ตปุสสะ- ภัลลิกะ 
เอตทัคคะในฝ่ายผู้ถึงสรณะก่อน
   เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณใหม่ ๆ ณ ภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ แล้ว ประทับเสวยวิมุตติในสถานที่ต่าง ๆ รวม ๗ แห่ง ๆ ละ ๗ วัน และในสัปดาห์ที่ ๗ อันเป็นสัปดาห์สุดท้าย พระพุทธองค์ประทับเสวยวิมุตติสุขที่ภายใต้ร่มไม้เกตุ อันได้นามว่า “ ราชายตนะ ” นั้น

   ขณะนั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราช ทรงดำริว่า “ พระผู้มีพระภาค ตั้งแต่ตรัสรู้แล้วนับได้ ๔๕ วัน ถึงวันนี้ พระองค์ยังมิได้เสวยพระกระยาหารและถ่ายพระบังคนเลย สมควรที่พระองค์จะเสวยพระกระยาหารและถ่ายพระบังคน ” จึงนำผลสมออันเป็นพิพยโอสถมาจากเทวโลกเข้าถวาย พระพุทธองค์ทรงรับมาเสวยแล้วทำสรีรกิจลงพระบังคน แล้วท้าวสหัสสนัยน์ก็อยู่เฝ้าถวายการปฏิบัติพระพุทธองค์ด้วยกิจต่าง ๆ มีถวายน้ำบ้วนพระโอษฐ์ เป็นต้น


เทฺววาจิกอุบาสก ( ทะเววาจิกะอุบาสก) 

   ครั้งนั้น มีพ่อค้าพานิชสองพี่น้องชื่อ ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ นำสินค้าบรรทุกกองเกวียนเดินทางมาจากอุกกละชนบทผ่านมาทางนั้น ด้วยอานุภาพแห่งเทวดา องค์หนึ่งซึ่งเคยเป็นญาติกับสองพ่อค้าในอดีตชาติ เห็นสองพ่อค้าแล้วคิดว่า “ พ่อค้าทั้งสองนี้ พากันลุ่มหลงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏสิ้นกาลช้านาน ควรที่เราจะสงเคราะห์ให้ได้รับประโยชน์สุขอันอุดม ” จึงบันดาลให้โคพาเกวียนไปผิดทางแล้วแสดงตนให้ปรากฏ กล่าวชี้แนะให้สองพ่อค้านำสัตตุก้อนสัตตุผงอันเป็นเสบียงทาง เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค สองพ่อค้าก็ปฏิบัติตามน้อมนำข้าสัตตุก้อนสุตตุผงเข้าไปถวาย พบพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ภายใต้ร่มไม้เกตุ ประกอบด้วยทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ มีพระรัศมีรุ่งเรืองไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงคิดว่า “ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ซึ่งนับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐของพวกตนยิ่งนักแล้วเข้าไปกราบทูลว่า :-

    “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงทรงอนุเคราะห์รับบิณฑบาตไทยทาน เพื่อประโยชน์สุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง ตลอดกาลนานเถิด”

    พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า “ บาตรของตถาคตได้หายไปก่อนวันตรัสรู้ ต้องรับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาด้วยพระหัตถ์ หลังจากนั้นมายังมิได้เสวยกระยาหารเลย บัดนี้ สองพานิชนำอาหารมาถวาย ตถาคตจะได้บาตรมาแต่ไหน”

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงดำริอย่างนี้ ทันใดนั้น ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ได้นำบาตรศิลาสีเขียวองค์ละใบมาจากทิศทั้ง ๔ น้อมไปถวาย


พระพุทธเจ้าประสานบาตร

   พระผู้มีพระภาค ทรงดำริว่า “ บรรพชิตรูปหนึ่งไม่ควรมีบาตรเกินกว่าหนึ่งใบ ” จึงทรงอธิษฐานให้บาตรทั้ง ๔ ใบนั้นประสานเข้าเป็นใบเดียวกันแล้วทรงรับข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงของสองพานิชด้วยบาตรนั้น เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว นายพานิชสองพี่น้องกราบทูลแสดงตนเป็นอุบาสก ขอถึงพระพุทธกับพระธรรมเป็นสรณะ ที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต เนื่องด้วยขณะนั้นยังไม่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นในโลก อุบาสกทั้งสองจึงได้นามว่า “ เทฺววาจิกอุบาสก ” นับเป็นอุบาสกคู่แรก และคู่เดียวในโลก ผู้ถึงรัตนะสองประการ

   ก่อนที่อุบาสกทั้งสองจะกราบทูลลากลับไปนั้น ได้ทูลขอสิ่งอันเป็นปูชนียวัตถุ เพื่อนำไปประดิษฐานเป็นที่สักการบูชายังบ้านเมืองของตนสืบไป

    พระพุทธองค์ ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระเศียร พระเกศา ๘ เส้นติดพระหัตถ์ออกมา จึงประทานให้แก่สองพ่อค้านั้นตามประสงค์

    พ่อค้าทั้งสอง ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้ถึงสรณะก่อน.