บุคคลหว่านพืชชนิดใด เขาย่อมได้ทานผลของพืชชนิดนั้น

  แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์พืชชนิดเดียวกัน หากหว่านลงในที่ดินต่างที่กัน เมล็ดพันธุ์อันเดียวกันนั้นย่อมให้ผลที่ต่างกัน เมล็ดพันธุ์ในดินที่อุดมสมบูรณ์กว่าย่อมให้ผลรวดเร็วกว่าและให้มากมายกว่า เมล็ดพันธุ์ในดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์ย่อมให้ผลช้าและน้อย

  สมเด็จพระบรมศาสดาเคยตรัสบอกเอาไว้ว่า ภิกษุเป็นเนื้อนาบุญของโลก นั่นย่อมเท่ากับว่า ไม่มีที่แห่งใดในโลกนี้ ที่จะเหมาะสมในการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งบุญลงในที่นาแห่งนี้ การที่บุคคลกระกระทำบุญอันมีทานเป็นต้นลงในพระภิกษุทั้งหลาย ย่อมได้รับผลอันรวดเร็วและให้ผลอันไพบูลย์แก่บุคคลผู้นั้น พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้

  การให้ทานในบุคคลธรรมดาประมาณ๑๐๐ ยังมีผลน้อยกว่าทานที่ให้ในบุคคลผู้มีศีลคนเดียว

  การให้ทานในบุคคลผู้มีศีลประมาณ๑๐๐ ยังมีผลน้อยกว่าทานที่ให้แก่พระโสดาบันท่านเดียว

  ผลของทานที่ให้ในพระโสดาบันนั้น ก็มากมายสุดที่จะพรรณาได้หมดแล้ว จะกล่าวไปใยกับทานที่ได้ให้แก่พระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ย่อมให้ผลเป็นอเนกอนันต์และไพบูลย์ไปตลอดชั่วอายุกัปป์ทีเดียว ผลของทานนั้นย่อมทำให้บังเกิดโภคสมบัติ เมื่อมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ ก็ได้เกิดอยู่ในตระกูลที่มั่งคั่งพรั่งพร้อมไปด้วยโภคทรัพย์และบริวารรับใช้ ดังนั้นเขาจึงมีชีวิตที่สะดวกสบายไม่ต้องตรากตรำลำบากในการแสวงหาทรัพย์

  แต่ความ อนิจจัง เป็นสัจจะในโลกเสมอ แม้ว่าผลบุญที่ได้รับนั้นจะมีมากมายสักปานใดก็ตาม ก็ย่อมมีหมดไปในที่สุด มนุษย์ผู้ใดที่ฉลาด เมื่อได้รับโอกาสอันดีเช่นนี้แล้ว เขาย่อมสั่งสมบุญที่ยิ่งกว่า เลิศกว่า นั่นคือการพ้นไปจาก วัฏสงสาร เป็นการข้ามพ้นจากห้วงทุกข์และความเศร้าโศกทั้งมวล

  สมัยหนึ่งพระอานนท์เถระตามเสด็จพระบรมศาสดาขึ้นบนเขาแห่งหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงหยุดอยู่บนเชิงผาแห่งเขาลูกนั้น เบื้องหน้ามองออกไปเป็นห้วงทะเล มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ พระพุทธองค์ทรงตรัสถามพระอานนท์ว่า

  พ.ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นห้วงมหาสมุทรนั่นไหม

  อ.เห็น พระเจ้าข้า

  พ.เธอว่าหยดน้ำในมหาสมุทรจักมีมากมายสักเท่าใด

  อ.มีมากมายจนไม่อาจนับได้ พระเจ้าข้า

  พ.อานนท์ เธอรู้ไหมว่า ทำให้เรานึกถึงอะไร

  อ.หม่อมฉัน ไม่ทราบ พระเจ้าข้า

  พ.ทำให้เรานึกถึงน้ำตาของสัตว์โลก

  พ.ในห้วงวัฏสงสาร อันสัตว์โลกต้องเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้จักจบสิ้นนี้ มวลมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมต้องประสบกับความทุกข์และความเศร้าโศกมากบ้างน้อยบ้าง น้ำตาของสัตว์โลกที่หลั่งไหลออกมาด้วยความคับแค้นใจบ้าง ด้วยความรันทดโศกเศร้าบ้าง ด้วยต้องทนทรมานด้วยโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายบ้าง ด้วยต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปบ้าง หยดน้ำตาของสัตว์โลกเหล่านั้นนำมารวมกันเข้าแล้ว มีปริมาณมากมายกว่าน้ำในมหาสมุทรที่เห็นนี้เสียอีก..........

  โอ้อนิจจา มนุษย์โดยมากมักตกอยู่ในความลุ่มหลง ไม่ใช้โอกาสอันดีที่ได้เกิดมาสะดวกสบายกว่านี้ รีบขวนขวายให้พ้นจากวัฏฏะแห่งความโศกเศร้านี้ไปเสีย กลับใช้โอกาสและเวลาเกือบทั้งหมดไปกับการแสวงหาสิ่งบำรุงบำเรอต่างๆ สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงเริงรมย์ บำเรอกาย บำเรอใจ เสียเวลาของชีวิตไปกับการแย่งชิงประหัตประหารกันเอง ดังพระนางมาคัณฑิยา พระมเหสีของพระเจ้าอุเทนราชนี้

