และขณะที่พระคุณเจ้าจากเมืองมนุษย์ กำลังนิ่งมองด้วยความสนใจนั้น เสียงร้องโอดโอยอย่างคนได้ครับความเจ็บปวดแสนสาหัสของสัตว์นรกตนหนึ่ง ซึ่งนอนแซ่วอยู่เบื้องหน้าก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของมันกระโดดถลาไปดิ้นทุรนทุราย เกลือกกลิ้งตามพื้นหญ้าอย่างน่าเวทนา และในชั่วอึดใจต่อมา ไส้น้อยใหญ่และตับไตของมัน ก็ไหลทะลักออกมาทางทวารเบื้องต่ำ พร้อมด้วยเมล็ดแกลบที่กำลังลุกเป็นไฟ เผาไหม้อย่างไม่หยุดหย่อน

       ถูกแล้ว! น้ำที่ดื่มเข้าไปอัดไว้ในท้องเมื่อครู่ ได้กลายเป็นแกลบ และลงมือทำงานเผาผลาญขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่เท่านี้ สัตว์นรกอีกหลายต่อหลายตน ซึ่งนอนแผ่หราอยู่ในบริเวณนั้น พอคนแรกด่าวดิ้นสิ้นใจไป คนต่อมา ที่สอง ที่สาม สี่ ห้า จนกระทั่งถึงคนสุดท้ายที่มีอยู่ ต่างร้องโอดโอยและกระโดดถลาไปดิ้นทุรนทุราย เหมือนคนแรกหมด ตามลำดับ ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของผู้ที่ได้พบเห็น

       "ที่นี่เรียก  ธุสนรก  พระคุณเจ้า" ยมพบาลอธิบาย "แดนแห่งนี้เป็นแกลบเพลิงที่เหล่าสัตว์นรกเห็นเข้าแล้วนึกว่าน้ำ สวาปามดื่มกินเข้าไปในท้อง สุดท้ายก็ทำลายตับไตไส้พุงของพวกมันเสียป่นปี้ และก็ผู้ที่จะมาเสวยทุกข์ทรมานในนรกแห่งนี้ ส่วนมากเมื่อชาติก่อน เอายาพิษใส่ในอาหารหรือน้ำดื่ม ให้คนอื่นกินขอรับ"

       "แหม! น่าสังเวชเหลือเกินท่าน" พระมาลัยครางออกมาด้วยความสังเวชสลดใจ มันเป็นเรื่องเวรกรรม พระคุณเจ้า กรรมที่เขาทำไว้นั่นแหละ จะตามมาสนองเขาเอง ไม่มีใครทำให้เลย นิมนต์ไปดูที่อื่นต่อเถอะ ขอรับ" ยมพบาลรีบตัดบท พาพระเถระออกจากที่นั้นไปโดยเร็ว

       อีกครู่ต่อมา เจ้าแห่งนรกก็พาพระเถระมาถึงแดนนรกอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ถึดกันไปไม่ถึงยี่สิบก้าว และดูเหมือนนรกแห่งนี้ จะแปลกกว่าสองสามแห่งที่ผ่านมาไม่น้อยทีเดียว โดยไม่มีกระทะครอบ หรือประตูเหล็กปิดกั้น กำแพงล้อมใดๆทั้งสิ้น

       พอไปถึง ก็มองเห็นเป็นลานกว้าง ปูด้วยหินอ่อนสีเขียวอย่างราบเรียบ เป็นเงาวาววับคล้ายแผ่นกระจก ถูกแล้วมันน่าจะเป็นที่ประชุมสโมสร บริษัทบริวาร หรือมิฉะนั้นก็เป็นที่เล่นกีฬากลางแจ้ง ของผู้ยิ่งใหญ่คนใดคนหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น

       ยมพบาลคงจะพาพระเถระจากเมืองมนุษย์ มาดูความกว้างของลานหินอ่อนอย่างนี้ไม่มีปัญหา?

