อุปกิเลสของวิปัสสนาญาณ 10
อารมณ์กิเลสที่คอยกีดกันอารมณ์วิปัสสนา ก็คืออารมณ์สมถะที่มีอารมณ์ละเอียดคล้ายคลึงวิปััสสนาญาณ ท่านเรียกว่า อุปกิเลสของวิปัสสนา 10 อย่าง คือ
- โอภาส โอภาส แปลว่า แสงสว่าง ขณะพิจารณาวิปัสสนาญาณนั้น จิตย่อมทรงอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ เป็นสมาธิเพื่อสร้างทิพยจักษุญาณ ย่อมเกิดแสงสว่างขึ้นคล้ายใครเอาประทีปมาตั้งไว้ นี้เป็นผลของสมถะ ที่เป็นกำลังสนับสนุนวิปัสสนาเท่านั้น
- ปีติิิ ปีติแปลว่า ความอิ่มใจ ความปลาบปลื้มเบิกบาน ขนพอง น้ำตาไหล กายโยกโคลง กายลอยขึ้น กายโปร่ง กายเบา บางคราวก็คล้ายมีกายสูงใหญ่กว่าธรรมดา มีอารมณ์ไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ อาการอย่างนี้ไม่ใช่ผลของวิปัสสนา เป็นผลของสมถะ
- ปัสสัทธิ ปัสสัทธิแปลว่า ความสงบระงับด้วยอำนาจฌาน มีอารมณ์สงัดคล้ายจิตไม่มีอารมณ์อื่น อาการอย่างนี้เป็นอารมณ์ของอุเบกขาในจตุตถฌาน เป็นอาการของสมถะ
- อธิโมกข์ อธิโมกข์แปลว่า อารมณ์ที่น้อมใจเชื่อโดยปราศจากเหตุผล ด้วยพอได้ฟังว่าเราได้มรรคได้ผล ไม่ได้พิจารณาก็เชื่อแน่เสียแล้ว เป็นอาการของศรัทธาตามปกติ
- ปัคคหะ ปัคคหะแปลว่า มีความเพียรกล้า คนที่มีความเพียรบากบั่นไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคเป็นเหตุให้บรรลุมรรคผล แต่ถ้าเข้าใจผิดว่าตนได้บรรลุเสียตอนที่มีความเพียรก็น่าเสียดายยิ่ง ความพากเพียรด้วยความมุมานะนี้เป็นการหลงผิดได้
- สุข สุขแปลว่า ความสบายกายสบายใจ เป็นอารมณ์ของสมถะที่เข้าถึงอุปจารฌานระดับสูง เป็นความสุขที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน เป็นอารมณ์ของสมถะภาวนา อย่าเข้าใจผิดว่าได้มรรคผล
- ญาณ ญาณแปลว่า ความรู้ อันเกิดขึ้นด้วยอำนาจที่จิตมีสมาธิจากผลของสมถภาวนา เป็นผลของสมถะแท้ไม่ใช่ผลของวิปัสสนา ถ้าพอใจเพียงนั้นก็ยังต้องเป็นโลกียชน
- อุเบกขา อุเบกขาแปลว่า ความวางเฉย เป็นอารมณ์ในสมถะ คือ ฌาน 4
- อุปปัฎฐาน อุปปัฏฐาน แปลว่า เข้าไปตั้งมั่น หมายถึงอารมณ์ที่เป็นสมาธิ มีอารมณ์สงัดเยือกเย็น ดังท่านที่เข้าฌาน 4 มีอารมณ์สงัด แม้แต่เสียงก็กำจัดตัดขาด อารมณ์ใด ๆ ก็ไม่มี เป็นฌาน 4 ในสมถะแท้ ๆ
- นิกกันติ นิกกันติแปลว่า ความใคร่ เป็นความใคร่น้อย ๆ ถ้าไม่กำหนดรู้อาจไม่มีความรู้สึก เพราะเป็นอารมณ์ของตัณหาสงบ ไม่ใช่ขาดไป เป็นเพียงสงบชั่วคราวด้วยอำนาจฌาน มีปฐมฌานเป็นต้น
วิปัสสนาญาณที่พิจารณาต้องมีสังโยชน์เป็นเครื่องวัด และพิจารณาไปตามแนวของสังโยชน์เพื่อการละ ละเป็นขั้นเป็นระดับไป อย่าให้หลงใหลในอารมณ์อุปกิเลส 10 ประการ
สังโยชน์ 10
สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฎฎะ มี 10 อย่าง
- สักกายทิฏฐิ เห็นว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ 5)
