พระโสณาเถรี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้ปรารภความเพียร
        พระโสณาเถรี เกิดในตาะกูลเศรษฐีฝนเมืองสาวัตถีได้ชื่อว่า “ โสณา ” เมื่อเจริญวัยแล้วได้มีคู่ครองที่มีฐานะเสมอกัน อยู่ร่วมกันมามีบุตร ๗ คน มีธิดา ๗ คน
จากเศรษฐีเป็นอนาถา

  เมื่อบุตรธิดาทั้งหลายเจริญวัยแล้วได้แต่งงานมีคู่ครองเรือนแยกย้ายกันออกไปอยู่ตามลำพัง ต่างก็มีฐานะความเป็นอยู่สุขสบายตามสมควรแก่อัตภาพฆรวาสวิวัย ต่อมาสามีของนางถึงแก่กรรมลง นางได้ปกครองดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดโดยยังมิได้จัดสรรแบ่งปันให้แก่บุตรธิดาเลย และต่อมา บุตรธิดาเหล่านั้นได้พากันมาพูดกับนางบ่อย ๆ ว่า

  “ คุณแม่ บิดาของพวกข้าพเจ้าก็ตายไปแล้ว ทรัพย์สมบัติเหล่านี้แม่จะเก็บเอาไว้ทำไม หรือแม่แกรงว่าพวกเราทั้ง ๑๔ คนนี้จะเลี้ยงแม่ไม่ได้ ”

  นางโสณาได้ฟังคำของลูก ๆ มาพูดกับอยู่บ่อย ๆ ก็คิดว่า “ เมื่อเราแบ่งทรัพย์สมบัติให้แล้ว ลูก ๆ ก็คงจะเลี้ยงดูเราให้มีความสุขได้ ไม่ต้องลำบาก ”

  เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว นางก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกชายหญิงทั้ง ๑๔ คน ๆ ล่ะเท่า ๆ กันแล้วนางก็ไปอยู่อาศัยกับลูกคนโต เมื่อไปอยู่ใหม่ ๆ ก็ได้รับการปฏิบัติ ดูแลอย่างดี แต่เมื่อนานไปลูกสะใภ้ก็เริ่มมีความรังเกียจ พูดจาเสียดสีขึ้นวันละเล็กวันละน้อย พร้อมทั้งไปยุแหย่ให้สามีรังเกียจแม่ของตนเอง เมื่อพูดบ่อย ๆ เข้า สามีก็เห็นคล้อยตามด้วย จนกระทั้งวันหนึ่ง ลูกสะใภ้ได้พูดกับนางว่า

  “ คุณแม่ ความจริงแม่ก็มีลูกชายหญิงตั้งหลายคน ทรัพย์สมบัติทั้งหลายแม่ก็แบ่งให้เท่า ๆ กัน มิใช่ว่าฉันจะได้ ๒ ส่วนมากกว่าคนอื่น ๆ แต่ทำไมแม่จึงมาอยู่กินแต่ที่บ้านฉันคนเดียว แม่ไม่รู้จักทางไปบ้านลูกคนอื่นเลยหรือ ? ”


ไร้ที่พึ่งพาจึงออกบวช

  นางโสณา ได้ฟังคำของลูกสะใภ้แล้ว อีกทั้งลูกชายก็ดูท่าทีคล้อยตามภรรยาของตน นางจึงจำใจห่อของใช้ส่วนตัวไปอาศัยลูกคนต่อ ๆ ไป และเหตุการณ์ก็เป็นทำนองเดียวกัน นางไม่สามารถจะพึ่งพาอาศัยลูกชายและลูกหญิงทั้ง ๑๔ คนนั้นได้ จึงคิดว่า “ จะมีประโยชน์อะไรกับการอาศัยลูกเหล่านี้เราไปบวชเป็นภิกษณีจะดีกว่า ”

  นางโสณา ได้ไปยังสำนักภิกษุณีสงฆ์ ขอบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุณีเพราะความที่นางเป็นผู้มีลูกมากจึงได้ชื่อว่า “ พหปุตติกาเถรี ” นางเองก็คิดว่า “ เราบวชในวัยชรา ไม่ควรที่จะอยู่ด้วยความประมาท ” จึงได้ช่วยนางภิกษุณีทั้งหลายทำวัตรปฏิบัติตามกิจของภิกษุณีสงฆ์ แต่เพราะความเป็นผู้บวชใหม่ และอยู่ในวัยชราจึงทำกิจบกพร้อง นางภิกษุณีทั้งหลายจึงกระทำทัณฑกรรมลงโทษแก่เธอโดยให้เธอทำหน้าที่ ต้มน้ำอุ่นให้ภิกษุณีทั้งหลายสรง ทั้งเช้า - เย็นเป็นประจำ บุตรธิดาของเธอได้มาเห็น ก็พากันพูดจาเยาะเย้ยจนเธอรู้สึกสลดใจ

  วันหนึ่ง พระโสณาเถรี ได้ไปหาฟืนและตักน้ำมาไว้ในโรงครัว แต่ยังมิได้ก่อไฟ พระเถรีก็คิดว่า
   “ เราไม่ควรประมาท ควรจะอาศัยเวลาและสถานที่อันสงบสงัดนี้ บำเพ็ญสมณธรรมทั้งหลางวันและกลางคืน ” คิดดังนี้แล้วได้พิจารณาอาการ ๓๒ ท่องบ่นภาวนาไป เดินจงกรมไปโดยยึดเสาโรงครัวเป็นเเกนกลางเดินบนรอบสำรวมจิตเจริญวิปัสสนา


