ณ.ที่ป่าประดู่ลาย ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำ บอกถึงเวลายามบ่ายมากแล้ว พระเจ้าอุเทนราชได้สนทนากับพระอานนท์จนเป็นที่พอพระทัย ก่อนจะเสด็จกลับก็ทูลอาราธนาพระอานนท์ให้รับภัตตาหารในพระราชวังวันพรุ่งนี้ แล้วขบวนพยุหยาตร์ก็บ่ายหน้ากลับเข้าสู่พระนคร
เย็นวันนั้น พระอานนท์ได้ดำเนินเข้าสู่พระนครและมาพำนักที่ โฆษิตาราม อารามที่โฆษิกะเศรษฐีสร้างถวายสมัยครั้งที่พระบรมศาสดาเสด็จมาโปรดที่นครแห่งนี้ ครั้งนั้นพระนางสามาวดีเคยถวายผ้าอย่างดีมีราคาประมาณห้าร้อยเป็นจำนวน ๕๐๐ ผืนแก่พระอานนท์ พระเจ้าอุเทนราชทรงทราบเรื่อง จึงเสด็จมาทูลถามพระอานนท์
อุ.ข้าแต่พระเถระ ท่านรับผ้าเหล่านั้นทั้งหมดจริงหรือ
อา.เป็นความจริง มหาบพิตร
อุ.ท่านเอาผ้ามากมายเหล่านั้นไปทำอะไร
อา.อาตมารับแล้วได้นำไปแจกจ่ายแก่ภิกษุอื่นๆ
อุ.แล้วผ้าเก่าท่านเอาไปทำอะไร
อา.อาตมานำผ้าเก่ามาปูที่นอน
อุ.แล้วผ้าปูที่นอนเก่า ท่านเอาไปทำอะไร
อา.อาตมานำไปเป็นผ้าเช็ดเท้า
อุ.แล้วผ้าเช็ดเท้าเก่า ท่านเอาไปทำอะไร
อา.อาตมานำไปผสมกับดินเหนียว นำมาฉาบหลังคานั่นแหละมหาบพิตร
พระเจ้าอุเทนได้ฟังแล้ว ดำริว่าผ้าเหล่านั้นมิได้เสียประโยชน์เลยแม้แต่น้อยนิด พระองค์เกิดความเลื่อมใส จึงถวายผ้าอย่างนั้นอีก ๕๐๐ ผืนแก่พระอานนท์
ราตรีได้หมุนเวียนมาอีกครั้ง ท้องฟ้าเบื้องบนอารามก็ปรากฏดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ พระจันทร์เริ่มปรากฏจากทางด้านเหนือ พระจันทร์ดวงนี้ก็คือพระจันทร์ดวงเดียวกันเช่นทุกครั้ง เป็นดวงเดิมเมื่อคราวพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ พระจันทร์ดวงนี้ก็ได้รับรู้เหตุการณ์ในคืนวันนั้น และก็เป็นดวงเดียวกันอีกนั่นแหละในวันที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานที่กุสินารา พระจันทร์ดวงนี้ก็ได้รับรู้เช่นเดียวกัน คืนนี้...ก็เป็นพระจันทร์ดวงเดิม ดูแล้วอายุขัยของพระจันทร์ช่างยาวนานกับการได้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนพื้นโลกนี้
มนุษย์เกิดและตายหลายร้อยหลายพันชั่วคน พระจันทร์ก็ยังคงเป็นพระจันทร์ดวงเดิมนี้อยู่นั่นเอง ดวงดาวบนท้องฟ้าที่ทอแสงระยิบระยับครั้งหนึ่งก็ช่างเหมือนกับการเกิดดับของมนุษย์ชั่วชีวิตหนึ่ง ดวงดาวทอแสงระยิบระยับนับครั้งไม่ถ้วน ประดุจดังมนุษย์ที่ต้องเกิดดับนับครั้งไม่ถ้วน การทอแสงระยิบระยับของดวงดาวช่างรวดเร็วมากเมื่อเทียบกับการเกิดดับของดวงจันทร์ เปรียบดังเวลาชีวิตของมนุษย์นั้นมีสั้นเพียงน้อยนิด ดังนี้..จึงไม่ควรเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่มีสาระ ควรจะรีบขวนขวายในสิ่งอันเป็นสาระ เพื่อให้ชีวิตพ้นไปจากความเกิดดับนี้อย่างถาวร ให้สมดังเจตนารมณ์ของพระพุทธองค์ที่ทรงเสียสละเวลาและอดทนสั่งสอน เพื่อให้สัตว์โลกทั้งมวลข้ามพ้นไปจากวัฏฏะแห่งการเกิดดับนี้...จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ในปฐมยามแห่งราตรี ที่มีพระจันทร์ดวงเดียวกันนี้ส่องสว่างแจ่มใสอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า เหตุการณ์ในคืนนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาได้เข้าสู่ไสยาวสาน พระพุทธองค์ทรงดำรงพระสติมั่นตั้งใจจักนอนเป็นครั้งสุดท้ายโดยไม่ลุกขึ้นอีกแล้ว ปริพาชกผู้หนึ่งผู้มีนามว่า สุภัททะ ได้แหวกฝูงชนตรงเข้ามายังที่ประทับของพระบรมศาสดา แต่เมื่อเข้ามาถึงที่ๆพระอานนท์นั่งอยู่ พระอานนท์จึงได้ยับยั้งไว้ไม่ให้รบกวนพระพุทธองค์
อา.ยับยั้งอยู่ก่อนท่านปริพาชก พระพุทธองค์กำลังพักผ่อนเป็นครั้งสุดท้ายและจักเข้าสู่มหาปรินิพพานในราตรีนี้อย่างแน่นอนแล้ว ท่านอย่าได้รบกวนพระพุทธองค์อีกเลย
สุ.ข้าแต่พระเถระ ข้าพเจ้าเดินทางมาแต่ไกลเพื่อจะได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ขออย่าให้ข้าพเจ้าเสียความตั้งใจเลย ได้โปรดเถิด...
มหาชนในที่นั้นต่างพากันกล่าวห้ามสุภัททะปริพาชกด้วยเหตุผลต่างๆนานา จนเสียงอื้ออึงได้ยินถึงพระพุทธองค์ แม้นว่าพระพุทธองค์จักยังทรงหลับพระเนตรอยู่ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ จึงตรัสแก่พระอานนท์ว่าให้นำสุภัททะ เข้ามาเฝ้า
สุภัททะปริพาชกได้ถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้ว จึงถามปัญหาข้องใจที่ต้องเดินทางมาอย่างยิ่งยวดนี้ว่า
สุ.ข้าแต่พระบรมศาสดา ในบรรดาศาสดาทั้ง ๖ อันมี บูรณะกัสสปะ สัญชัยเวระทบุตร นิครนนาฏบุตรเป็นต้น เหล่านี้เป็นอรหันต์หมดจรดจากกิเลสจริงหรือไม่ประการใด พระเจ้าข้า
พ.เรื่องเท่านี้เองหรือสุภัททะ ที่เธอเดินทางมาเพื่อถามปัญหาด้วยความร้อนรนอย่างยิ่งนี้
สุ.เรื่องเท่านี้แหละพระเจ้าข้า
พระอานนท์รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ที่สุภัททะทูลถามเรื่องที่ไร้สาระอย่างนั้น และกำลังจะลุกไปเชิญให้สุภัททะออกจากที่นั้น เพื่อไม่ปรารถณาจะให้รบกวนพระบรมศาสดาอีก แต่พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า
พ.ดูก่อนสุภัททะ อย่าถามเรื่องไร้สาระเหล่านี้เลย เวลาของเราและของเธอเหลือน้อยเต็มทีแล้ว เธอจงถามเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองเถิด
ในปฐมยามแห่งราตรี ที่มีพระจันทร์ดวงเดียวกันนี้ส่องสว่างแจ่มใสอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า เหตุการณ์ในคืนนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาได้เข้าสู่ไสยาวสาน พระพุทธองค์ทรงดำรงพระสติมั่นตั้งใจจักนอนเป็นครั้งสุดท้ายโดยไม่ลุกขึ้นอีกแล้ว ปริพาชกผู้หนึ่งผู้มีนามว่า สุภัททะ ได้แหวกฝูงชนตรงเข้ามายังที่ประทับของพระบรมศาสดา แต่เมื่อเข้ามาถึงที่ๆพระอานนท์นั่งอยู่ พระอานนท์จึงได้ยับยั้งไว้ไม่ให้รบกวนพระพุทธองค์
อา.ยับยั้งอยู่ก่อนท่านปริพาชก พระพุทธองค์กำลังพักผ่อนเป็นครั้งสุดท้ายและจักเข้าสู่มหาปรินิพพานในราตรีนี้อย่างแน่นอนแล้ว ท่านอย่าได้รบกวนพระพุทธองค์อีกเลย
สุ.ข้าแต่พระเถระ ข้าพเจ้าเดินทางมาแต่ไกลเพื่อจะได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ขออย่าให้ข้าพเจ้าเสียความตั้งใจเลย ได้โปรดเถิด...
