ต่อมาอีกพวกที่ ๒ ก็เข้าไปใหม่ เข้าไปแหย่ว่า   “อาจารย์อย่าไว้ใจทางวางใจคน เห็นอาจารย์หญิงโปรดปรานนัก สักวันหนึ่งอาจจะทำมิดีมิร้ายกับอาจารย์หญิงก็ได้   อาจารย์ได้ยินเช่นนี้ชักหน้ามืด   เอ..ภรรยาเราก็ยังสาวและยังสวย รึมันจะเป็นไปได้...แต่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะอหิงสกกุมารนี้เป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่มีวี่แววที่จะคิดไม่ดี   จึงยังไม่เชื่อแต่ก็เริ่มครางแครงใจ

   เมื่อเป็นอย่างนี้พวกที่ ๓ ก็เข้าไปใส่ไฟอีก อาจารย์อหิงสกกุมารนี้หน้าเนื้อใจเสือ อาจารย์จะต้องระวัง วันข้างหน้าจะแย่งตำแหน่งและยึดเอาสำนักเป็นของตัว และก็อาจารย์หญิงก็ต้องโดนยึดครองด้วย คราวนี้ได้ผล  ไฟคือราคะ   ไฟคือโทสะ   และไฟคือโมหะ   ความขาดสติสัมปชัญญะ ที่หึงหวงภรรยาสาวและศิษย์ทั้งหมดได้เข้ามาเป่าหูบ่อยๆเข้า  หินผ่าว่าแข็งแกร่งแต่ก็ยังผุกร่อนเพราะน้ำหยดวันละหยด   แล้วจิตใจมนุษย์ธรรมดาอย่างอาจารย์หรือจะทนได้หรือกับลมปากของศิษย์ผู้มีจิตอิดฉาริษยาทั้งหลายได้อย่างไร

   วันหนึ่งสอนหนังสือไป ๆ อาจารย์ก็ใช้กลอุบายปิดตำราเสียไม่สอนเสียอย่างนั้น อหิงสกกุมารก็ฉงนสนเท่ห์ว่า ทำไมอาจารย์จึงปิดตำราไม่สอนต่อไป จึงได้ถามอาจารย์ว่าทำไมจึงไม่สอนต่อไป อาจารย์อุบายขึ้นมาว่า   “ ครูมีมนต์พิเศษอยู่บทหนึ่งมีชื่อว่า   " วิษณุมนต์ "   มนต์บทนี้ถ้าใครได้เรียนสามารถปราบได้ทั่วไตรภพคือ ปราบมนุษย์ เทวดา พรหม ได้ทั้งหมด ไม่มีใครต่อสู้ได้ "   แล้วถามว่า  " เธอจะเรียนใหม ที่ครูเรียกเธอมาบอกนี้ก็เพราะเห็นว่าเธอดีมีความสามารถยิ่งกว่าศิษย์ทุกคนที่เคยสอนมา เห็นว่าควรจะเรียนได้ มนต์นี้ยังไม่เคยให้ใครเรียนเลย เพราะศิษย์ทุกคนที่สอนมาไม่มีใครที่ควรคู่กับมนต์บทนี้ มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรและสมควรจะเรียนได้”  

    เมื่อได้เจอลูกยอเข้าแบบนี้ และคนที่เก่งอยู่แล้วก็อยากจะเก่งถึงที่สุด ก็รับปากว่าจะเรียน แต่ท่านอาจารย์ก็บอกว่า   "มนต์นี้ต้องยกครูก่อน การยกครูหรือการเสียค่าครูนี้ใช้เงินทองของใช้ไม่ได้ ต้องฆ่าคนถึงพันคนก่อนจึงจะเรียนได้"  

    “กระผมจะเรียนวิชานี้ ถึงแม้จะไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาก่อนแม้แต่น้อย แต่เพื่อให้ได้ซึ่งวิชาวิษณุมนต์วิเศษนี้ กระผมจะทำ”  

   เมื่ออหิงสกกุมารได้รับดาบฟ้าฟื้น จากอาจารย์แล้ว ก็กราบลาอาจารย์ออกจากสำนัก ตั้งแต่นั้นมาก็คอยดักซุ่มฆ่าคนเรื่อยไป เจอใครฆ่าหมดไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายคนเฒ่าคนแก่เด็กเล็กเด็กแดงไม่เลือก เมื่อฆ่ามามากต่อมากก็จำไม่ได้ว่าตนเองได้ฆ่าไปเท่าไหร่แล้ว จึงได้ตัดเอานิ้วมือที่ตนได้ฆ่าร้อยเข้ากับเถาวัลย์ห้อยคอไว้ และชื่อของอหิงสกกุมารก็ลบเลือนไป กลายเป็นชื่อ   “องคุลีมารโจร”   แปลว่า โจรผู้มีนิ้วมือเป็นพวงมาลัยค้องคอ เป็นที่หวาดกลัวของผู้คนยิ่งนัก อหิงสกกุมารหรือองคุลิมาลได้ฆ่าคนได้ ๙๙๙ คน ก็จะครบหนึ่งพันแต่ความจริงฆ่ามาเกินพันแล้วแต่ตนเองจำไม่ได้ ก็ไปในเมืองสาวัตถีแอบซุ่มอยู่ตามพุ้มไม้

   พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงทราบว่า โจรองคุลีมาลเข้ามาเพ่นพ่านในเขตแควันปกครองของพระองค์ ก็เตียมยกทัพ ๕๐๐ คน เพื่อจะไปปราบโจรองคุลีมาล มารดาขององคคุลีมาลนั้นก็ทราบข่าวว่า พระราชาจะยกทัพไปจับลูกชายประหารชีวิต ด้วยความรักของผู้เป็นแม่ ไม่ต้องการให้บุตรได้รับอันตราย จึงออกเดินทางเพื่อไปบอกลูกบุตรชายให้หนีไปเสีย