- วิจิกิจฉา ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย
- สีลัพพตปรามาส รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง
- กามฉันทะ มีจิตมั่วสุมหมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์
- พยาบาท มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
- รูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน
- อรูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในอรูปฌาน คิดว่าเป็นคุณพิเศษที่ทำให้พ้นจากวัฏฏะ
- มานะ มีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี
- อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล
- อวิชชา มีความคิดเห็นว่า โลกามิสเป็นสมบัติที่ทรงสภาพ
กิเลสทั้ง 10 นี้ เรียกว่า สังโยชน์ นักเจริญวิปัสนาญาณต้องรู้ไว้ และพยายามกำจัดกิเลสทั้ง 10 นี้ให้เด็ดขาดเป็นขั้น ๆ ตามกำลังของสมาธิ และวิปัสสนาญาณ ผู้ใดกำจัดได้ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 3 ท่านว่าผู้นั้นได้บรรลุพระโสดา และพระสกิทาคา ถ้าตัดได้ตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง ข้อ 5 ท่านว่าผู้นั้นได้บรรลุพระอนาคามี ถ้าตัดขาดได้เด็ดขาดทั้ง 10 ข้อ ท่านผู้นั้นได้บรรลุพระอรหัตตผล เมื่อได้เจริญวิปัสสนาญาณ ศึกษาบารมี 10 และมีจิตใจทรงบารมี 10 ได้อย่างปกติ ศึกษาอุปกิเลส 10 ประการให้เข้าใจ ต่อไปก็เริ่มเจริญวิปัสสนาญาณ โดยในระยะแรก ท่านให้ชำระศีลให้บริสุทธิ์ แล้วเข้าสมาธิดำรงฌาน ถ้าเข้าถึงฌาน 4 ได้ก็เข้าฌาน 4 ถ้าไม่ถึงฌาน 4 ก็เข้าสมาธิตามกำลัง จนอารมณ์สงบดีแล้ว ก็ถอยสมาธิมาหยุดอยู่ที่ อุปจารสมาธิ แล้วพิจารณาขันธ์ 5 ด้วยวิปัสสนาญาณ ตามลำดับที่ 1 ก่อน จนมีอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ จากนั้นค่อย ๆ เลื่อนอารมณ์มาพิจารณาในญาณที่ 2, 3, 4 , 5, 6, 7, 8 และถอยหลังเป็นอนุโลมปฏิโลม ที่เรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ ขณะที่พิจารณานั้น ถ้าอารมณ์จะฟุ้งซ่าน ท่านให้หยุดพิจารณาเสียก่อน เข้าฌานตามกำลังสมาธิใหม่ พอให้จิตตั้งอยู่ในสมาธิเป็นอุเบกขารมณ์แล้ว จึงคลายมาที่อุปจารณฌาน จากนั้นพิจารณาวิปัสสนาญาณใหม่ ถ้าพิจารณาข้อใดจิตใจยังปลงข้อนั้นไม่ตกจนเป็นเอกัคคตารมณ์ คือเกิดความเห็นเป็นเช่นนั้นจริง จนเกิดความเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 แล้ว ก็อย่าย้ายไปพิจารณาข้อต่อไป ถ้าได้ข้อเดียวข้อต่อไปก็ไม่มีอะไรเสียเวลา พอพิจารณาก็จะรู้แจ้งเห็นจริงทันที ก็จะเข้าถึงโคตรภูญาณ แล้้วได้มรรคผลตามที่ตนตั้งใจปรารถนาไว้ การพิจารณาวิปัสสนาควรมุ่งตัดกิเลสเป็นตอน ๆ ไป ถ้าคิดว่าจะละให้เด็ดขาดก็ยังละไม่ได้ ก็ไม่ย้ายข้อที่ตั้งใจละต่อไปข้ออื่น ทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ในข้อนั้น
|