ตายไม่สูญ..ตายแล้วไปไหน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

    

ตายแล้วไม่สูญ” และตายแล้วไปไหน”

     ความจริง “ ตายแล้วไม่สูญ” และตายแล้วไปไหน” นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างละเอียดว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไมแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ

     ๑. อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย แลแะเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๒. เกิดเป็นมนุษย์
    ๓. เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
    ๔. เกิดเป็นพรหม
    ๕. ไปพระนิพพาน

    ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่เกิดไว้ครบถ้วนตามกฏของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมันที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฏของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้

 

แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ

    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็นในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฏใหญ่ ๆ ไว้ ๕ ประการคือ

    ๑. เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มแเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑

    ๒. มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนญาติ หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๒

    ๓. ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓

    ๔. พูดปุด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อ ๔

    ๕. ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยน้ำเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕

    กรรม คือความประพฤติในกฏ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

 

แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์

    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่าย ๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่

    ๑ . เป็นคนมีเมตตาปราณี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรารีคนและสัตว์เสมอด้วยตนรักตนเอง

    ๒. ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของยังไม่อนุญาติด้วยความเต็มใจ

    ๓. ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น

    ๔. ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

    ๕. ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฏของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่าง ๆ

    ท่านที่ทรงความดีทั้ง ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

 

แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์

    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มากแต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ

    ๑. เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน

    ๒. เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

    เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

 

แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก

    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยงดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนั้นเพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดียวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านว่ามีความสุขสงบวงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย

 

แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน

     แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราาาาชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ” ขอกล่าวย่อ ๆว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

    ๑. ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่าง ๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อมีความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

    ๒. ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

    ๓. รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

    ๔. ทำลายความรักใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

    ๕. มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก้ไม่คลายจากความเมตตา

    ๖. ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

    ๗. ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์

    ๘. มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

    ๙. ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร และมีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดที่ต้องตายสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหว เมื่อเข้าสังคมสมาคมใด ๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้น ๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมอะพอสมควรแก่สมาคมนั้น ๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขาเราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร

    ๑๐. ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวมีตนเป็นครมันก็ต้องตาย พบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

     เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเข้าค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านว่าคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก้เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยแต่ดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง

     เรื่องของ “ การตายแล้วไม่สูญ และ ตายแล้วไปไหน ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกับแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริง ๆ หลังเกณฑ์การปฏิบัติ เพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณ เพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว

     จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คืออุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังต้องปฏิบัติตาม ท่านจึงหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้ท่านเองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้ผู้มาฝึกมโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “ ตายแล้วสูญ” แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และอดพระนิพพานนั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและทั้งผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก

     ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู่ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่าง ๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ...”