       "พระคุณเจ้าอย่าเพิ่งคิดว่า ที่นี่เป็นสนามกีฬาหรืออื่นใด" ยมพบาลเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้มือไปยังมุมสุดเบื้องหน้า ซึ่งปรากฏเป็นมีลูกกลิ้งหินมหึมาเท่าภูเขาลูกหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ "โน่นขอรับ ลูกกลิ้งหินที่เห็นอยู่นั่นแหละ คือสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่สุด

        มิใช่มีลูกเดียวนะ ข้างหลัง และซ้ายขวา ยังมีอีก รวมเป็น 4 ลูกด้วยกัน ลูกหิ้นทั้งสี่นี้เป็นลูกกลิ้งไฟ มีไว้สำหรับกลิ้งมาบดสัตว์นรกที่วิ่งเข้าไปยืนบนลานหินนี้ พระคุณเจ้า"

       พอดีกับที่ขณะนั้น เสียงผีเท้าของใครต่อใครวิ่งมาอย่างสับสน พร้อมกับเสียงหวดแส้ดังวื้ดว้าด และเสียงกรีดร้องโอดโอยติดตามมาทางเบื้องหลัง

       ทั้งยมพบาลและพระเถระหันขวับมาดูพร้อมๆกัน มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากฝูงสัตว์นรก ที่กำลังถูกเหล่าผู้คุมไล่ต้อนเข้าเครื่องบดชดใช้กรรมนั่นเอง ตัวไหนที่พูดกันรู้เรื่องง่าย และวิ่งเร็วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้าม ตัวไหนพูดยากและวิ่งช้า แส้เหล็กอันใหญ่ยาวราวกับสายบรรทัด ก็ซัดโครมๆ เข้าที่เนื้อตัวอย่างไม่เลือกที่และปรานีปราศรัย

       แม้จะเกิดเป็นรอยแผลแตกเลือดทะลักออกม และมันจะส่งเสียงร้องครวญครางขอความเวทนาสงสารสักปานใด ก็เหมือนยั่วยุให้พวกผู้คุมกระหน่ำแส้เหล็กเข้าให้หนักขึ้น จนในที่สุด แม้จะถึงกับลุกไม่ขึ้น ก็ต้องพยายามคลานรุดหน้าไปตามคำสั่ง

       เหล่าสัตว์นรกวิ่งทยอยล้มลุกคลุกคลาน และกระเสือกกระสน หนีออกหน้าซ้ายขวากันให้อลหม่านไปหมด แต่จนแล้วจนรอด ก็หนีไปไหนไม่พ้น นอกจากจะถูกต้อนไปนอนแซ่วหมดสติเรี่ยวแรง อยู่บนลานหินอ่อนเบื้องหน้านั่นเอง ไม่มีใครกระเสือกกระสนหนีต่อไปอีก ราวกับรู้ชะตาตนเองฉะนั้น

       ชั่วขณะนั้นเอง ก็บังเกิดมีไฟลุกแดงวาบขึ้นและโชติช่วงไปทั่วลูกกลิ้งหินเหล่านั้น ราวกับปาฏิหารย์ ขณะเดียวกัน ลูกกลิ้งแต่ละลูกก็ผันออกจากที่เข้ามาสู่กลางถนน ซึ่งเหล่าสัตว์นรกทั้งหลาย กำลังนอนรอความตายอยู่ ด้วยความเร็วราวกับลูกธนู และเสียงดังราวกับฟ้าลั่น

       ครืน! ครืน! ครืน! พริบตาเดียวก็ถึงตัว บังเอิญมีสัตว์นรกบางตัวรู้สึก เบิกตาโพลงขึ้น ครั้นมองเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว ก็ส่งเสียงร้องให้คนช่วย

       "โอย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! พร้อมกันนั้น ต่างถลันลุกขึ้นจะตะเกียกตะกายหนี แต่ช้าไปเสียแล้ว ลูกกลิ้งทั้งสี่ครืนเข้ามาทับ และบดขยี้พร้อมๆกัน ไม่ต่างอะไรกับรถบดถนน ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอย ให้ระงมไปหมด เลือดสดๆ กระจายไปทั่วลานหินอ่อน จนมองเห็นเป็นสีแดงทั้งผืน

       "ที่นี่เรียก  ปิสสกปัพพตนรก  ขอรับ พระคุณเจ้า พวกที่ชอบทรมาณสัตว์ด้วยการเอาเหล็ก หรือหินเผาไฟนาบ หรือบดตามเนื้อตัวสัตว์ทั้งหลายอย่างสนุกมือนั่นแหละ เมื่อตายแล้วจะมาเสวยผลกรรมอยู่ในนรกแห่งนี้ขอรับ" ยมพบาลกล่าวแล้วพาพระเถระเดินออกจากที่นั้น ตรงไปยังแดนนรกแห่งอื่นทันที

       สักครู่ก็มาถึงศาลาใหญ่ตั้งอยู่ โดดเดี่ยวบนเนินสูง และดูเหมือนนอกจากจะมีบันไดเหล็กเล็กๆ มีรูปร่างไม่ต่างจากบันไดลิงทอดขึ้นไปจากข้างล่างเพียงอันเดียวแล้ว ก็ไม่มีกำแพงเหล็กหรือประตูใหญ่ใดๆทั้งสิ้น

       ฉับพลันทันใดที่ถูกพาไต่ขึ้นไปยืนอยู่หน้าศาลาหลังนั้น พระมาลัยก็เหลือบไปเห็นมีถาดอาหารอันโอชารส ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ตั้งเรียงรายอยู่เต็มตามความกว้างขวางและโอ่โถงของมัน

       ซึ่งอาหารเหล่านี้จัดไว้สำหรับใคร ไม่สามารถจะทราบหรือเดาได้ถูก และชั่วขณะที่เต็มไปด้วยความแปลกใจสงสัย ของพระเถระนั่นเอง ก็มีสัตว์นรกรูปร่างผอมโซฝูงหนึ่ง วิ่งกรูกันเข้ามาในศาลานั้น โดยไม่ทราบว่ามาจากทิศทางใด และสัตว์พวกนั้นต่างพากันตรงเข้าหาสำรับกับข้าว ที่ตั้งเรียงรายอยู่นั้น ตัวไหนที่ล้าหลังมาไม่ทัน ต้องใช้วิธียื้อแย่งจากเพื่อน ปราศจากความเกรงอกเกรงใจใดๆทั้งสิ้น

        ฝ่ายตัวที่ถูกแย่งก็พยายามต่อสู้ป้องกัน มิให้ถ้วยชามอาหารซึ่งตน กำลังกินอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนั้นหลุดลอยไปจากมือเป็นการใหญ่ แต่ยิ่งต่อสู้ป้องกันเท่าใด เหมือนยิ่งยุ อ้ายตัวนักแย่งยิ่งรุกหนักขึ้น เอาไปเอามาเกิดศึกชิงอาหาร สัตว์นรกเหล่านั้นต่างแย่งถ้วยชามขึ้นขว้างปา และโผนเข้าทุบต่อยเตะตีกันอุตลุด

       ฝ่ายยมพบาลเมื่อเห็นเหตุการณ์รุนแรงเช่นนั้น ก็ส่งให้ผู้คุมเข้าห้ามปรามอย่างทันควัน

       หลังจากหวดแส้และประเคนฆ้อนเหล็กตัวนั้นตัวนี้อยู่ชั่วขณะ ศึกชิงอาหารก็สงบราบคาบลงด้วยการลงไปหมอบราบคาบแก้ว เป็นแถว อยู่กับภาคพื้นของเหล่าสัตว์นรกผู้อดโซ ทั้งสองมือที่ยกขึ้นพนกศีรษะและเนื้อตัวของพวกมัน ตกอยู่ในอาการสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เพราะความผิดครั้งนี้ เป็นที่สุด

       กล่าวกันว่า กฎหมายในเมืองนรกนั้น มีการลงโทษสัตว์นรกอย่างหนึ่ง สำหรับความผิดที่บังอาจไปก่อขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลักขโมย แย่งชิงวิ่งราวข้าวของกัน หรือทะเลาะวิวาทต่อตีกัน ไม่ว่าหนักหรือเบา น้อยหรือมาก นอกเหนือไปจากโทษทัณฑ์ที่จะพึงได้รับจากผลกรรมแล้ว

       นั่นก็คือ วิธีที่พวกผู้คุมจับมามัดแล้วใช้ฆ้อนเหล็กทุบตี จนกระทั่งทนเจ็บปวดทรมานไม่ไหว สลบไปแล้วเอาน้ำรดให้ฟื้นคืนมา และกระหน่ำตีต่อไปจนสลบไปอีก

       ทำอย่างนี้ถึงสามครั้ง ฟื้นสาม-สลบสาม เรียกกันว่า  "สามสลบ"  ถูกแล้ว อันวิธีสามสลบนี้ เหล่าสัตว์นรกต่างเข็ดขยาด หวาดกลัวกันเหลือเกิน บางรายถึงบอกว่า ถ้าจะให้เปลี่ยนเอาอย่างอื่นที่หนักหนากว่านี้ เช่นกรอกน้ำทองแดง หรือเข้าเครื่องบด มันยินดีทีเดียว

       เพราะถึงแม้วิธีเหล่านี้จะทำให้มันตายวายชีวาไป ก็ยังดีกว่าอยู่แบบเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเช่นนี้