มหาชนในที่นั้นต่างพากันกล่าวห้ามสุภัททะปริพาชกด้วยเหตุผลต่างๆนานา จนเสียงอื้ออึงได้ยินถึงพระพุทธองค์ แม้นว่าพระพุทธองค์จักยังทรงหลับพระเนตรอยู่ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ จึงตรัสแก่พระอานนท์ว่าให้นำสุภัททะ เข้ามาเฝ้า
สุภัททะปริพาชกได้ถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้ว จึงถามปัญหาข้องใจที่ต้องเดินทางมาอย่างยิ่งยวดนี้ว่า
สุ.ข้าแต่พระบรมศาสดา ในบรรดาศาสดาทั้ง ๖ อันมี บูรณะกัสสปะ สัญชัยเวระทบุตร นิครนนาฏบุตรเป็นต้น เหล่านี้เป็นอรหันต์หมดจรดจากกิเลสจริงหรือไม่ประการใด พระเจ้าข้า
พ.เรื่องเท่านี้เองหรือสุภัททะ ที่เธอเดินทางมาเพื่อถามปัญหาด้วยความร้อนรนอย่างยิ่งนี้
สุ.เรื่องเท่านี้แหละพระเจ้าข้า
พระอานนท์รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ที่สุภัททะทูลถามเรื่องที่ไร้สาระอย่างนั้น และกำลังจะลุกไปเชิญให้สุภัททะออกจากที่นั้น เพื่อไม่ปรารถณาจะให้รบกวนพระบรมศาสดาอีก แต่พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า
พ.ดูก่อนสุภัททะ อย่าถามเรื่องไร้สาระเหล่านี้เลย เวลาของเราและของเธอเหลือน้อยเต็มทีแล้ว เธอจงถามเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองเถิด
สุ.ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามปัญหา ๓ ข้อ คือ รอยเท้าในอากาศมีอยู่หรือไม่ สมณะภายนอกพระศาสนาของพระองค์มีอยู่หรือไม่ สังขารที่เที่ยงแท้ในโลกนี้มีอยู่หรือไม่
พ.ดูก่อนสุภัททะ รอยเท้าในอากาศไม่มีอยู่ ศาสดาใดไม่มีมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ศาสดานั้นย่อมไม่มีสมณะที่มีความสงบถึงที่สุด สังขารที่เที่ยงแท้ในโลกนี้ไม่มีเลย ดูก่อนสุภัททะปัญหาของเธอมีเท่านี้แล้วหรือ
สุภัททะนั่งสงบนิ่งก้มหน้าอยู่ พระพุทธองค์ผู้ทรงมีพระวรญาณล่วงรู้อุปนิสัยของสุภัททะจึงกล่าวว่า
พ.สุภัททะ เธอจงฟังเรา มรรคอันมีองค์ ๘ เป็นทางเดินอันประเสริฐ สามารถนำพาบุคคลที่ดำเนินตามทางสายนี้ไปถึงที่สุดแห่งความสงบอันเป็นอมตะ ตราบใดที่ภิกษุหรือบุคคลยังคงเป็นอยู่โดยชอบ ปฏิบัติในมรรคอันมีองค์ ๘ นี้อยู่ ตราบนั้นโลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์
