บุพกรรมของพระองคุลีมาล

   ครั้งหนึ่ง พระองคุลีมาลเคยตั้งจิตปรารถนาไว้กับพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์แล้ว คราวที่โลกกว้างพระพุทธเจ้าคราวหนึ่ง ท่านได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ครั้งนั้นท่านเกิดเป็นชาวนา เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเดินตากฝนผ่านมายังโรงนาแล้วเกิดความสงสารและเลื้อมใส จึงก่อไฟผิงถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าผิงไฟแล้วหายหนาวกลับมากำลังแข็งแรง ท่านเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีอาการดีขึ้นจึงเกิดปีติโสมนัส บุญครั้งนั้นส่งผลให้ท่านเกิดมามีกำลังกายแข็งแรงเท่าช้าง ๗ เชือกในทุกชาติ ความแข็งแรงดังกล่าวมานี้ นอกจากจะเห็นได้ชัดในชาตินี้แล้ว ในชาติที่เกิดเป็นพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพาราณสีทรงเสวยเนื้อมนุษย์เป็นอาหารจนมีชื่อเรียกว่า  “ โปริสาท ”  แปลว่า   “ คนกินคน ”   ในศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ

    เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร อยู่มาวันหนึ่งพระภุกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภาว่า เป็นที่น่าอัศจารรย์ยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานโจรองคคุลีมาลให้หมดพยศร้ายกลายเป็นดีขึ้นในพระพุทธศาสนาได้

   พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระคันธกุฏี ได้ทรงสดับสนทนาของพระภิกษุเหล่านั้น จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏีไปประทับ ณ ธรรมสภาแล้วตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสทนากันถึงเรื่องอะไร” เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบ แล้วพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งลหาย ตถาคตได้ทรมานองคุลีมาลให้หมดพยศร้ายให้กลายมาเป็นดีไม่เฉพาะแต่ในบัดนี้เท่านั้น การณ์ที่ตถาคตทรมานให้สิ้นในบัดนี้ เป็นการณ์ที่ไม่สู้จะอัศจรรย์นัก เพราะเหตุว่า ตถาคตได้บรรลุประปรมาภิเศกสัมโพธิญาณแล้ว ส่วนครั้งที่ตถาคตได้เคยทรมานองคุมีมาลให้หมดพยศร้ายในอดีตชาตินั้น นับเป็นการอัศจารย์ยิ่ง” ครั้นตรัสดังนี้แล้วพระองค์ก็ทรงนิ่งเฉยอยู่

   พระภิกษุทั้งหลายต้องการจะฟังเรื่องในอดีตชาติของพระองคุลีมาลเถระ จึงพร้อมกันกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องอดีตชาติมาตรัสเล่า

   พระผู้มีพระภาคเจ้าเล่าตรัสถึงเรื่องของพระองค์ที่เคยทรงบังเกิดเป็นพระเจ้ามหาสุต โสมได้ทรงทรมานพระยาโปริสาทซึ่งเป็นอดีตชาติของพระองคุลีมาลเถระ

   ในอดีตกาลพระเจ้ามหาสุตโสม ผู้ทรงเป็นราชโอรสของพระเจ้าโกรพย์ กษัตริย์เมืองอินทปัต เมื่อทรงเจริญวัยได้ทรงเสด็จไปทรงศึกษาที่เมืองตักศิลาพร้อมกับพระเจ้าพรหมทัต พระราชโอรสของพระเจ้ากาสีกษัตริย์เมืองพาราณสี และทั้งสองพระองค์ได้ทรงปฏิญาณเป็นสหายกัน

   พระเจ้ามหาสุตโสมได้ทรงเป็นหัวหน้าศิษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีพระราชกุมารทั้งหมดถึง ๑๐๑ พระองค์ด้วยกัน เมื่อทรงศึกษาจบแล้ว ต่างก็เสด็จแยกย้ายกันกลับไปเสวยราชสืบสันตติวงศ์ในบ้านเมืองของแต่ละพระองค์ ๆ

