ลำดับนั้นองค์สมเด็จอัมรินทราธิราชท้าวเธอประทับอยู่ในทิพยวิมานไพชยนต์มหาปราสาท ท้าวเธอก็ดำริในพระหฤทัยว่าวันนี้ไซร้เป็นวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเราจักออกไปนมัสการถวายเครื่องสักการบูชาพระมหาเจดีย์จุฬามณีตามประเพณีที่เคยปฏิบัติ จึงมีเทวโองการบัญชาให้เหล่าเทพบุตร เทพธิดานารีทั้งหลายทราบว่าจักออกไปกราบนมัสการพระเจดีย์
เหล่าเทพบุตรเทพนารีต่างเสด็จออกเป็นขบวนห้อมล้อมท้าวสักกบดี มีจำนวนมากมายรัศมีกายเรืองรุ่งพลุ่งโชติช่วงสว่างไสว แหนแห่ไปยังพระมหาเจดีจุฬามณีสถาน พากันกระทำประทักษิณสิ้นสามรอบ จอมเทวราชสหัสนัยน์ไตรตรึงษาจึงวางเครื่องสักการบูชาเป็นลำดับแรก แล้วจึงแยกออกมา ณ มุมด้านหนึ่งของพระเจดีย์ เพื่อให้เทพบุตรเทพนารีบริวารทั้งหลายได้เข้าไปวางเครื่องสักการบูชาโดยสะดวก
ขณะนั้นพลันสายพระเนตรเหลือบไปเห็นพระมาลัยเถระนั่งสงบสำรวมอินทรีย์อยู่ ณ มุมพระเจดีย์ด้านขวา ท้าวเธอก็เกิดความสนพระทัย เออหนอพระคุณเจ้าเหล่ากอของพระชินสีห์รูปนี้มาจากที่ใดจึงได้มายังสถานที่นี้ ดำริแล้วจึงเสด็จเข้าไปหานมัสการแล้วปฏิสันถารถามไถ่
" ดูกรพระคุณเจ้า ท่านมาจากสถานที่ใดจึ่งได้มายังสถานที่แห่งนี้ " พระมาลัยจึงมีวาทีตอบถ้อยคำถาม " อาตมภาพมาจากชมพูทวีปอันไกลโพ้น มหาบพิตร "
สมเด็จองค์อัมรินทร์จึงดำรัสตรัสถามนามของพระเถระ พระมาลัยจึงวิสัชนาตอบวาที
" ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพมีนามว่า มาลัย ด้วยเกิดในหมู่บ้านไม้จันทน์แดง แห่งเกาะมาลัย จึงได้ชื่อตามเกาะ "
พระอินทร์จึงถามต่อว่ามาได้โดยวิธีใดด้วยที่นี่อยู่ไกลพ้นวิสัยมนุษย์ธรรมดาสามัญจะมาได้
พระมาลัยจึงตอบว่า " อาตมภาพมาด้วยอานุภาพแห่งฌานสมาบัติ มหาบพิตร "
พระมาลัยวิสัชนาพลางตั้งข้อปุจฉาบ้าง " ดูกรมหาบพิตร
ตั้งแต่สนทนากันมาอาตมายังไม่ทราบนามของท่านเลยสักนิด ว่าท่านนี้คือผู้ใด "
ท้าวสักกเทวราชตรัสตอบโดยสุนทรวาจา " ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้านี้มีมากมายหลายชื่อสุดแท้แต่จะเรียกขานรวมแล้วประมาณ ๗ ชื่อใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ มาฆะ ปุรินทะ สักกะ วาสวะ สหัสสักขะ สุชัมบดี แลเทวานมินทร์ ด้วยเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์เดินดินมีชื่อว่า มฆมานพ เมื่อได้มาเกิดบนสรวงสวรรค์จึงได้ชื่อว่า มาฆะ
เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่นั้นข้าพระองค์เป็นผู้เริ่มให้ทานก่อนใครในโลกเป็นคนแรกจึงได้ชื่อว่า
ปุรินทะ เมื่อเวลาข้าพระองค์จะให้ทานก็ให้ด้วยความเคารพจึงได้ชื่อว่า สักกะ
เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่นั้นได้ให้ที่พักอาศัยแก่หมู่ชนคนเดินทางใกล้ไกลจึงได้ชื่อว่า วาสวะ
ด้วยว่าข้าพระองค์ สามารถดำริตริตรึกถึงข้อความตั้งพันข้อโดยครู่เดียวจึงได้ชื่อว่า สหัสสักขะ
ข้าพระองค์เป็นสวามีของนางสุชาดาธิดาของอสูรจึงได้ชื่อว่า สุชัมบดี
และตัวข้าพระองค์นี้เป็นใหญ่กว่าเทพดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดาวดึงนี้จึงมีชื่อว่า เทวานมินทร์
"
เมื่อพระมาลัยเถระได้สดับคำวิสัชนาก็สนใจใคร่รู้จึงถามไถ่ยังเบื้องหลังการประกอบกุศลผลบุญอย่างไรจึงได้มามาเกิดเป็นพระอินทราธราชเพื่อจักนำไปประกาศเทศนาบอกชาวมนุษย์ให้ประพฤติตามเยี่ยงอย่างอันดี
ท้าวสุชัมบดีจึงวิสัชนาว่า " ข้าแต่พระคุณเจ้า อันตัวข้าพระองค์นี้ทำบุญให้ทานมากมายหลายอย่าง หากแต่วัตตบท ๗ ประการอันมี เลี้ยงดูบิดามารดาหนึ่ง อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้มีอายุหนึ่ง มีวาจาไพเราะสละสลวยหนึ่ง มีวาจาไม่ส่อเสียดว่าร้ายใส่ความใครหนึ่ง ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวหนึ่ง เป็นผู้ดำรงตนอยู่ในความสุจริตซื่อตรงไม่คิดคดโกงใครหนึ่ง และเป็นผู้ไม่โกรธ
ถึงแม้นมีความโกรธเกิดขึ้นในใจก็รีบระงับดับเสียหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้ามาบังเกิด ณ
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้