สุภัททะบังเกิดความเลื่อมใสในคำสอนที่ชัดเจนและตรงกับใจยิ่งนัก จึงได้ทูลขอบรรพชา พระพุทธองค์ทรงเห็นความตั้งใจจริงของสุภัททะ จึงทรงอนุญาตและให้พระอานนท์นำสุภัททะไปปลงผมและหนวดออกสำเร็จเป็นสามเณร พระอานนท์ทรงสอนให้ตั้งอยู่ในศีลพร้อมทั้งสรณะคม และสอนข้อกรรมฐานให้แล้วจึงพาสามเณร สุภัททะเข้าไปเฝ้า พระบรมศาสดาทรงให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ แล้วตรัสบอกข้อกรรมฐานอีกครั้งหนึ่ง สุภัททะภิกษุใหม่ตั้งใจอย่างแน่วแน่วว่าจะเพียรพยายามปฏิบัติกรรมฐานให้บรรลุพระอรหันต์ให้ได้ในคืนนี้ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงปรินิพพาน ดังนั้นจึงหลีกออกไปหาที่สงัดแห่งหนึ่งในป่าสาละนั้น ตั้งใจเดินจงกรมด้วยความวิริยะอย่างยิ่งยวด
ดวงรัชนีกรเริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆ บอกถึงกาลว่าเวลาแห่งปัจฉิมยามใกล้จะหมดลงแล้ว สุภัททะซึ่งบัดนี้ร่างกายปกปิดด้วยผ้ากาสาวพัส กำลังเดินจงกรมกลับไปกลับมาพิจารณาข้อธรรมเพื่อประหารกิเลสอย่างไม่ย่อท้อ และไม่ยอมหยุดพักแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดก็ตาม แสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่ส่องสว่างไสวเห็นทางเดินจงกรมอย่างชัดเจนเริ่มพร่าสลัวและดับมืดลง สุภัททะแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เมฆก้อนใหญ่เคลื่อนมาบดบังพระจันทร์ไว้จนมิด แต่ไม่นานเมฆก้อนนั้นก็เคลื่อนตัวออกไป แสงโสมกลับมาส่องสว่างไสวตามเดิม
ทันใดนั้น ดวงปัญญาก็โผล่ขึ้นมาในดวงใจของสุภัททะ เขานำดวงใจไปเปรียบเทียบกับดวงจันทร์ จิตนี้แท้จริงมีธรรมชาติที่ใสสว่างมีรัศมีเหมือนจันทร์เจ้า แต่เพราะจิตไปอาศัยกิเลสที่จรมาเป็นครั้งคราว จิตจึงเศร้าหมอง เหมือนก้อนเมฆที่จรมาบดบังจันทราให้อับแสง และแล้ว วิปัสสนาปัญญาก็โผล่ขึ้น ชำแรกบาปธรรมทั้งมวล ขุดรากเหง้าแห่งอาสวะกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในกมลสันดาน ทำลาย อวิชชาและโมหะ ดุจดังตัดตาข่ายที่ห่อหุ้มออกด้วยศาตราคือ วิปัสสนาปัญญา หมดจรดจากกิเลสทั้งมวล สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในปลายปัจฉิมยามแห่งราตรีนั้นเอง
สุภัททะ ปัจฉิม อรหันตสาวก ได้ออกจากที่จงกรม มากราบแทบพระยุคลบาทพระบรมศาสดาแล้วนั่งนิ่งอยู่ พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระวรญาณแห่งการสำเร็จ อรหัตผลของสุภัททะ จึงกล่าวสรรเสริญ
จากนั้นทรงประทานปัจฉิมโอวาท จบแล้วก็มีได้ตรัสอะไรอีกเลย พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่มหาปรินิพพาน อันมีพระจันทร์ดวงนี้เป็นสักขีพยานในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย
|