ตอนเช้ามืดพระพุทธเจ้าทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ เห็นมรรคผล จะมีแก่ท่านองคลีมาล และทรงทราบว่าตอนสายวันนี้แม่ของท่านองคุลีมาลจะออกไปหาลูก และท่านองคุลีมาลก็ตั้งใจไว้แล้วว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นใครก็ตาม ถ้าพบแล้วจะฆ่าเพื่อให้ได้ครบพันนิ้วมือ ถ้าแม่ออกไปพบก่อน อาศัยการจองเวรกันไว้เธอจะฆ่าแม่ เมื่อแม่ตายมีกรรมเป็น   อนันตริยกรรม   บุญมีเท่าไหร่จะยังให้ผลไม่ได้   ต้องลงนรกก่อน  

   ด้วยความกรุณา พระพุทธเจ้าจึงตัดสินพระทัยเสด็จไปโปรดตอนเช้าตรู่ เสด็จไปลำพังพระองค์เดี่ยว ไปเจอคนที่เดินสวนทางมา คนถิ่นฐานบ้านนั้นว่าพระองค์เสด็จมาได้ยังไงพระองค์เดียว องคุลีมาลโจรร้ายมันจะจับพระองค์ฆ่าเสีย พระองค์ก็ทรงนิ่งเสียยังคงเสด็จพระราชดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ คนทั้งหลายที่เดินสวนทางมาก็ห้ามพระองค์ไม่ให้ไปทางนั้นเพราะเป็นที่โจรองคุลีมาลมาคอยดักฆ่าผู้คนอยู่ แต่พระองค์ก็ยังคงนิ่งเฉยและเสด็จพระราชดำเนินต่อไป..

   เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงที่ องคุลีมาลหลบซ่อนตัวเพื่อคอยดักผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา และได้เห็น  พระพุทธเจ้าผู้มีพระรูปลักษณ์ตกในลักษณะมหาปุริสลักษณะ   ก็คิดดีใจ กระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า เออ..หนอ วิชาวิษณุมนต์พิเศษของเราจักต้องสำเร็จเป็นแน่แท้ ที่ให้บุรุษหัวโล้นนี้เดินผ่านมา  แหม..เราไม่เคยเห็นผู้ใดงามสง่าเท่าบุรุษหัวโล้นคนนี้เลย ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้  

   เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ ก็คว้าดาบฟ้าฟื้นได้ เอาธนูสะพายบ่า ลูกศรเสียบหลัง วิ่งตามตามพระพุทธเจ้าไป ตอนนี้แรกว่า  อทฺธีภิสงฺขตมโน   องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระทัยน้อมไปในการที่จะแสดงฤทธิ์ พระองค์ยังคงพระราชดำเนินไปเรื่อย ๆ องคุลีมาลก็วิ่งไล่ตาม ฝ่าดงหนาม ฝ่าน้ำฝ่าโคลนไปสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ จนองคุลีมาลโจรร้ายวิ่งตามไปจนเหนื่อยหอบร้องบอกว่า   “สมณะหยุดก่อน ๆ”  และเมื่อวิ่งไปใกล้ ๆ จะทันพระพุทธเจ้าก็เงื่อดาบฟ้าฟื้นขึ้นก็ฟันขวับลงไปทีเดียว แต่ก็ต้องผิดหวังพระพระพุทธเจ้าเสด็จไปอีกแล้ว ๒๐-๓๐ โยชน์ ก็วิ่งตามไปอีก พอไปทันก็ฟันดาบฟ้าฟื้นลงไปอีกและก็เหมือนเดิมจำต้องวิ่งตามอีก