   ในบรรดากษัตริย์ทั้งหมด มีพระเจ้าพรหมทัตทรงมีการเสวยที่แปลก คือ จะต้องเสวยเนื้อปิ้งเป็นประจำทุกวันขาดไม่ได้ บังเอิญวันหนึ่งพนักงานเครื่องต้นหาซื้อเนื้อไม่ได้ จึงไปเฉือนเอาเนื้อคนที่ตายใหม่ ๆ มาจากป่าช้ามาปิ้งนำขึ้นถวาย

   พระเจ้าพรหมทัตเสวยแล้วทรงรู้สึกซาบซ่านไปทั่วเส้นเอ็นทั้ง ๗ พันเหตุที่เป็นดังนี้เพราะเคยเกิดเป็นยักษ์มาหลายชาติ จึงรับสั่งถามเจ้าพนักงานเครื้องต้นจนได้ความจริงว่าเป็นเนื้อมนุษย์ จึงตรัสสั่งให้เจ้าพนักงานหาเนื้อมนุษย์มาปิ้งถวายทุกวัน โดยตรัสให้ฆ่านักโทษในเรือนจำ จนใจที่สุดนักโทษในเรือนจำก็หมดไป แล้วรับสั่งให้นำถุงทรัพย์ไปวางหลอกล่อไว้ ถ้าใครจับถุงทรัพย์ที่วางดักเอาไว้เพราะคิดว่าของที่ผู้อื่นทำตกหล่นไว้ก็จะถูกฆ่า ครั้นกระทำนานเข้าเกิดข่าวลืออื้อฉาว กระทำไม่เป็นผล จึงรับสั่งให้ดักฆ่าคนในเวลาวิกาลเที้ยงคืนต่อไป

   เมื่อบุคคลที่ถูกฆ่าตายหายสูญหายไปมาก พวกพ่อแม่พี่น้องลูกหลานจึงพากันไปกราบบังคมทูลร้องทุกข์ต่อพระเจ้าพรหมทัตผู้ทรงเป็นต้นเหตุ แต่พระองค์ไม่สนพระทัย ประชมชนเหล่านั้นจึงได้พากันไปร้องทุกข์แก่กาฬหัตถีเสนาบดี ๆ รับจะช่วยจัดการให้

   ต่อมากาฬหัตถีเสนาบดีจึงส่งเจ้าหน้าที่ให้คอยเฝ้าสืบจับดูผู้ร้ายฆ่าคนให้ได้ แล้วในไม่ช้าเจ้าหน้าที่ก็สามารถจับหญิงแม่ครัวคนหนึ่งกำลังแล่เนื้อคนตายใส่ในกระเช้า จึงนำมามอบแก่กาฬหัตถีเสนาบดี ๆ ได้ถามคาดคั้นจนหญิงนั้นยอมรับว่า จะนำไปถวายแด่พระราชา จึงสั่งกำชับหญิงนั้นให้เข้าไปแถลงเรื่องนี้ในที่เฝ้าพระเจ้าอยู่หัวในวันพรุ่งนี้เช้า

    ครั้นรุ่งเช้ากาฬหัตถีเสนาบดีจึงนัดประชุมคณะอำมาตย์และชาวพระนคร แล้วเอากระเช้าเนื้อผูกติดคอคนครัวนำเข้าสู่พระราชวัง

   พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรทางช่องพระแกล ทรงเห็นพ่อครัวถูกคุมตัวมา ก็ทรงแน่พระทัยว่า เรื่องของเราปรากฏชัดออกมาแล้ว แต่พยายามทรงดำรงพระสติไว้ให้มั่นไม่สะทกสะท้าน เมื่อเสนาบดีกราบบังคมทูลถามก็ตรัสรับสารภาพ แล้วกาฬหัตถีเสนาบดีจึงกราบทูลห้าม แต่ท้าวเธอทรงปฏิเสธว่าไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ทั้ง ๆ ที่เสนาบดีและพระราชาต่างฝ่ายยกเอาเรื่องอดีตมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งเป็นตัวอย่างให้มองเห็นถึงความพินาศ

   ในที่สุดพระเจ้าพรหมทัตตรัสปฏิเสธว่าอดไม่ได้ แม้จะถูกเนรเทศก็ยอม แต่ตรัสขอดาบ ๑ เล่ม ภาชนะ ๑ ใบ กระเช้า ๑ ใบ กับพ่อครัวเครื่องต้น ๑ คน กาฬหัตถีเสนาบดีและพวกชาวเมืองยินดีมอบให้ตามที่ตรัสขอ แล้วเนรเทศเสียจากบ้านเมือง

   พระเจ้าพรหมทัตกับพ่อครัวออกจากเมืองไปพักอยู่ที่ต้นไทรต้นหนึ่งคอยดักฆ่าคนเดิน ทางที่ผ่านไปมา แล้วนำมาให้พ่อครัวทำการต้มกินด้วยกัน เวลาพระเจ้าพรหมทัตจะทรงจับมนุษย์จะทรงเปล่งพระสุรเสียงขึ้นว่า เราเป็นมนุษย์กินคน ชื่อ   “ โปริสาท ”  

   มาวันหนึ่งพระยาโปริสาทหาฆ่าคนทำอาหารไม่ได้ จึงได้ฆ่าพ่อครัวเครื่องต้นนั้นทำอาหาร และต่อมามีข่าวเลื้องลือว่าพระยาโปริสาทกินคนได้กระจายไปทั่วชมพูทวีป

   ครั้งนั้นมีพ่อค้าเกวียนคนหนึ่งนำกองเกียน ๕๐๐ เล่มไปค้าขายแต่พอจะเข้าสู่ป่าปากดงนึกกลัวพระยาโปริสาท จึงว่าจ้างพวกที่อยู่ปากป่าดงด้วยเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ เพื่อให้ช่วยส่งข้ามพ้นดงไป

   พวกที่อยู่ปากป่าดงตกลงและได้ชักชวนพวกพ้อง ไปด้วยกันหลายคนพร้อมทั้งเตรียมอาวุธครอบมือ โดยให้กองเกวียนไปข้างหน้า พวกตนตามไปข้างหลัง ส่วนหัวหน้าพ่อค้านั่งไปบนยานน้อยเทียมด้วยโคเผือก มีพวกคุ้มกันอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง

   ครั้นพระยาโปริสาทขึ้นบนต้นไม้คอยตรวจดูอยู่ พอเห็นหัวหน้าพ่อค้าให้นึกอยากกินจนน้ำลายไหล พอหัวหน้าพ่อค้าเข้ามาใกล้จึงลงจากต้นไม้ร้องตะโกนว่า   “ เราคือพระยาโปริสาท ๆ ๆ ”   แล้วเกว่งดาบวิ่งรี่เข้าจับหัวหน้าพ่อค้านั้นแบกไป

   พวกรับจ้างได้ไล่ติดตามไป และบุรุษผู้กล้าแข็งคนหนึ่งวิ่งไปทัน พระยาโปริสาทเห็นจวนตัวจึงกระโดดข้ามรั่วแห่งหนึ่ง ถึงคราวเคราะห์ร้อยของพระยาโปริสาท เท้าเหยียบเอาตอไม้ตะเคียนจนทะลุถึงหลังเท้าเลือดไหลโทรม เมื่อเห็นว่าหนีไม่พ้นจึงปล่อยหัวหน้าพ่อค้าเพื่อหนีเอาตัวรอดก่อน พวกคุ้มกันจึงได้หัวหน้าพ่อค้ากลับมายังกองเกวียน

