พระศรีอาริยเมตไตยเสด็จ

      ลำดับนั้นปรากฏขบวนของเทพบุตรองค์หนึ่งนำเหล่าเทพบริวารอันมีจำนวนมากมายมโหฬารนับประมาณมิได้ลอยเลื่อนเคลื่อนมาจากขอบฟ้าอันไกล รัศมีแห่งเขาเหล่านั้นไซร้สว่างไสวอำไพยิ่งกว่าเหล่าเทพยดาที่มาขบวนก่อน ๆ หน้า ค่อย ๆ ลอยเข้ามายังลานพระเจดีย์จุฬามณี ขบวนที่นำหน้ามานี้เหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลายก็ล้วนทรงพัสตราอาภรณ์แลเครื่องประดับก็ล้วนขาวบริสุทธิ์รัศมีแห่งกายของเขาเหล่านั้นก็เลื่อมประภัสร

     ขบวนทางด้านขวานั้นก็ทรงพัสตราอาภรณ์เครื่องประดับแลรัศมีกายเป็นสีเหลืองทองผ่องอำไพสว่างไสวเหมือนดังสุวรรณอันต้องแสงแห่งพระสุริยฉาย ขบวนทางด้านซ้ายก็ล้วนทรงพัสตราอาภรณ์แลเครื่องประดับตลอดจนรัศมีกายเป็นสีแดงระเรื่อดุจทับทิมเนื้อดี ขบวนทางด้านหลังนั้นมีสีสรรนานาอันมีสีม่วง สีเขียว สีฟ้า สีแสด เรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นลำดับไม่ระคนปนกัน รัศมีแห่งเทพยดาเหล่านั้นส่องสว่างเรืองรุ่งโอฬารตระการตาเป็นยิ่งนัก

     อนึ่งเทพบุตรที่เป็นหัวหน้านั้นก็รูปร่างลออตาหาผู้ใดในสามโลกธาตรีมิมีเทียบเทียมได้ รัศมีแห่งวรกายของพระองค์นั้นสว่างไสวไพโรจน์โชติช่วงเป็นยิ่งนักดังจักกลบรัศมีแห่งเทพยดาเทพนารีทั้งมวล ให้อับแสง แลสว่างไปทั่วทั้งพิภพดาวดึงสา เหล่าเทพยดาที่มาก่อนๆหน้าพากันอับรัศมีมิอาจจะแข่งบารมีได้ดั่งหิ่งห้อยอับแสงไม่อาจแข่งรัศมีแห่งแสงจันทรา แต่รัศมีแห่งเทพบุตรองค์นี้มิอาจพรรณนาได้ด้วยว่าสว่างไสวมากกว่านับหมื่นนับแสนเท่า

     ฝ่ายพระมาลัยเถระแลท้าวสักกบดีครั้นเมื่อเห็นขบวนของเทพบุตรองค์นี้เสด็จมา สมเด็จอัมรินทราธิราชจึงเสวนาการกับพระมาลัยว่า " ดูกรพระเถระ ขบวนที่กำลังมานั่นคือขบวนของพระบรมโพธิสัตว์ เทพบุตรที่อยู่ตรงกลางรัศมีสว่างไสวไพบูลย์กว่าเทพยดาใดๆคือพระศรีอาริยเมตไตยหน่อพุทธางกูรในอนาคต บรรดาเหล่าเทพบุตรเทพธิดาที่นำหน้าทรงพัสตราอาภรณ์แลเครื่องประดับตลอดจนรัศมีสรีรกายก็ล้วนเป็นสีขาว ด้วยเหตุว่าเขาทั้งหลายในชาติก่อนนั้นครั้นถึงวันอุโบสถก็พากันนุ่งผ้าขาวห่มผ้าขาว สมาทานศีลแปดอย่างเคร่งครัด ครั้นเวลาทำบุญนั้นวัตถุทานก็ทำด้วยข้าวของสีขาวอันสะอาดตาด้วยว่าใจรักในสีขาวนี้ ส่วนที่มีสีอื่นๆก็กระทำดุจเดียวกันครั้นเมื่อถึงกาลกิริยาก็ได้มาบังเกิดเป็นบริวารของพระศรีอาริยเตไตย ในสวรรค์ชั้นดุสิต ขอรับพระคุณเจ้า "

     ขณะที่พระมาลัยจะไต่ถามพระอินทร์ต่อก็พอดีกับพระศรีอาริยเตไตยได้พาขบวนเทพบริษัทมาถึงลานพระเจดีย์กระทำ ประทักษิณสิ้นสามรอบแล้วเข้าไปถวายเครื่องสักการบูชานมัสการกราบไหว้เป็นปฐมก่อน แล้วจึงถอยออกมาเพื่อให้เหล่าเทพยดาบริวารพากันเข้าไปนมัสการบ้างตามลำดับ ก็พลันทอดพระเนตรเห็นพระมาลัยแลท้าวสักกบดีที่ประทับอยู่ตรงมุมพระเจดีย์จึงเสด็จเข้าไปหาเพื่อนมัสการ

     ครั้นนมัสการแล้วจึงประทับนั่ง ในฉับพลันอัศจรรย์ก็บังเกิดมีสุวรรณบัลลังก์ปรากฏขึ้นมารองรับในทันที สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงมีปฏิสันถารกับพระมาลัยว่า " ดูกรพระคุณเจ้า พระคุณเจ้ามาจากที่ใดขอรับ " พระมาลัยวิสัชนาว่า " ดูกรมหาบพิตร อาตมามาจากชมพูทวีป " เมื่อทราบว่าพระเถระมาจากชมพูทวีปจึงดีพระทัย รับสั่งถามข่าวคราวของมนุษย์ทั้งหลายว่า " ดูกรพระคุณเจ้า ชมพูทวีปขณะนี้พวกมนุษย์พากันทำมาหากินอย่างไรกันบ้างขอรับพระคุณเจ้า "