   อันนี้ท่านก็คิดเอาเถิดว่า คนหนึ่งมุ่งจะฟัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระเมตตามหากรุณาที่จะทรงสั่งสอนกุมารผู้เป็นอันพาลร้ายผู้นี้ องคุลีมาลวิ่งไปใกล้ ๆ อีก จะทัน ก็เงื้อดาบขึ้น อุกฺขิตฺตขคฺค หมายจะฟันให้สะพายแล่ง พอลงดาบฟันลงไป ก็ต้องผิดหวังอีกเพราะพระพุทธเจ้ายืนอยู่ตั้ง ๑๐ – ๒๐ โยชน์ ก็วิ่งไล่ตามอีกเป็นอยู่อย่างนี้ ปากก็ร้องตระโกนบอกว่า   สมณะโล้นหยุดก่อน ๆ   และก็คิดในใจว่าวิชาวิษณุมนต์นี้คงจะมีคนสำเร็จก่อนเราเป็นแน่แท้ ทำไมสมณะโล้นจึงเดินเร็วและไม่รู้สึกเหนื่อยหอบแต่อย่างไร เราซึ่งเป็นหนุ่มและดูแข็งแรงกว่าวิ่งติดตามไล่ฟันเท่าไหร่ก็ไม่ถูกสักที ได้คิดอุบายหลอกล่อให้พระพุทธเจ้าหยุดและหาวิธีที่จะฆ่าพระพุทธเจ้าจึงร้องบอกว่า  สมณะโล้นหยุดก่อน ๆ   พระพุทธเจ้าตอบว่า   “เราหยุดแล้ว แต่เจ้านั้นสิยังไม่หยุด”   องคุลีมาลก็เฉลี่ยวใจ หยุดอะไรล่ะ วิ่งสิ้นระยะทาง ๓ โยชน์ เนี่ยท่านบอกว่าท่านหยุด เราวิ่งแต่ท่านเดิน ท่านเดินไม่ธรรมดาเราวิ่งเท่าไหร่ก็วิ่งไม่ทัน ท่านมีเหตุอะไร พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสบอกว่า   “เราหยุดแล้วจากการทำความชั้ว การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่เจ้านั้นซิยังไม่หยุด”  

   คนที่มีบารมีที่ได้สังสมอบรมมาแล้ว ได้ฟังองค์สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเพียงเท่านี้ ก็ได้สติ ก็ระลึกได้ จึงเหวี่ยงดาบฟ้าฟื้น ปลดคันธนูลูกศรวางลงและก้มลงกราบที่พระบาท แล้วฟังธรรมของพระพุทธเจ้าและมีจิตเลื่อมใสจึงขอบรรพชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสเป็น  “เอหิภิกขุอุปสัมปทา ”   ให้โจรร้ายองคุลีมาลได้บวชในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเวลาพอดีที่แม่ท่านไปถึง แล้วพระพุทธองค์ก็นำองคุลีมาลภิกษุใหม่กลับไปยังเชตวันมหาวิหาร

   ในขณะนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลจะยาตราทัพหมายไปจับโจรองคุลีมาล ต้องผ่านเชตวันจึงแวะเข้าไปนมัสการพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า พระองค์จะเสด็จไปไหน พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกว่าจะไปปราบโจรร้ายองคุลีมาลที่จับผู้คนฆ่าแล้วเอานิ้วมือมาร้อยเป็นพวงมาลัย พระพุทธเจ้าก็บอกว่าถ้าหากว่าองคุลีมาลยอมสละซึ่งความโหดร้ายแล้วมาบวชในพระพุทธศาสนาพระองค์จะทำประการใด พระเจ้าปเสนทิโกศลก็บอกว่าถ้าบวชเป็นพระแล้วก็จะกราบสักการะท่าน พระพุทธเจ้าก็เลยยกพระหัตถ์แขนขวาขึ้น ด้วยพุทธานุภาพให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเห็นองคุลีมาลภิกษุขึ้น พอเห็นองคุลีมาลผู้ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุแล้วก็ทรงตกพระทัยผงะหงายเหงื่อกาฬแตก เพราะกลัวโจรร้ายองคุลีมาลปลอมตัวเข้ามาบวช คิดจะฆ่าเราจึงชี้พระหัตถ์ไปว่า นี่แหละโจรร้ายองคุลีมาล พระพุทธเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ต้องตกพระทัยกลัว องคุลีมาลโจรร้ายผู้นี้ได้มีอาการสงบเยือกเย็นลงแล้ว ไม่มีโลภโมโทสันแต่ประการใด พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เบาพระทัยและกราบลาพระพุทธเจ้ากลับพระราชวัง