       ในช่วงเวลาที่เต็ฒไปด้วยอาการสั่นสะท้านหวาดกลัวของสัตว์นรกพวกนั้น ดูเหมือนจะไม่มีสัตว์นรกตัวใด ที่ไม่นึกวิงวอนขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า บนสวรรค์ ตลอดจนกระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างในสากลโลก จงช่วยดลบันดาลอย่าให้เหล่าผู้คุมใช้วิธีสามสลบนี้กับตน ยังไงๆก็ขอให้ใช้อย่างอื่นเถอะ แม้ว่ามันจะหนักหนายิ่งกว่านี้สักเพียงใด

       อนิจจา! เหล่าสัตว์นรกผู้น่าสงสาร บางทีการวิงวอนขอความเมตตา จากพระผู้เป็นเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสัตว์นรกเหล่านั้น จะช่วยพวกมันได้จริงก็เป็นได้ และเป็นได้ยิ่งกว่าที่วิงวอนขอนั้นอีก-มันช่างเป็นความปรานีที่เอิบอาบซาบซ่านใจ อย่างไม่นึกไม่ฝันอะไรเช่นนั้น

       ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดรวดร้าว อันเนื่องมาแต่การถูกเหล่าผู้คุมเข้าไปห้ามทุบตีเมื่อครู่นี้ ตลอดจนกระทั่งอาการสั่นสะท้าน หวาดกลัวทั้งหลายจะเหือดหายไปราวกับปลิดทิ้ง เหล่าสัตว์นรกที่หมอบราบคาบแก้ว ณ ที่นั้นต่างโดดผลุงลอกยขึ้นด้วยความปิติยินดีในทันใด

       เมื่อได้ยินเสียงยมพบาลร้องสั่งลูกน้องขึ้นว่า "พอ-พอทีเถอะไม่ต้องทุบตีอะไรพวกนี้อีก แค่นี้มันก็แสนสาหัสพอแล้ว ไป-ไปจัดสำรับกับข้าวมาให้พวกมันกินใหม่ดีกว่า"

       "ไชโย ขอให้ท่านยมพบาล เจ้านายของเราจงเจริญ" ปากคอที่กำลังระริก แสนเต็มตื้นด้วยความปิติยินดีของสัตว์นรกเปล่งเสียงไชโยโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน

       ก่อนที่กังวานเสียงของยมพบาลจะขาดห้วงลง และแล้วพวกมันก็พากันกรูเข้ามาหมายจะกราบกราน แสดงความซาบซึ้งดีใจครั้งนี้อย่างที่สุด แต่ "ไม่ต้องเข้ามาหรอก พวกแกนั่งลงตามเดิมดีกว่า" ยมพบาลโบกมือห้ามเสียก่อน "เดี๋ยวพวกนั้น ก็จะยกสำรับกับข้าวมาให้กิน และหวังว่ายังไงเสียคราวนี้คงจะไม่เกิดการตะลุมบอนกันอย่างเมื่อกี้เป็นแน่"

       "ไม่เกิดแน่ขอรับ พวกข้าพเจ้าขอรับรอง" พวกสัตว์นรกร้องตอบขึ้นพร้อมกันอย่างทันควัน "เออ! ดีมาก" ยมพบาลตอบในที่สุด

       ในช่วงเวลาต่อมานั้นเอง สำรับกับข้าวชุดใหม่โอชารสที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นฟุ้ง ไม่แพ้ชุดก่อนก็ถูกนำมาตั้งไว้เป็นที่เรียบร้อยตามคำสั่งของยมพบาลทุกประการ และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เหล่าสัตว์นรกผู้อดโซ ก็พากันลงมือตักข้าวปลาอาหารใส่ปากอย่างไม่รีรอ แต่ระมัดระวัง ไม่ให้มือไม้ของตน เผลอไปยื้อแย่งกันและกันอย่างเมื่อกี้เป็นที่สุด เดี๋ยวจะเกิดศึกชิงอาหารถึงขั้นตะลุมบอนกันขึ้นอีก

       อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่กำลังตักข้าวปลาอาหารกินนั้น พวกมันต่างนึกขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เมตตาช่วยดลบันดาลให้เหตุการณ์ครั้งนี้ เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี แทนที่จะถูกลงโทษทัณฑ์ แต่กลับได้กินอาหารอย่างดีโอชารสเช่นนี้

** มีต่อ ๔**