     พระมาลัยจึงวิสัชนาว่า " บางพวกก็ค้าขาย บางพวกก็เข็ญใจไร้ทรัพย์ บางพวกก็ทำการเกษตรกสิกรรม บางพวกก็ทำการประมงหาเลี้ยงชีพที่สุขสบายก็มี ที่เดือดร้อนทุกข์เข็ญก็มากโข มหาบพิตร " สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงมีปุจฉาต่อว่า " ดูกรพระคุณเจ้า แล้วส่วนมากพวกเขาทำบุญทำทานการกุศลกันบ้างหรือไม่ หรือจักทำแต่เรื่องบาปหยาบช้า ขอรับพระคุณเจ้า"

     พระมาลัยจึงวิสัชนาว่า " ดูกรมหาบพิตร พวกที่ทำบุญทานการกุศลนั้นมีน้อย ส่วนคนถ่อยบาปหยาบช้ากลับมีมากนับไม่ถ้วน "

     ลำดับนั้นสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยใคร่จักทราบถึงวิธีการทำบุญของเหล่าชาวชมพูทวีปจึงขอให้พระมาลัยวิสัชนา พระมาลัยจึงกล่าวว่า " มนุษย์บางพวกก็ให้ทานรักษาศีล บางพวกก็จัดให้มีพระธรรมเทศนาพร้อมกับป่าวประกาศให้ชาวประชามารับฟัง บ้างก็สร้างวัดวาอารามศาลากุฎี บ้างก็สร้างสถูปเจดีย์แลพระพุทธรูปไว้ในพระศาสนา บ้างก็ถวายเสนาสนะคิลานเภสัชแด่พระภิกษุสงฆ์ บ้างก็มีเจตจำนงถวายภัตตาหารบิณฑบาตตลอดจนสบงจีวรแด่พระภิกษุ บ้างก็เป็นบุตรกตัญญูเลี้ยงดูบำรุงบิดามารดา บ้างก็สร้างพระคัมภีร์ไตรปิฎก สุดแท้แต่กำลังแห่งทรัพย์แลปัญญาของตน มหาบพิตร "

     เมื่อสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยได้ทราบถึงวิธีการทำบุญกุศลของชาวชมพูทวีปแล้วพระองค์จึงถามถึงมโนปนิธานในการทำบุญนั้นว่าหวังผลในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติ พระมาลัยตอบว่า " ดูกรมหาบพิตร อันมนุษย์ทั้งหลายที่หมายทำบุญกุศลด้วยมิได้หวังผลในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือนิพพานสมบัติแต่อย่างใดกลับมุ่งหมายให้ได้เกิดทันศาสนาของพระองค์ทั้งนั้นเป็นส่วนใหญ่ ที่หมายใจเป็นอย่างอื่นกลับมีน้อยเป็นอย่าง "

     เมื่อพระศรีอาริยเมตไตยทรงสดับเช่นนั้นก็มีพระดำรัสตรัสฝากพระมาลัยไว้ว่า "ถ้าพวกเขาเหล่านั้นอยากเกิดทันศาสนาของข้าพระองค์ ก็จงอุตส่าห์ฟังธรรมมหาเวสสันดรชาดกให้จบทั้งหมดในวันเดียว แล้วบูชาด้วยธูปเทียน ดอกไม้อย่างละพันฉัตร อันประกอบด้วยดอกบัวหลวง ดอกบัวเขียว ดอกบัวขาว ดอกสามหาวอย่างละพัน ถ้าทำได้ดังนั้นก็จะพบกับศาสนาของข้าพระองค์

     เมื่อข้าพระองค์ไปตรัสรู้ผู้นั้นได้ฟังพระธรรมเทสนาก็จะได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัทภิทา ส่วนคนบาปหยาบช้าหนาหนัก เช่นกระทำปิตุฆาต มาตุฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า แลทำสังฆเภทให้หมู่สงฆ์เกิดการแตกแยกแตกความคิดไม่สามัคคี ทำลายพระเจดีย์แลพระพุทธรูป ตลอดจนคนที่ตระหนี่ถี่เหนียวไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ไม่รู้กาลเทศว่าบาปบุญคุณโทษ ดำรงตนอยู่ในความประมาท คนพวกนี้มิได้มีโอกาสพบศาสนาของข้าพระองค์เป็นแน่แท้ "

     เมื่อพระมาลัยได้ฟังดังนั้นก็กำหนดจดจำไว้ในใจเพื่อว่าจะได้นำไปเทศนาสั่งสอนชาวประชาทั้งหลายให้ได้ปฏิบัติ แต่ยังมีข้อข้องขัดในใจจึงปุจฉาไปดังนี้ " ดูกรมหาบพิตร เมื่อชนทั้งหลายได้รู้ข้อวัตรปฏิบัติอันจะทำให้ได้ไปบังเกิดกำเนิดทันพระศาสนาของพระองค์แล้วไซร้ อาตมาภาพใคร่ขอความกระจ่างว่าเมื่อใดที่พระองค์จะไปตั้งพระศาสนาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อกาลเวลาใดเล่า มหาบพิตร "

** จากคุณหนอนหนังสือ**