   ฝ่ายพระยาโปริสาทกลับไปที่พักของตนแล้วได้บนต่อเทวดาว่า   “ ถ้าช่วยทำแผลที่เท้าให้หายได้ภายใน ๗ วัน จะเอาเลือดกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาล้างต้นไทรของท่าน เอาไส้กษัตริย์เหล่านั้นวงเป็นสายสิญจน์ และจะเอาเนื้อกษัตริย์เหล่านั้นบวงสรวงท่าน ”   หลังจากบนแล้ว ๗ วันก็ไม่ได้ออกไปหาอาหารกินเลย อดอาหารจนกายซูบผอม เป็นเหตุให้แผลหายภายใน ๗ วัน พระยาปริสาทเข้าใจว่าหายด้วยอำนาจของเทวดา แล้วออกไปหากินคนอีกจนมีกำลังแข็งแรงดี ได้ถือเอาดาบออกจากต้นไทรไปหวังจะจับกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาแก้บนเทวดา เผอิญไปพบยักษ์สหายเก่าเข้า จึงได้ขอเรียนมนต์เพื่อช่วยให้วิ่งเร็วและมีกำลังมาก เพราะฉนั้นพระพญาโปริสาทจึงสามารถจับกษัตริย์ ในชมพูทวีบมาได้ ๑๐๐ พระองค์ ภายในเวลาเพียง ๗ วัน ยังคงเหลือแต่พระเจ้ามหาสุตโสม ที่เว้นไว้เพราะยังนึกถึงบุญคุณที่เคยแนะนำสมัยเรียนอยู่ที่เมืองตักศิลาด้วยกัน อีกอย่างหนึ่งทรงเห็นว่า ควรเหลือไว้เป็นพืชพันธุ์ของกษัตริย์ต่อไป แล้วพระยาโปริสาทก็จัดการเจาะมือกษัตริย์ทั้งหมดร้อยเชือกแขวนไว้ที่กิ่งไทร พอให้ปลายเท้าจรดถึงพื้นดินเท้านั้น แล้วก่อไฟเตรียมแหลนเพื่อจะเสียบกษัตริย์เหล่านั้นย่างแก้บนรุกขเทวดา

   รุกขเทวดารู้สึกสลดใจ แต่ไม่อาจห้ามได้ จึงขึ้นไปบอกแก่ท้าวจาตุมหาราช ๆ ก็ไม่อาจห้ามได้ จึงได้ขึ้นไปหาพระอินทร์ ๆ ตรัสว่า   “ ถึงตัวเราก็ห้ามไม่ได้ ๆ   แต่ได้ตรัสอุบายให้ว่า   “ ท่านจงแปลงเป็นสมณะเดินผ่านหน้าพระยาโปริสาทไป เมื่อพระยาโปริสาทไต่ถามท่าน ๆ จงกลายร่างเป็นเทวดาแล้วบอกให้ทราบว่า ท่านเป็นเทวดาสิงอยู่ที่ต้นไทรผู้ที่ท่านจะบวงสรวงนั้น แต่เราไม่พอใจการเซ่นสรวงของท่านผู้กล่าวเท็จ เพราะบนไว้ว่าจะนำกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์มาแก้บน แต่ท่านนำมาเพียง ๑๐๐ พระองค์เท่านั้นเอง ถ้าหากท่านไม่ไปนำพระเจ้าสุตโสมมา การบวงสรวงนี้นับว่าใช้ไม่ได้ เมื่อพระยาโปริสาทรับปากว่าจะนำพระเจ้าสุตโสมมา ท่านจงเข้าไปในต้นไทรตามเดิม แล้วจากนั้นพระเจ้ามหาสุตโสมจักทรมานพระยาโปริสาทให้ละพยศร้าย ทั้งจะช่วยชีวิตของกระษัตริย์ทั้ง ๑๐๐ พระองค์เหล่านั้นด้วย ตลอดกระทั้งคนอื่น ๆ อีกด้วย ”  

   เมื่อรุขเทวดารับราชโองการแล้ว จึงรีบลงมาปฏิบัติตามทุกประการทันที ฝ่ายพระยาโปริสาทรับว่า จะไปนำพระเจ้ามหาสุตโสมมา แล้วไปคอยดักอยู่ในสระโบกขรณี สำหรับสรงของพระเจ้าสุตโสมในตอนกลางคืน

   พระเจ้ามหาสุตโสมพร้อมด้วยจตุรงคเสนาเสด็จยาตราออกจากพระนคร ได้พบกับอานันทพราหมณ์ผู้นำคาถาอันมีค่า ๑๐๐ กหาปณะมาจากเมืองตักกศิลาเพื่อแสดงถวายพระองค์ ๆ รับสั่งว่า รอให้เสด็จกลับเสียก่อนจึงจะฟัง แล้วเลยเสด็จไปยังพระราชอุทยาน โดยมีพวกพลโยธาแวดล้อมอย่างกวดขัน พอได้เวลาพระเจ้ามหาสุตโสมจึงเสด็จลงสรงสนานในสระโบกขรณีแล้วเสด็จขึ้นมาประทับมงคลศิลาอาสน์

   ขณะที่พวกเจ้าพนักงานเครื่องต้นจะน้อมเครื่องทรงเข้าไปถวาย พระยาโปริสาทได้ส่งเสียงร้องขึ้นว่า   “ เราคือ พระยาโปริสาท ๆ ๆ   ” แล้วกระโดดขึ้นจากสระ วิ่งตรงเข้าไปจับที่เท้าของพระเจ้ามหาสุตโสมยกขึ้นบ่าแบกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีใครจะสามารถไล่ตามทัน

   ครั้นไปได้ไกลประมาณ ๓ โยชน์ พระยาโปริสาทก็ค่อย ๆ เดินไป แต่สังเกตเห็นว่าน้ำพระเนตรของพระเจ้ามหาสุตโสมตกลงมาถูกอกของตนด้วยเข้าใจว่า พระเจ้ามหาสุตโสมทรงกรรแสง จึงทูลถามเหตุที่ทรงกรรแสง

   พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสว่า  “ เหตุที่ร้องให้มิใช่กลัวตาย แต่เสียดายที่ยังไม่ได้ยินคาถาอันมีค่า ๑๐๐ กหาปณะที่นัดไว้กับอานันทพราหมณ์ต้องการจะขออนุญาตกลับไปฟังคาถานั้นแล้วจะกลับมาให้ท่านกิน ”   แต่พระยาโปริสาทไม่เชื่อ พระองค์จึงต้องชี้แจงเหตุผลพร้อมทั้งตรัสคำสาบาน พระยาโปริสาทจึงอนุญาตให้พระเจ้าสุตโสมกลับไปฟังถาคาที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไว้

    เมื่อพระเจ้ามหาสุตโสมเสด็จกลับมาแล้วจึงได้ตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกพลโยธาฟัง แล้วเสด็จเข้าสู่พระนคร พอเสด็จถึงพระนครมีพระบรมราชโองการให้อานันทพราหมณ์เข้าเฝ้ากล่าวคาถาของ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงสดับ พอพระองค์ทรงสดับจบแล้วทรงเลื่อมใส ได้บูชาด้วยพระราชทรัพย์ ๔,๐๐๐ ตำลึง พร้อมกับยวดยานพาหนะแก่อานันทพราหมณ์ แล้วเสด็จเข้าเฝ้าพระชนกชนนี ๆ ทรงกริ่วว่า ไม่ควรบูชาด้วยพระราชทรัพย์มากปานนั้น จึงทูลว่าถ้าทรงเสียดายพระราชทรัพย์ก็ดีแล้ว เพราะกระหม่อมได้ปฏิญาณไว้ว่าจะกลับไปให้พระยาโปริสาทฆ่ากินเป็นอาหาร

   พระชนกชนนีทรงเสียพระตกทัย ทรงห้ามและทรงรับอาสาจะยกทัพไปจับพระยาโปริสาท แต่พระเจ้ามหาสุตโสมทรงเล่าเรื่องให้ทรงสดับโดยตลอดแล้วทูลลาพระชนกชนนีไปแต่ลำพัง ไม่ทรงยอมให้ใครติดตามไปด้วยเลย

   เช้าวันนั้นพระยาโปริสาทคิดว่า   “ ถึงพระเจ้ามหาโปริสาทสหายเก่าของเราจะมาหรือไม่มา ถึงเทวดาจะลงโทษเราอย่างไรก็ช่าง เราจะบูชาเทวดาให้เสร็จเสียที ”  

   ในทันใดนั้นเอง พระเจ้ามหาสุตโสมได้เเสด็จมาถึง พระยาโปริสาทดีใจยิ่งนัก จึงถามว่า   “ ท่านฟังคาถามาแล้วหรือ ”   พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสตอบว่า   “ เราได้ฟังมาแล้ว และได้บูชาพรหามณ์ ทั้งได้จัดการบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชิญท่านกินเราเถิด ”  

   พระยาโปริสาทเห็นพระเจ้าสุตโสมไม่ทรงหวาดกลัว จึงสำคัญว่าคงเป็นเพราะพระคาถานั้นเอง   “ พระเจ้ามหาสุตโสมจึงมิได้ประหวั่นหวาดกลัวต่อความตาย ที่อยู่ข้างหน้า เราจักต้องขอฟังคาถาบ้าง ”   แล้วจึงขอให้พระเจ้ามหาสุตโสมทรงแสดงให้ฟัง

   แต่พระเจ้ามหาสุตโสมตรัสปฏิเสธว่าจะไม่แสดงแก่คนประพฤติไม่ชอบธรรม แล้วทรงบอกให้พระยาโปริสาทกินพระองค์เสีย

   พระยาโปริสาทไม่กล้ากินพระเจ้ามหาสุตโสม เพราะกลัวแผ่นดินสูบ จึงทูลให้พระเจ้ามหาสุตโสมแสดงคาถาทั้ง ๔ ให้ฟัง และเมื่อได้ฟังแล้วเกิดความเลื่อมใส จึงขอถวายพร ๔ อย่าง ให้พระเจ้าสุตโสมทรงเลือกตามพระราชประสงค์

   พระเจ้ามหาสุตโสมทรงขอพร ๔ ข้อ คือ

    ๑. ขอให้อายุยืนได้ ๑๐๐ ปี โดยปราศจากโรคภัย
   ๒. ขออย่าได้กินพระเจ้าแผ่นดินในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เลย
   ๓. จงปล่อยพระเจ้าแผ่นดินเหล่านี้ กลับไปยังประเทศของพระองค์
   ๔. ขออย่ากินเนื้อมนุษย์อีกต่อไป

   พระยาโปริสาทยินดีถวายเฉพาะ ๓ ข้อข้างต้น ส่วนข้อที่ ๔ ไม่ยอมถวาย ให้ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น แต่พระเจ้ามหาสุตโสมไม่ทรงยินยอม แล้วทรงแสดงธรรมให้พระยาโปริสาทฟังอีก พระยาโปริสาทจึงยอมถวายพรข้อที่ ๔ และให้พระยาโปริสาทรักษาศีล ๕ ทั้งให้ปล่อยกษัตริย์ทั้งหลายกลับไป

   พระเจ้ามหาสุตโสมทรงพาพระยาโปริสาทแวะที่เมืองพาราณสีของพระยาโปริสาทก่อน แต่พอไปถึงเมือง นายประตูรีบปิดประตูเสียก่อนด้วยความกลัว พระเจ้ามหาสุตโสม จึงทรงชี้แจงให้ทราบว่า บัดนี้พระยาโปริสาทหรือพระเจ้าพรหมทัต ได้กลับเป็นคนดีแล้ว ขอได้เปิดประตูเถิด ในทันใดนั้นประตูเมืองก็ถูกเปิดออก พระเจ้ามหาสุตโสมพร้อมด้วยอำมาตย์ ๒ - ๓ คน จึงเสด็จเข้าไปทรงชี้แจงให้ชาวเมืองและพระราชโอรสของพระยาโปริสาททราบโดยตลอด แล้วอัญเชิญพระยาโปริสาท หรือพระเจ้าพรหมทัตขึ้นเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสีสืบต่อไป