพระบรมศาสดาไปสู่เมืองราชคฤห์ พระพุทธองค์ประทับ ณ ลัฏฐิวันสวนตานหนุ่ม พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ จึงพร้อมด้วยพราหมณ์ และคฤหบดีชาวเมืองนคธ จำนวน ๑๒ นหุต ํ เสด็จเข้าเฝ้า กราบถวายบังคมพระบรมศาสดาและประทับนั่ง ณ ที่อันสมควรแก่พระองค์

    ส่วนบริวารที่ติดตามมาเหล่านั้น ต่างก็แสดงกิริยาอาการต่าง ๆ กัน คือ บางพวกก็ถวายบังคม บางพวกก็กราบทูลสนทนา บางพวกก็ประกาศชื่อและตระกูลของตน บางพวกก็นั่งเฉย ๆ เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะคนเหล่านั้นยังไม่แน่ใจว่าระหว่างพระบรมศาสดากับพระอุรุเวลกัสสปะนั้นใครเป็นศิษย์ใครเป็นอาจารย์กันแน่ เพราะว่ากัสสปะก็เป็นเจ้าสำนักใหญ่ มีคนเคารพนับถือมากมาย และได้รับยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง

   พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตความคิดของคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี เพื่อปลดเปลื้องความสงสัยของคนเหล่านั้น จึงตรัสถามพระอุรุเวลกัสสปะว่า

   “ กัสสปะ เธออยู่ในอุรุเวลเสนานิคมมานาน เป็นอาจารย์สั่งสอนชฏิลให้บำเพ็ญพรต จนซูบผอม เธอเห็นโทษอะไรหรือ จึงเลิกละการบูชานั้นเสีย? ”

   พระอุรุเวลกัสสปะ เมื่อได้ฟังพระดำรัสแล้ว ก็ทราบถึงพุทธประสงค์ดี จึงน้อมนมัสการกราบทูลว่า

   “ ข้าแต่ผู้มีพระภาค การบูชายัญทั้งหลาย ล้วนเป็นความมุ่งหลายเพื่อให้ได้มาาซึ่งกามคุณ มีรูป เสียง     กลิ่น    รส    และสัมผัส   อันว่าปรารถนา    น่ารักใคร่     น่าพอใจ     ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นของร้อน บัดนี้ ข้าพระองค์ ได้รู้ชัดแล้วว่า ความรักใคร่ พอใจในกามคุณเหล่านั้น เป็นมลทิน ทำใจให้เศร้าหมอง ก่อให้เกิดกิเลสและความทุกข์ จึงละทิ้งการบูชาไฟนั้นเสีย บัดนี้ ข้าพระองค์ ได้เห็นธรรมอันสงบระงับแล้ว พระเจ้าข้า ” ครั้นแล้ว พระเถระได้ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระพุทธองค์ แล้วประกาศว่า

   “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเจริญ พระองค์เป็นศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ฯ เป็นสาวกของพระองค์ ”

   จากกิริยาอาการและถ้อยคำของพระเถระนั้น ทำให้บริวารของพระเจ้าพิมพิสารทั้งหมดเหล่านั้นหายสงสัย น้อมจิตลงที่จะฟังพระธรรมเทศนา ดังนั้น พระบรมศาสดา จึบทรงแสดง “ อนุปุพพกถา ” และ อริยสัจ ๔ ” ให้ฟัง

   เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ นหุตะได้บรรลุโสดาปัตติผล ส่วนอีก ๑ นหุตะ ดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ


ได้รับยกย่องในทางผู้มีบริวารมาก

   พระอุรุเวลกัสสปะ เป็นผู้ประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม อันเป็นธรรมสำหรับผู้ใหญ่ใช้ปกครองดูเเลบริวารให้มีความสุข ซึ่งประกอบด้วย

    ๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข

   ๒. กรุณา ความสงสาร ปรารถนาจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

   ๓. มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี

   ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ

   ด้วยคุณธรรมเหล่านี้ และอีกทั้งรู้จักบำรุงจิตใจบริวารด้วยการสงเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของและหลักธรรมะ จึงทำให้ท่านสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจบริวารไว้ได้เป็นที่รักเคารพของบริวาร และพุทธสาวกรูปเดียวที่มีบริวารมากที่สุด พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าพระสาวกทั้งปวง ในฝ่ายผู้มีบริวารมาก

   ท่านดำรุงอายุสังขารแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน....


อาทิตตปริยายสูตร

    พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ วินัยปิฎกที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑

    [๕๕] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลา ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ตำบลคยาสีสะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๑๐๐๐ รูป ล้วนเป็นปุราณชฎิล. ได้ยินว่า พระองค์ประทับอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยานั้น พร้อมด้วยภิกษุ๑๐๐๐ รูป.

    ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน ก็อะไรเล่าชื่อว่าสิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน?

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเป็นของร้อน รูปทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อนสัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

   ร้อนเพราะอะไร? เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะ ความคับแค้น.

    โสตเป็นของร้อน เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน ...

    ฆานะเป็นของร้อน กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน ...

    ชิวหาเป็นของร้อน รสทั้งหลายเป็นของร้อน ...

    กายเป็นของร้อน โผฏฐัพพะทั้งหลายเป็นของร้อน ...

    มนะเป็นของร้อน ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน ความเสวยอารมณ์เป็นสุข เป็นทุกข์หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย แม้นั้นก็เป็นของร้อน

   ร้อนเพราะอะไร? เรากล่าวว่า ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย ร้อนเพราะความโศก เพราะความรำพัน เพราะทุกข์กาย เพราะทุกข์ใจ เพราะความคับแค้น.

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูปทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ใน สัมผัสอาศัยจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโสต ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเสียงทั้งหลาย ...

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกลิ่นทั้งหลาย ...

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรสทั้งหลาย ...

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในกาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ...

    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในธรรมทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณอาศัยมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัมผัสอาศัยมนะ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย.

    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี. ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุ ๑๐๐๐ รูปนั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.