สำเร็จอรหันต์แสดงอภินิหาริย์

  ขณะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ประทับอยู่ในพระคันธกุฏิ ทรงทราบด้วยพระญาณ จึงทรงเปล่งพระโอภาสรัศมีปานประหนึ่งว่าประทับอยู่ตรงหน้าพระเถรีนั้นแล้วตรัสสอนว่า

  “ ดูก่อนพหุปุตติกา ชีวิตความเป็นอยู่เพียงวันเดียวครู่เดียว ของผู้ที่เห็นธรรมอันสูงสุดที่เราได้แสดงแล้ว ดีกว่าประเสริฐกว่าชีวิตเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นธรรม ”

  พอสิ้นพุทธดำรัสพระเถรีก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย และเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงคิดว่า “ เมื่อภิกษุณีเหล่านั้นมาเพื่อต้องการน้ำอุ่น พอเห็นเราแล้วไม่ทันได้ใคร่ครวญ ก็จะพูดล่วงเกินดูหมิ่นเราเหมือนก่อน ก็จะได้รับบาปกรรมอันหนัก เราควรจะทำอะไรพอเป็นที่สังเกตุให้พวกเขากำหนดรู้สักอย่างหนึ่ง ” แล้วนางก็ยกภาชนะต้มน้ำขึ้นตั้งบนเตาไฟ แต่มิได้ก่อไฟเพียงแต่ใสฟืนเข้าไว้ เมื่อนางภิกษุณีทั้งหลายมาที่โรงครัว เพื่อนำน้ำอุ่นไปสรง เห็นมีแต่ภาชนะต้มน้ำอยู่จนเตาไฟแต่ไม่เห็นไฟ จึงกล่าวว่า

  “ พวกเราบอกหญิงแก่คนนี้ต้มน้ำถวายภิกษุณีเพื่อนำไปสรง จนบัดนี้นางยังไม่ได้ใส่ไฟในเตาเลย ไม่ทราบว่านางมัวทำอะไรอยู่ ”

  พระโสณาเถรี จึงกล่าวว่า

  “ ข้าแต่แม่เจ้า ถ้าท่านทั้งหลายต้องการน้ำอุ่นไปสรง ก็จงตักเอาจากภาชนะนั้นเถิด ” แล้วพระเถรีก็อธิษฐานเตโชธาตุทำให้น้ำนั้นอุ่นขึ้นทันที

  ภิกษุณีทั้งหลายได้ฟังคำของนางแล้วก็คิดว่า “ คงจะมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ ” จึงทดลองใช้มือจุ่มลงในภาชนะ ก็ทราบว่าเป็นน้ำอุ่น จึงตักเอาไปสรงทั่วกัน แต่ว่าตักสักเท่าใด น้ำก็ยังปรากฏเต็มภาชนะอยู่เช่นเดิม ภิกษุณีทั้งหลายจึงทราบแน่ชัดว่า “ พระเถรีนี้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ” ต่างก็พากันตกใจ

  นางภิกษุณี ผู้มีวัยอ่อนกว่า ก็ก้มลงกราบแทบเท้ากล่าวขอขมาโทษว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้า พวกข้าพเจ้าได้พูดจาดูหมิ่นล่วงเกินท่าน เพราะความเขลาเบาปัญญามิได้พิจารณาให้รอบคอบตลอดกาลนานมาแล้ว ขอพระแม่เจ้าจงเมตตาอดโทษแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด ”

  ส่วนนางภิกษุณี ผู้มีวัยแก่กว่าก็นั่งกระหย่อง ( นั่งคุกเข่า) กล่าวขอขมาให้อดโทษให้เช่นกัน โดยขอขมาโทษด้วยคำว่า “ ข้าแต่พระแม่เจ้าพวกข้าพเจ้าได้พูดจาดูหมิ่นล่วงเกินท่าน โดยมิได้พิจารณาให้รอบคอบตลอดกาลมานานแล้วขอท่าน จงเมตตาอดโทษแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด ”


 ได้รับการยกย่องเป็นเลิศทางความเพียร

  ตั้งแต่นั้นมา คุณงามความดีของพระโสณาเถรี ก็ปรากฏเป็นที่ทราบกันไปทั่ว
   “ พระเถรี ผู้แม้บวชในเวลาแก่เฒ่า ก็ยังดำรงอยู่ในพระอรหัตผลได้ในเวลาไม่นาน เพราะอาศัยความเป็นผู้ปรารภความเพียรไม่เกียจคร้าน ”

  พระบรมศาสดา ขณะประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลาย ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับแล้ว อาศัยความเป็นผู้ปรารภความเพียร ขยัน ไม่เกียจคร้านของพระเถรีนี้ จึงได้ทรงสถาปนาพระนางโสณาเถรี นี้ไว้ในตำแหน่งเอตคัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลาย ในฝ่ายผู้ปรารภความเพียน..

      อภิญญา ปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่ง มี    ๖ อย่างคือ
          ๑.    อิทธิวิธิ  แสดงฤทธิ์ต่าง  ๆ  ได้
         ๒.    ทิพพโสต       หูทิพย์
         ๓.    เจโตปริยญาณ       ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้
         ๔.    ปุพเพนิวาสานุสสติ       ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
         ๕.    ทิพย์จักขุ      ตาทิพย์
         ๖.    อาสวักขยญาณ    ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป

          ( ๕ อย่างแรกเป็นโลกิอภิญญา    ข้อสุดท้ายเป็นโลกุตตรอภิญญา )

ย้อนกลับ             ปิดหน้านี้         ถัดไป