"ข้าพเจ้าก็ถามทุกข์ ที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะพึงได้รับ คือ ทุกข์ตอนเกิด ทุกข์ตอนแก่ ทุกข์ตอนเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ตอนตาย แล้วก็ทุกข์ในการ เวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละขอรับ ข้าพเจ้าเคยถามว่า ตอนเจ้าเป็นมนุษย์เห็นเด็กเล็กๆ นอนอยู่ในผ้าอ้อมเลอะเทอะจมขี้จมเยี่ยวบ้างไหม

        ครั้นเขาตอบว่าเห็น ข้าพเจ้าก็ซักต่อไปว่าเจ้าเห็นแล้วคิดยังไงบ้าง เขาตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าพยายามซักถามอีกสองสามครั้ง เพื่อจะให้เขาเกิดความสังเวชในชาติทุกข์ มีสติระลึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ เขากลับย้อนเอาว่า กะแค่เห็นเด็กเล็กเด็กแดง จะต้องคิดให้เป็นกังวลทำไม เสียเวลาเปล่าๆ ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ มีความประมาทในชาติธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้

       แต่กระนั้นยังให้โอกาสเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนแก่หนังเหนียว เดินถือไม้เท้างกๆ เงิ่นๆ บ้างไหม? เขากลับย้อนถามเอาอีกว่า จะไปคิดให้เสียเวลาทำไม ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ ประมาทในชราธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้อีกตามเคย

       ข้าพเจ้าได้ให้โอกาสถามเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนป่วยบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาก็ตอบอย่างฉะฉานตามเคยว่า คนป่วยนะหรือ เคยเห็นมาเสียนับไม่ถ้วน แต่เห็นแล้วจะให้คิดถึงทำไม ขยะแขยงเต็มทน ตกลงเขาผู้นี้ก็ยังไม่มีสติ ประมาทในพยาธิธรรมอีกอย่างหนึ่ง

       ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปว่า เจ้าเคยเห็นคนตามบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาตอบว่า เห็นนะเห็นหรอก แต่จะไปคิดทำไมให้เสียเวลา มีแต่กลัวจะมาหลอกเอาเท่านั้น ตกลงเขาก็ยังไม่มีสติ ประมาทในมรณธรรม อีกประการหนึ่ง

       ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปเป็นครั้งสุดท้ายว่า เจ้าเคยเห็นคนถูกลงโทษเฆี่ยนตีประหารบ้างไหม? เขาตอบอย่างเหนื่อยหน่ายว่า โอ๊ย! เห็นมาแยะ แต่จะให้คิดถึงนะหรือ ป่วยการ นอกจากจะสมน้ำหน้ามันเท่านั้นเอง

        ก็เป็นอันว่า เขาไม่มีสติพิจารณาสังขารธรรมให้เกิดความสังเวชใจ มัวแต่ประมาทมองไม่เห็นภัยในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และการเวียนว่ายตายเกิดประการใดเลย เขาถูกบาปหนา ปิดบังดวงปัญญาไว้ คนเช่นนี้จะปรานีไม่ได้ ควรที่จะโยนลงกระทะทองแดง เอาหอกแหลมแทงให้ดิ้นพล่านไปทันทีดีกว่า จริงไหม? พระคุณเจ้า?"

       พระมาลัยพยักหน้า "ก็จริงอยู่หรอก แต่ทว่า เท่าที่ท่านบอกทั้งหมด ยังไม่เห็นตอนไหนบ่งบอกว่าท่านมีเมตตาปรานี ดังที่คุยไว้เลย มีแต่แสดงความโหดร้าย หาแง่จะลงโทษเขาอยู่ท่าเดียวเท่านั้นเอง"

       "พระคุณเจ้าจะกรุณาอธิบายหน่อยได้ไหมว่า เมตตาปรานี มีลักษณะอย่างไร?" ยมพบาลย้อนถาม

       "ลักษณะความเมตตาปรานีก็คือ การสำรวมจิตมั่นอยู่ในความรักใคร่ สนิทสนมเอ็นดู สงสารในสัตว์ไม่เลือกหน้า อย่างมั่นคงนะสิท่าน" "ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้ามีความรักใคร่สัตว์นรกอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้วนี่ พระคุณเจ้า"

       "แต่ท่านเอาแต่สั่งลงโทษสัตว์นรก อย่างนี้จะเรียกว่าความรักใคร่ได้อย่างไร? มันขัดกันอยู่นะท่านยมพบาล"

       ยมพบาลหัวเราะ พลางตอบอย่างฉะฉาน

       "พระคุณเจ้ายังเข้าใจข้าพเจ้าผิดอยู่นั่นเอง เอาละทีนี้จะยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ตามธรรมดาย่อมรักใครในบุตร และลูกศิษย์มาก พยายามเลี้ยงดูอย่างทะนะถนอม และสั่งสอนวิชาการให้อย่างดี แต่เมื่อบุตรนั้น ประพฤติผิดก็ดุด่าเฆี่ยนตี-อย่างนี้ พระคุณเจ้าจะตำหนิว่า พ่อแม่ ครูอาจารย์พวกนั้น ขาดเมตตาปรานีหรือเปล่าของรับ?"