  ณ.บ้านพราหมณ์หลังหนึ่งภายนอกนครโกสัมพีนี้ ได้มีบุตรสาวอันเลอโฉมงดงามเป็นที่โจกขานไปทั่วทั้งใกล้และไกล ความงามของนางเป็นที่ตราตรึงของบุคคลที่ได้พบเห็นยิ่งนัก จนกระทั่งถ้าบ้านใดมีบุตรคลอดออกมาเป็นหญิง ก็จะอวยพรกันว่า ขอให้เจริญวัยขึ้นมีรูปงามดั่งบุตรีของบ้านพราหมณ์ดังกล่าว อันมีนามว่า มาคัณฑิยา

  ด้วยความงามของนาง จึงกลายเป็นที่ใฝ่ฝันของบุรุษทั้งหลาย มีตั้งแต่ชายหนุ่มจนกระทั่งชายมีอายุที่ตกพุ่มหม้าย ต่างพากันมาสู่ขอต่อบิดาของนางเพื่อเป็นภรรยา แต่บิดาของนางมิได้ตัดสินใจยกบุตรสาวของตนให้แก่ผู้ใด ด้วยว่ายังไม่เล็งเห็นผู้ใด ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมดังที่กำหนดไว้ในใจนั่นเอง

  วันหนึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จผ่านมาทางบ้านพราหมณ์นี้ พราหมณ์ผู้บิดาได้เห็นแล้วก็ชื่นชมในความสง่างามของพระพุทธองค์ รำพึงในใจว่า โอ้หนอ...ตั้งแต่เราเกิดมา ยังมิเคยเห็นผู้ใดที่มีความสง่างามดุจสมณะรูปนี้เลย ดูแล้วบุตรสาวของเราช่างเหมาะสมควรคู่กับสมณะท่านนี้เสียจริงๆ

  อย่ากระนั้นเลย เรายกนางให้แก่สมณะท่านนี้เถิด คิดดังนั้นแล้วจึงร้องขึ้นว่า

  “หยุดก่อนท่านสมณะ ท่านเหมาะสมกับบุตรสาวของเรายิ่งนัก เชิญท่านหยุดรอ อยู่ที่นี่ก่อนประเดี๋ยวหนึ่ง ข้าพเจ้าจักเข้าเรือนไปแต่งตัวบุตรสาวให้งดงามเสียก่อน แล้วจักมอบนางให้เป็นภรรยาแด่ท่าน ” ว่าแล้วพราหมณ์ก็เข้าเรือนไปบอกภรรยาให้รีบแต่งตัวบุตรสาวให้งดงามโดยไว ครั้นเสร็จแล้วก็พากันมาที่หน้าเรือน แต่หาได้พบพระพุทธองค์ไม่

  พราหมณ์จึงชักชวนให้ออกเดินตามหา แต่ภรรยาพราหมณ์ได้สังเกตเห็นรอยพระบาทที่พระพุทธองค์ทรงประทับทิ้งเอาไว้ จึงกล่าวแก่สามีว่า

  “ท่านอย่าตามหาให้เหนื่อยเปล่าเลย เพราะอันธรรมดารอยเท้าของบุคคลที่มีโทสะจะหนักส้น บุคคลที่มีโมหะจะจิกปลาย บุคคลที่มีราคะจะแอ่นกลาง แต่รอยเท้านี้มีความราบเรียบเสมอกันตลอด ตั้งแต่ต้นจรดปลาย ย่อมเป็นรอยเท้าของผู้ที่ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ท่านย่อมไม่มีความปรารถณาในบุตรสาวของเราดอก ”

  แต่พราหมณ์สามียังคงดื้อดึง ออกตาม หาจนมาพบพระบรมศาสดาที่โคนไม้แห่งหนึ่ง จึงเข้าไปถวายบังคมยืนยันจุดประสงค์เดิมที่จะมอบนาง มาคัณฑิยา ให้พระพุทธองค์เช่นเดิม พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ

   พ.ดูก่อนพราหมณ์ แม้ว่าบุตรสาวของท่านจะเลอโฉมงดงามก็จริง แต่เราใช่ว่าจะไม่เคยพบเห็นสตรีที่เลอโฉมก็หาไม่ สมัยที่เรายังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ เราห้อมล้อมด้วยเหล่านางสนมที่ล้วนแล้วแต่งดงามเลือกเฟ้นมาอย่างดี แต่เราก็เกิดความเบื่อหน่ายในที่สุด เพราะความงามนั้นไม่ยั่งยืน แท้จริงร่างกายอันมีอาภรณ์ปกปิดนี้ เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล อันมี น้ำมูก น้ำลาย น้ำปัสสาวะ อุจจาระ เป็นต้น หลั่งไหลออกจากทวารทั้ง ๙ อยู่เสมอๆ อย่าว่าแต่จะสัมผัสบุตรสาวท่านด้วยปลายนิ้วมือเราเลย แม้แต่ปลายเท้า เราก็ไม่อยากจะสัมผัส

  ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงธรรมเทศนา แสดงโทษของกาม อานิสงค์ของทาน ศีล ภาวนา และการดำริออกจากกาม เพื่อกล่อมเกลาจิตใจของพราหมณ์ทั้งสองให้อ่อนโยนลงแล้ว จึงแสดงธรรมอันละเอียดลุ่มลึกอันมี อริยสัจจ์สี่ เป็นต้น จนกระทั่งพราหมณ์ทั้งสองบังเกิดความแจ่มแจ้งได้บรรลุ อนาคามีผล และทูลขอบรรพชา ต่อมาก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ .....