พระกังขาเรวตเถระ
เอตทัคคะในทางผู้เพ่งด้วยฌาน
    พระกังขาเรวตะ เป็นบุตรเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี เดิมชื่อว่า “ เรวตะ ” เป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังมิเคยเข้าวัดฟังเทศน์มาก่อนเลย คงเจะเป็นด้วยอุปนิสัยวาสนาบารมีเก่าส่งเสริม
แอบนั่งฟังธรรมท้ายสุด

    ต่อมาได้เห็นอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ถือดอกไม้ธูปเทียน เครื่องสักการะและของหอม ไปยังพระเชตวันมหาวิหาร จึงติดตามไปด้วยแล้วนั่งอยู่ท้ายสุด หมู่พุทธบริษัท เพราะตนเองเป็นผู้ใหม่ รอเวลาที่พระบรมศาสดาจะทรงแสดงพระธรรมเทศนา

    โดยปกติธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทุกครั้งก่อนที่พระองค์จะทรงแสดงธรรม จะทรงพิจารณาตรวจดูอุปนิสัยของพุทธบริษัทที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นว่าผู้ใดมีบุญวาสนาบารมีสั่งสมอบรมมา ซึ่งพอจะเป็นปัจจัยส่งผลให้บรรลุคุณธรรมพิเศษบ้างหรือไม่ และได้พิจารณาไปโดยรอบ ก็ทอดพระเนตรเห็นเรวตมาณพเข้าสู่ข่ายคือ พระฌาณของพระองค์ ว่าเป็นผู้มีอุปนิสัยบารมีสั่งสมมาดีแต่อดีตชาติ สามารถจะบรรลุมรรคผลได้ จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุปุพพิถา เพื่อขัดเกลาอุปนิสัยให้สะอาดหมดจด ปราศจากความยินดีในกามคุณที่เคยบริโภคใช้สอยมาก่อน

    ใจความในอนุปุพพิกถา คือถ้อยคำที่กล่าวไปโดยลำดับ ๕ ประการ คือ

    ๑ . ทานกถา กล่าวถึงอนิสงส์ของการบริจากทาน

   ๒. สีลกถา กล่าวถึงการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย

   ๓. สัคคกถา กล่าวถึงเรื่องสวรรค์อันอุดมด้วยทิพยสมบัติ

   ๔. กามาทีนวกถา กล่าวถึงโทษแห่งกามคุณ ๕ ว่าเป็นเหตุนำทุกข์มาให้

   ๕. เนกขัมมานิสงสกถา กล่าวถึงอานิสงส์ของการออกบวชว่า เป็นอุบายที่จะให้บรรลุพระนิพพานอันเป็นบรมสุข

    เมื่อจบพระธรรมเทศนา เรวตมาณพก็เกิดศรัทธาแก่กล้ายิ่งขึ้น จึงกราบทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ประทานให้ตามประสงค์ ครั้นได้อุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาพระกรรมฐานขากพระบรมศาสดาแล้วปลีกตัวอยู่ในสถานที่อันสงบสงัด อุตสาห์บำเพ็ญเพียรพระกรรมฐานจนได้บรรลุโลกิยฌาน แล้วทำฌานที่ได้แล้วนั้น ให้เป็นพื้นฐานในการเจริญวิปัสสนา ไม่ช้านักท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวกิเลส เป็นพระอเสขบุคคลในพระพุทธศาสนา


เหตุที่ได้นามว่ากังขาเรวต

    พระเรวตะนั้น ภายหลังจากที่ได้อุปสมบทแล้ว ขณะที่ท่านยังเป็นปุถุชนยังมิได้บรรลุพระอรหัตผล เมื่อท่านได้รับกัปปิยวัตถุสิ่งของเครื่องใช้ สิ่งใด ๆ มาแล้ว ท่านทักจะคิดกังขาคือสงสัยก่อนเสมอว่า สิ่งของนี้เป็นของถูกต้องพุทธบัญญัติสมควรแก่บรรพชิตที่จะใช้สอยหรือไม่ ( กัปปิยะ = เป็นของควร, อกัปปิยะ = เป็นของไม่ควร ) เมื่อท่านพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเป็นของที่บรรพชิตบริโภคใช้สอยได้ไม่ผิดพระวินัย

    ท่านจึงใช้สอยชองสิ่งนั้น ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มักสงสัยอยู่เป็นประจำ จนเป็นที่ทราบกันทั่วไปในหมู่ พระภิกษุทั้งหลาย ดังนั้นคำว่า “ กังขา ” จึงถูกเรียกรวมกับชื่อเดิมของท่านว่า “ กังขาเรวตะ หมายถึง พระเรวตะผู้ชอบสงสัย ” แม้ภายหลังท่านได้บรรลุพระอรหัตผล สิ้นกิเลสอันเป็นเหตุแห่งวิจิจฉาคือความลังเลสงสัยแล้วก็ตาม นามว่ากังขาเรวตะ ก็ยังเป็นที่เรียกขานของเพื่อนสหธรรมิกอยู่ตลอดไป


ได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ

    พระกังขาเรวตเถระ เป็นผู้มีความชำนาญในฌานสมาบัติ ทั้งที่เป็นโลกิยะ และโลกุตระ แม้กระทั้งฌานสมาบัติอันเป็นพุทธวิสัย คือ ฌานสมาบัติที่พระพุทธเจ้าทั่งหลายเท่านั้นจะพึงถึง มิได้ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย ด้วยว่าความสุขอันเกิดจากฌานสมาบัตินั้น ไม่มีโลกิยสุขใด ๆ ในโลกจะเทียมเท่าได้เลย

   เรียกว่า “ สันติสุข คือ สุขที่เกิดจากความสงบ ” ส่วนสุขอันเป็นโลกีย์นั้นต้อง พึ่งพิงอิงอาศัยอามิสต่าง ๆ อันได้แก่ บุคคล สัตว์ สิ่งของ เป็นต้น เข้ามาช่วยให้เกิดความสุข และความสุขแบบโลกีย์นี้ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะเมื่อยามที่ยังมีอยู่ ก็รู้สึกเป็นสุข แต่ความสุขอันเกิดจากฌานสมาบัตินั้นเป็นสุขที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นสุขที่เกิดจากความไม่มีทุกข์

   ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ พระบรมศาสดา จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่ง เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้เพ่งด้วยฌาน , ผู้ยินดีในฌานสมาบัติ

   ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจกระพระพุทธศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน..