อันธรรมดาของบุรุษมักเกิดความพอใจรักใคร่ด้วยสัมผัสทางตา การได้มองเห็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามย่อมสะดุดตาสะดุดใจ อาจจะกล่าวได้ว่าบรรดาความติดตรึงทั้งหลายของบุรุษมีด้วยสัมผัสทางตานี้แทบทั้งนั้น ซึ่งผิดกับสตรีเพศ ที่มักเกิดความพอใจรักใคร่ด้วยสัมผัสทางหู การได้ยินคำหวานๆหว่านล้อม ประเล้าประโลมแล้วมักใจอ่อนพ่ายแพ้แก่คารมของลิ้นชาย ดังนั้นสตรีจึงมักนิยมตกแต่งเรือนร่างให้งดงาม เพื่อให้เป็นที่ต้องตาแก่บุรุษ ส่วนบุรุษจึงฝึกฝนความชำนาญในการสรรหาคำหวานๆมาประเล้าประโลมสตรี

  ด้วยเหตุดังนี้ การที่สตรีที่มีรูปโฉมอันงดงามอย่างนางมาคัณฑิยา ได้มาฟังถ้อยคำของพระบรมศาสดาที่กล่าวติเตียนถึงเรือนร่างของนางว่าไม่สะอาด มีสิ่งสกปรกไหลออกจากทวารทั้ง ๙ อยู่เสมอ จึงเป็นถ้อยคำที่เสียดแทงใจยิ่งนัก ทำให้จิตใจของนางไม่อาจสงบลงได้ การฟังธรรมเทศนาครั้งนั้น หาได้บังเกิดผลอันใดในจิตใจของนางไม่ นอกจากความเคืองแค้นใจเท่านั้น

  เมื่อพราหมณ์ผู้เป็นบิดามารดาทั้งสองทูลขอบรรพชาแล้ว นางมาคัณฑิยาจึงได้มาอยู่กับน้าชาย ผู้เป็นน้าชายได้พิจารณาความงามของนางแล้วเห็นว่า มีค่าควรแก่กษัตริย์อย่างเดียว จึงได้พานางไปถวายแก่พระเจ้าอุเทนราช พระองค์พอพระทัยยิ่ง จึงตั้งให้นางเป็นพระมเหสี ส่วนน้าชายก็พลอยได้ดีเป็นปุโรหิต

  เมื่อนางมาคัณฑิยาได้เป็นใหญ่ในกรุงโกสัมพีนี้แล้ว กาลเมื่อพระบรมศาสดาได้เสด็จมาสู่นครแห่งนี้ พระนางจึงได้กระทำบาปกรรมประทุษร้ายด้วยวาจา ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น

  เพลิงเกิดขึ้นที่ใด ย่อมเผาผลาญทำลายที่นั้นให้วอดวายฉันใด ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใด ย่อมทำลายคุณงามความดีของผู้นั้นให้วอดวายไปฉันนั้น การประทุษร้ายกันในโลกนี้ มักมีสาเหตุมาจากเพลิงทั้ง ๓ นี้เสมอ

  บุคคลที่ถูกคนพาลประทุษร้ายแล้วไม่ประทุษร้ายตอบ นับเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก ดังพระนางสามาวดี พระมเหสีอีกพระองค์ของพระเจ้าอุเทนราชนี้

  นางสามาวดีเป็นบุตรีของ ภัททิยะเศรษฐี ครั้งนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองจนต้องละทิ้งบ้านเรือน เดินทางมาหาท่านโฆษิกะเศรษฐีที่เป็นสหายอยู่ที่นครโกสัมพีแห่งนี้ เมื่อเดินทางมาถึงนครโกสัมพีได้ไม่ทันไร บิดามารดาของนางก็สิ้นชีวิตลงติดๆกัน นางจึงได้ไปอยู่กับท่านโฆษิกะเศรษฐีโดยลำพัง ด้วยคุณงามความดีของนางทำให้ โฆษิกะเศรษฐีรักและเอ็นดูยิ่งนัก จนให้นางเรียกว่าพ่อ และรับนางเป็นบุตรบุญธรรม นางจึงอยู่ในเรือนท่านโฆษิกะเศรษฐีอย่างมีความสุขตลอดมา จนกระนั้นวันหนึ่ง มีงานนักขัตฤกษ์ในนครโกสัมพี นางได้ขออนุญาตบิดาออกไปดูงาน เมื่อบิดาอนุญาตแล้ว นางพร้อมด้วยสาวใช้บริวารก็ออกไปเที่ยวชมงานอย่างสำราญใจ

  บนปราสาทของเจ้าผู้ครองนครโกสัมพีนี้ พระเจ้าอุเทนราชกำลังทอดพระเนตรผ่านบัญชรลงมา ก็บังเอิญสายตามาสัมผัสกับหญิงงามนางหนึ่งที่กำลังเดินชมงานพร้อมด้วยสาวใช้จำนวนมาก พระองค์คิดว่าคงจะเป็นนักฟ้อนรำที่มาแสดงในงานนักขัตฤกษ์ จึงถามคนใกล้ชิดว่า

   " หญิงที่รูปงามคนนั้นเป็นนักฟ้อนของคณะใดรู้มั๊ย "

   " ไม่ใช่นักฟ้อนพะยะค่ะ นางเป็นบุตรสาวของโฆษิกะเศรษฐี พะยะค่ะ "

  พระจันทร์คล้อยต่ำลงแล้ว การแสดงทั้งหลายยุติลงชั่วคราว นักแสดงและผู้เที่ยวชมงานต่างพากันกลับเรือนและที่พัก เพื่อพักผ่อนหลับนอนตามธรรมดาของมนุษย์ ความเหน็ดเหนื่อยทำให้การหลับเป็นไปอย่างง่ายดาย ไม่นานนักนครโกสัมพีก็เงียบเชียบเพราะผู้คนต่างหลับใหลอยู่อย่างเป็นสุข แต่ว่าดวงตาทั้งคู่ของพระเจ้าอุเทนราชยังคงลืมโพลงอยู่ พระองค์มิอาจจะข่มให้หลับลงได้ ภาพบุตรีที่แสนงดงามของโฆษิกะเศรษฐียังคงติดตรึงตาตรึงใจอยู่ตลอดเวลา ราตรีนี้ช่างเป็นราตรีที่ทรมานดวงพระหทัยแก่พระเจ้าอุเทนราชยิ่งนัก

  อันธรรมดาบุคคลที่ไม่สามารถจะนอนหลับได้มี ๔ อย่างคือ

  ๑. บุรุษที่มีจิตปฏิพัทธ์ในสตรี

  ๒. สตรีที่มีจิตปฏิพัทธ์ในบุรุษ

  ๓. ผู้ที่จำเป็นต้องทำงานให้เสร็จในวันนั้น

  ๔. พวกที่เป็นโจรคอยลักทรัพย์ในยามกลางคืน

  สองข้อหลังนี้เมื่อผู้ที่ทำงานได้ทำเสร็จแล้วหรือโจรที่ลักทรัพย์ได้แล้ว เขาย่อมล้มตัวลง นอนหลับได้อย่างเป็นสุข แต่ผู้ที่ตกอยู่ในสองข้อแรกนั้นสิ ไม่อาจจะหลับตาลงได้เลย

  พระเจ้าอุเทนราชคือผู้ที่ตกอยู่ในข้อแรก พระองค์ถูกบ่วงแห่งตัณหาและตาข่ายแห่งราคะอันพญามารถักทอไว้อย่างเหนียวแน่นรัดจนยากยิ่งที่ผู้ใดจะดิ้นหลุดหนีรอดออกไปได้นั่นเอง

  รุ่งเช้าพระราชาแห่งนครโกสัมพีจึงสั่งให้ราชบุรุษถือคำสั่งไปยังเรือนของโฆษิกะเศรษฐี สั่งให้นำบุตรสาวมาถวาย แต่ด้วยความรักและเอ็นดูที่เศรษฐีมีต่อนางสามาวดีจึงไม่ยอมทำตาม ได้ขัดขืนคำสั่งของพระเจ้าอุเทนราชอยู่ถึง ๓ หน จนพระเจ้าอุเทนทรงพิโรธ สั่งให้ราชบุรุษไปปิดเรือนเศรษฐีและไม่ให้เศรษฐีเข้าเบ้าน เมื่อนางสามาวดีทราบความจริง จึงสมัครใจมาเป็นหเหสีของพระเจ้าอุเทนราช และเพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของบิดาบุญธรรมด้วยนั่นเอง

  พระนางสามาวดีนับเป็นสตรีที่ทีความงดงามทั้งร่างกายและจิตใจ พระนางมีความเลื่อมใสในพระบรมศาสดาอย่างมาก และพระนางยังได้บรรลุโสดาปัตติผลโดยความน่าพิศวงเป็นอย่างมาก กล่าวคือ นางให้สาวใช้ไปซื้อดอกไม้เพื่อมาประดับห้อง วันนั้นนายมาลาขายดอกไม้ได้อาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยเหล่าพระสงฆ์มาฉันภัตตาหารที่บ้าน สาวใช้ของนางได้นั่งรอดอกไม้อยู่ในบ้านนายมาลา ขณะเมื่อพระบรมศาสดาแสดงธรรมเทศนาอยู่นั้น นางได้ส่งจิตไปตามกระแสแห่งธรรมธารานั้น สังโยชน์เบื้องแรก ๓ ข้อก็ได้ถูกทำลายลง ดั่งกำแพงที่ขวางกั้นได้ถูกเจาะทะลุเป็นรูใหญ่ แสงสว่างอันเฉิดฉายจากอีกด้านหนึ่งของกำแพงจึงสาดส่องรอดรูที่ทะลุกำแพงออกมา ดวงตาเห็นแสงธรรมอันสว่างไสวได้บังเกิดขึ้น ความละอายใจต่อบาปแผ่ซ่านไปทุกความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และบัดนี้นางได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว

  ปกตินางได้เงินมาซื้อดอกไม้วันละ ๘ กหาปณะ แต่ว่าจะซื้อจริงเพียง ๔ กหาปณะ ส่วนที่เหลืออีก ๔ กหาปณะ นางจะยักยอกไว้ใช้ส่วนตัว แต่วันนี้เป็นวันเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ทุกอย่างในจิตใจของนางได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว การยักยอกเงินไว้ใช้ส่วนตัวจะไม่มีในจิตใจอีกต่อไปแล้ว วันนี้นางจึงซื้อดอกไม้ด้วยเงินทั้งหมด ๘ กหาปณะ จึงได้ดอกไม้มาเท่าตัว

  เมื่อกลับมาถึง พระนางสามาวดีสังเกตเห็นดอกไม้ในวันนี้มากมายผิดปกติ จึงสอบถามความเป็นจริงจากสาวใช้ สาวใช้ซึ่งบัดนี้ได้ความเป็นโสดาบันแล้ว จึงไม่มีการกล่าวคำเท็จอีกต่อไป นางได้เล่าเรื่องราวแต่หนหลังที่ได้ยักยอกเงินซื้อดอกไม้วันละ ๔ กหาปณะ จนกระทั่งได้ฟังธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาให้พระนางสามาวดีฟังทั้งหมด และยอมรับการลงทัณฑ์โดยดุษฎียภาพ แต่พระนางสามาวดีกลับมีความสนพระทัยในธรรมเทศนาที่ยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจคนได้ จึงให้สาวใช้นั่งในที่นั่งของพระนาง แล้วพระนางลงนั่งในที่ต่ำลง ทรงโปรดให้สาวใช้แสดงธรรมเทศนาที่ได้ฟังมาในวันนี้ พอฟังจบลงแล้วพระนางพร้อมด้วยสาวใช้คนอื่นๆก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลพร้อมกันทุกคน

  ด้วยเหตุที่พระนางสามาวดีได้เป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนราชอีกพระองค์หนึ่ง จึงเป็นที่เกลียดชังของพระนางมาคัณฑิยาที่เป็นพระมเหสีด้วยกัน อีกทั้งพระนางยังทรงเลื่อมใสในพระบรมศาสดา ก็ยิ่งเพิ่มความชิงชังเป็นทวีคูณแก่พระนางมาคัณฑิยายิ่งขึ้น พระนางสามาวดีจึงถูกพระนางมาคัณฑิยากลั่นแกล้งด้วยอุบายต่างๆอยู่ตลอดเวลา

  มีอยู่คราวหนึ่งนางได้วางแผนกับปุโรหิตที่เป็นน้า นำไก่มาถวายพระเจ้าอุเทนราช จำนวน ๘ ตัว พระเจ้าอุเทนราชตรัสกล่าวขึ้น

  ไก่นี้ตัวอ้วนน่ารับประทาน จะให้ใครนำไปปรุงดีหนอ

  พระนางสามาวดีเพคะ พระนางมีฝีมือในการปรุงแกงไก่เป็นเลิศนักหนา

  พระนางมาคัณฑิยาอุบายกราบทูล พระเจ้าอุเทนราชจึงสั่งให้ราชบุรุษนำไก่เหล่านั้นไปให้พระนางสามาวดีปรุงมาถวาย เมื่อราชบุรุษนำไก่มายังที่ประทับของพระนางสามาวดีและแจ้งพระราชประสงค์ของพระเจ้าอุเทนราชแล้ว เนื่องจากไก่นั้นยังเป็นไก่ที่มีชีวิต พระนางสามาวดีบัดนี้ได้เป็นโสดาบันแล้ว ไฉนเลยจะล่วงปาณาติบาตเช่นนั้นได้ พระนางจึงสั่งให้ราชบุรุษนำไก่กลับไปถวายคืน

  พระนางมาคัณฑิยาจึงรีบกราบทูลต่อพระเจ้าอุเทนราชว่า

  ดูสิเพคะ พระนางสามาวดีมิได้มีความเคารพยำเกรงต่อพระองค์เลย พระนางเคารพพระบรมศาสดายิ่งกว่า หากไม่ทรงเชื่อ ลองส่งไก่กลับไปใหม่แล้วรับสั่งให้ปรุงไปถวายแก่พระบรมศาสดา ดูสิเพคะ

  เมื่อพระเจ้าอุเทนราชทำตาม ระหว่างทางที่นำไก่กลับไปยังที่ประทับของพระนางสามาวดี ปุโรหิตที่เป็นน้าก็แอบฆ่าไก่ให้ตายเสียทั้งหมดก่อน ด้วยครั้งนี้ไก่ทั้งหมดนั้นไม่มีชีวิตแล้ว พระนางสามาวดีจึงยอมรับมาและปรุงไปถวายแก่พระบรมศาสดา

  ดังนั้นพระนางมาคัณฑิยาจึงทูลว่า

  พระองค์เห็นหรือไม่ว่า พระนางสามาวดีไม่ยอมปรุงแกงไก่มาถวายพระองค์ แต่กลับยอมปรุงไปถวายพระบรมศาสดา พระนางไม่เคารพยำเกรงพระองค์เลย

  แต่พระเจ้าอุเทนราชก็ยังมิทรงเชื่อคำของพระนางมาคัณฑิยานัก พระนางมาคัณฑิยาจึงวางอุบายกลั่นแกล้งอีกหลายครั้งหลายหน แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ จึงตกลงวางแผนกับปุโรหิตทำการวางเพลิงเผาพระตำหนักของพระนางสามาวดีให้สิ้น

  เปลวเพลิงได้ลุกโชนขึ้นที่พระตำหนักอย่างรวดเร็ว เหมือนไฟที่ต้องเชื้อน้ำมันอย่างรุนแรงจนยากแก่การดับได้ พระอานนท์เห็นเหคุการณ์ครั้งนั้นจึงเข้าไปกราบทูลพระบรมศาสดา

  อ.บัดนี้เพลิงได้เผาผลาญพระตำหนักของพระนางสามาวดีจนหมดสิ้นแล้ว พระเจ้าข้า

  พ.ดูก่อนอานนท์ วันนี้เป็นวันที่ ๗ ที่มีคนพวกหนึ่งคอยเดินตามแล้วด่าทอเราใช่ไหม

  อ.วันนี้เป็นวันที่ ๗ แล้วพระเจ้าข้า

  พ.อานนท์ เธอจงดูต่อไป พรุ่งนี้จักไม่มีคนเหล่านั้นเดินตามเราอีกแล้ว ..........

  ลำดับนั้นพระเจ้าอุเทนราชกำลังสำราญพระราชหฤทัยอยู่ในอุทยาน ราชบุรุษรีบมาทูลแจ้งถึงเรื่องราวที่เพลิงโหมไหม้พระตำหนัก พระองค์รีบเสด็จกลับโดยทันทีแต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ภาพของซากตำหนักและเถ้าถ่านปรากฏอยู่หน้าพระพักตร์ เป็นที่สลดพระทัยยิ่งนัก พระองค์สงสัยว่าจักต้องเป็นแผนการของพระนางมาคัณฑิยา อย่างแน่นอน พระองค์จึงเสด็จไปยังตำหนักของพระนางมาคัณฑิยาทันที พระนางมาคัณฑิยาแสดงความเศร้าโศกกลบเกลื่อนความลิงโลดใจของตนเองอย่างแนบเนียน จนไม่สามารถที่จักพิสูจน์ความจริงได้ พระเจ้าอุเทนจึงแกล้งตรัสขึ้นว่า

  ใครหนอช่างทำการอันเป็นที่ถูกใจเรายิ่งนัก สามาวดีมเหสีของเรานี้มิได้เคารพยำเกรงต่อเรา เราขัดเคืองนางมานานนัก วันนี้มีผู้มากำจัดนางเสียได้ ช่างรู้ใจเราเหลือเกิน อยากจะตกรางวัลอย่างงามให้แก่ผู้นั้นเสียนี่กระไร

  พระนางมาคัณฑิยาได้ฟังมิทันเฉลียวใจในอุบายของพระเจ้าอุเทน จึงเฉลยความจริงออกมาทั้งหมดว่า พระนางคบคิดกับปุโรหิตลอบวางเพลิงพระตำหนักเอง พระเจ้าอุเทนราชจึงตรัสต่อไปว่า

  ดีแล้ว เราจะให้รางวัลแก่เธอและบรรดาญาติของเธอด้วย พรุ่งนี้เช้าเธอจงพาปุโรหิตและญาติของเธอทั้งหมดมาเข้าเฝ้าเถิด

  พระนางมาคัณฑิยาจึงประกาศไปยังญาติของตนทุกคน รวมทั้งบุคคลที่ไม่ใช่ญาติแต่ได้เคยรับการว่าจ้างให้เดินตามพระบรมศาสดาเหล่านั้นด้วย รุ่งเช้าวันต่อมา บุคคลดังกล่าวเหล่านั้นก็มารวมกันในพระราชวัง พระเจ้าอุเทนได้พระราชทานรางวัลแก่ทุกๆคนตามที่ตรัสไว้ จากนั้นสั่งให้ราชบุรุษคุมตัวคนเหล่านั้นออกไปนอกกำแพงพระนคร ให้ขุดหลุมใหญ่แล้วโยนคนเหล่านั้นลงไป เอาฟางและน้ำมันราดแล้วจุดเพลิงเผาคนเหล่านั้นเสียทั้งสิ้น ส่วนพระนางมาคัณฑิยาให้ทรมานด้วยการต้มน้ำมันร้อนๆเดือดๆกรอกใส่ปากจนกว่าจักสิ้นใจ นี่เป็นผลกรรมที่นางได้กล่าวร้ายต่อพระพุทธองค์นั่นเอง