       "เปล่าหรอกท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์พวกนั้นทำไปด้วยความรักใครเมตตาปรานีต่างหาก"

       "ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน สัตว์นรกพวกนี้กระทำผิดก็จำต้องลงโทษ เพื่อให้สำนึกตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยความเมตตาปรานีพวกเขาแท้ๆ ข้าพเจ้าจึงทำ"

       พระเถระได้ฟังเหตุผลของเจ้านรก ก็หมดสิ้นความสงสัย ไม่พูดว่ากระไรต่อไป จนยมพบาลถามขึ้น

       "พระคุณเจ้าลงมาเมืองนรกนี่ ได้เดินตรวจดูทั่วหรือยังขอรับ?"

       "ยังเลยท่าน เพียงแต่ผ่านๆสามสี่แห่งเท่านั้น หากท่านจะพาเดินชมให้ทั่วสักหน่อย ก็จะเป็นการดีมาก อาตมาจะได้บันดาลให้ชาวโลกข้างบนเห็นด้วย"

       "แหม! ถ้ายังงั้นก็วิเศษขอรับ พระคุณเจ้า เอาละ ข้าพเจ้าจะพาพระคุณเจ้า ไปตระเวณให้ทั่วเดี๋ยวนี้แหละ และยังไงก็ขอให้พระคุณเจ้าช่วยเปิดให้ชาวโลกเห็น จนครบถ้วนให้ได้ พวกเขาจะได้กลัว ไม่กล้าทำบาปกันต่อไป มนุษย์เดี๋ยวนี้ก็ดื้อด้านกันเหลือเกิน พระคุณเจ้า"

       "อ้าว! แล้วท่านไม่กลัวว่างงานหรือ?" พระมาลัยแกล้งย้อน

       "อ๋อ! ว่างงานเพราะไม่มีคนตกนรกน่ะหรือพระคุณเจ้า?" ยมพบาลหัวเราะร่วน "ข้าพเจ้าจะไปกลัวทำไม ในเมื่อไม่มีคนมาตกนรก จนนรกต้องล้มเลิกไป ข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นสวรรค์หมดกรรมเท่านั้นเอง"

       "หมายความว่าทุกวันนี้ท่านยังมีกรรมเวรยังงั้นหรือท่าน"

       "นั่นมันของตายขอรับ พระคุณเจ้า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามีทั้งกรรมเวรและมีทั้งบุญกุศล ครึ่งหนึ่งเป็นเทวดา อีกครึ่งเป็นสัตว์นรก พระคุณเจ้ารู้ไว้เสียด้วยเถอะ"

       "ท่านพูดยังงี้ ทำให้อาตมางงใหญ่ โปรดอธิบายต่ออีกสักหน่อยเถอะ"

       "ก็หมายความว่า ข้าพเจ้ามีความสุขเยี่ยงเทวดาทั้งหลายเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งต้องมาวุ่นวาย ทรมานสังขารสอบสวนคดีความ ตัดสินลงโทษสัตว์นรกอยู่ในดินแดนโลกันต์อย่างนี้แหละท่าน"

       "อ๋อ! ยังงั้นเองหรอกหรือ?" พระมาลัยเพิ่งจะถึงบางอ้อตอนนี้ "เอาละ ขอให้อาตมาได้รบกวนถามเพียงเท่านี้เถอะ ต่อไปนี้ช่วยพาอาตมาไปเที่ยวชมนรกดีกว่า อาตมามาที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เห็นทั่วสักที"

       ยมพบาลว่าพลางลุกขึ้น จากแท่นออกเดิดนำหน้า พาพระเถระจากเมืองมนุษย์เที่ยวชมเมืองนรกโดยไม่รอช้า

       ดินแดนลงโทษสัตว์นรกแห่งแรกที่ยมพบาลพาพระมาลัยไปชมนั้น เป็นภูเขาหินลูกใหญ่สองลูกเป็นเครื่องหมาย ซึ่งภายในภูเขาลูกนี้ มีเครื่องยนต์กลไกอยู่ภายใน สามารให้เคลื่อนมากระทบบดขยี้ สัตว์นรกที่เข้าไปอยู่ในระหว่างกลาง ให้แหลกละเอียด ได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากจะเปรียบง่ายๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับหีบ ที่หีบอ้อยสดให้น้ำอ้อยไห้อ้อยออกมานั่นเอง

       ในช่วงเวลาที่ยมพบาลพาพระเถระไปถึงนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์นรก ผู้ตกเป็นทาสกรรมหลายต่อหลาย กำลังถูกผู้คุมจับพุ่งเข้าไปในภูเขายนต์ และถูกภูเขาเคลื่อนมาบดขยี้เนื้อตัวอย่างไม่ปรานีปราศรัย ต่างก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แสนสาหัส จนกระทั่งร่างแหลกเหลวเป็นจุณวิจุณไป ไม่มีเสียงที่จะร้องต่อไปนั่นแหละ ภูเขาทั้งสองจึงเคลื่อนตัวออกจากกัน แล้วผู้คุมก็จับคนใหม่พุ่งเข้าไปแทน เช่นนี้เรื่อยไป เป็นที่เสียวไส้ สยดสยอง ขนลุกขนพอง แก่ผู้ที่ได้พบเห็นอย่างมากทีเดียว

       นี่เองชีวิตของผู้ตกเป็นหนี้กรรม ต้องยอมเสวยทุกขเวทนาชดใช้ไป แม้ว่าความทุกขเวทนาดังกล่าว จะแสนสาหัสยิ่งกว่ากรรมที่ตนทำไว้เพียงใดก็ตาม ทางเดียวคือ ยอม-ยอมก้มหน้ารับมันต่อไป จนกว่าจะหมดสิ้น

       "ที่นี่เรียกยันตปสาณนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้พระมาลัย นิ่งมองด้วยความสมเพชเวทนาอยู่เป็นเวลานาน "เป็นนรกย่อยๆ ที่ใช้ลงโทษสัตว์นรกผู้มีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ"

       "กรรมเล็กๆ น้อยๆ ?" พระมาลัยทวนคำ "หมายความว่ากรรมประเภทไหนล่ะท่าน?"

       "ก็จำพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยการใช้เครื่องทรมานนี้ประการต่างๆ เช่น จับสัตว์ใส่เครื่องบดทั้งๆ ที่ยังเป็นๆ อยู่นั่นแหละ พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ "คนพวกนี้เห็นชีวิตสัตว์อื่นเป็นเครื่องเล่น การร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของสัตว์อื่น แทนที่จะก่อให้เกิดความเวทนาสงสาร กลับทำให้พวกเขา เกิดความครึกครื้น สนุกสนาน ประการหนึ่งว่า ได้ฟังเสียงดนตรีอันไพเราะ ครั้นตัวเขาตาย จึงมาพบกับความทุกขเวทนาเช่นนี้ ขอรับ"

       "แหม! น่าสงสาร นี่เป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขาแท้ๆ" พระมาลัยครางเสียงเศร้า "แล้วนี่ เมื่อไหร่พวกเขาจะพ้นกรรมเสียทีเล่า ท่าน"

       "ก็หลายปีขอรับ ทั้งนี้ต้องแล้วแต่กรรมที่เขาทำไว้ มากหรือน้อยเท่าใดเป็นเกณฑ์ ใครทำไว้มากก็ต้องรับโทษนาน ใครทำน้อยก็รับโทษไม่นาน โดยการตายแล้วเกิด มาถูกโยนเข้าไปในภูเขายนต์อีกเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นกรรม เออ นิมนต์ไปดูที่อื่นเถอะขอรับ ยังมีอีกแยะเดี๋ยวจะไม่ทั่ว"

       ยมพบาลว่าพลางเดินนำหน้าพระมาลัย ไปยังแดนทรมาณแห่งต่อไป

       สักครู่ก็มาถึงหน้าประตูบานใหญ่ ซึ่งปิดสนิทอยู่ ตรงกลางกำแพงเหล็กมหึมา ที่ล้อมรอบบริเวณภายในประตูนั้นไว้อย่างมิดชิด และมั่นคงแข็งแรงทั้งสี่ด้าน หลังจากกำปั้นอันใหญ่ของยมพบาลเคาะกึกๆ ที่บานประตูสองครั้ง บานเหล็กใหญ่ก็เผยออกต้อนรับ และทันทีที่ยมพบาลก้าวนำหน้าเข้าไป ปิศาจร่างผอมกระหร่องผิวดำสนิท ราวกับถ่าน ซึ่งเฝ้าอยู่ด้านในประตู ก็ผุดลุกขึ้นแสดงความเคารพเจ้าแห่งนรกอย่างรวดเร็ว

       ยมพบาลพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วเดินนำหน้าพระมาลัยเข้าไปข้างใน ชั่วครู่ก็มาถึงขอบสระน้ำอันกว้างใหญ่ และเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาดดุจตาตั๊กแตน พอดีขณะนั้น ปิศาจร่างใหญ่สองสามคน กำลังจับสัตว์นรกลงกลางสระอย่างไม่ปรานีปราศรัย สัตว์นรกได้แต่ร้องโอดโอยเรียกให้ช่วยลั่น ครั้นแล้วเมื่อร่างของมันโครมลงน้ำ เสียงร้องก็เงียบหายไป และสักครู่ร่างของมันก็ลอยทื่อขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ชีวิตจิตใจ

       มิใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกหลายตนซึ่งถูกจับโยนลงในสระ และดับดิ้นสิ้นใจ พาร่างลอยขึ้นมาเหนือน้ำเช่นเดียวกัน

       "ที่นี่เรียก สีตละนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลอธิบาย "หมายถึงนรกที่มีน้ำเย็นที่สุดกว่าแห่งใดทั้งสิ้น หากจะเรียกให้ทันสมันหน่อยก็ว่า แดนน้ำเย็นมหาภัย ขอรับ

       "แล้วพวกสัตว์นรกทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มารับโทษที่นี่เล่า?" พระมาลัยซักต่อไป

       "สัตว์นรกพวกนี้ เมื่อชาติก่อน ชอบผลักคนหรือสัตว์ให้ตกไปจมน้ำตาย โดยเห็นเป็นของสนุกสนาน หรือเกมกีฬา อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหล พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ แล้วพาพระเถระออกจากแดนน้ำเย็นมหาภัย ไปดูที่อื่นต่อไป

       ชั่วเวลาต่อมา ยมพบาลก็พาพระเถระ มายืนอยู่หน้าประตูเหล็กมหึมา ที่ปิดสนิทอยู่ตรงกลางกำแพงเหล็กหนา รายล้อมปิดอาณาบริเวณภายในไว้ทั้งสี่ด้าน อย่างเดียวกับแดนน้ำเย็นมหาภัย ซึ่งเพิ่งจากมาเมื่อครู่นี้ จะแตกต่างไปก็เพียงแต่ใหญ่และสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

       หลังจากที่ยืนรีรอการเปิดรับ จากข้างในเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ฉับพลันทันใด ที่บานประตูเหล็กมหึมานั้น เปิดอ้าออก เจ้าแห่งนรกก็พาพระเถระ เดินผ่านประตูเหล็กอีกชั้นหนึ่ง เข้าไปถึงสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีเป็นลานกว้างใหญ่อยู่ข้างใน และถัดไปเป็นสระน้ำใสสะอาด ดารดาษด้วยดอกบัวชูช่อไสว มีฝูงปลาตัวน้อยใหญ่ แหวกว่ายอยู่ ดูน่ารื่นรมย์และสมควรที่จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ มากกว่าจะเป็นแดนอันหฤโหด

       ดูเหมือนจะไม่ช้านานเท่าใดนัก ที่พระมาลัยถูกพามาหยุดยืนอยู่ริมสระนั้น ท่านก็สังเกตเห็นสัตว์นรก รูปร่างผอมโซเหลือแต่กระดูก ราวกับอดอยาก มานานนับปีฝูงหนึ่ง วิ่งกรูกันมาจากห้องขังใหญ่ที่มุมสนามหญ้าด้านโน้น และพอมาถึงสระน้ำ ต่างก็แย่งกันกระโจนลงกินน้ำ อย่างคนกำลังกระหายหิวเป็นที่สุด

       เพียงครู่เดียว เมื่อต่างคนต่างได้อื่มน้ำจนอื่มแปล้พุงกลางสมอยากแล้ว ก็พากันขึ้นจากสระมานอนแผ่หรา อยู่สนามหญ้ารอบๆ เป็นการพักเหนื่อยเอาแรง ไม่มีใครรู้ว่าน้ำที่ตนดื่มกินเข้าไปนั้น จะกลับกลายเป็นสิ่งทำลายตนในภายหลัง

** มีต่อ ๓**