พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จไปสู่ต้นอโศก
ทรงดึงตัวเวตาลลงมาเหวี่ยงขึ้นพระอังสา
แล้วเสด็จกลับมาทางเดิม
มาได้หน่อยหนึ่ง
เวตาลก็กล่าวขึ้นว่า "โอราชะ
ข้ามีนิทานสนุกอยู่เรื่องหนึ่ง
อยากจะเล่าถวาย
โปรดทรงสดับเถิด"
ในอดีตกาลมีพระราชาครองกรุงอุชชยินี
ทรงนามว่า พระเจ้าธรรมธวัช
พระองค์มีชายาสามองค์
ล้วนแต่เป็นพระธิดาของกษัตริย์ทั้งสิ้น
พระนางทั้งสามล้วนเป็นชายาคนโปรดของพระราชาผู้สวามีอย่างยิ่ง
ชายาองค์ที่หนึ่งชื่ออินทุเลขา
องค์ที่สองช่ือดาราวลี
และองค์ที่สามมีนามว่ามฤคางกวดี
นางทั้งสามล้วนมีเสน่ห์น่ารักเหมือนกันหมด
พระราชาแห่งอุชชยินีเป็นกษัตริย์ผู้กล้าหาญ
ทรงมีชัยชำนะเหนืออริราชศัตรูทั้งมวลหาใครเสมอมิได้
เสวยราชย์ด้วยความสุขสำราญพร้อมด้วยพระชายาทั้งสามเรื่อยมา
ครั้งหนึ่ง
เมื่อถึงฤดูวสันต์อันเป็นฤดูแห่งความชื่นบาน
พระราชาปรารถนาจะพักผ่อนให้สำราญพระทัย
จึงพาพระชายาทั้งสามไปสู่สวนขวัญประทับอยู่ด้วยความรื่นรมย์
ณ อุทยานนั้น
โอกาสหนึ่งทรงทอดพระเนตรเห็นลดาวัลย์ไม้เลื้อยต้นหนึี่ง
เกี่ยวเกาะอยู่กับต้นไม้ใหญ่มีดอกบานสะพรั่งห้อยระย้าแว่งไกวตามกระแสลม
และเครือเถาวัลย์นั้นมีความอ่อนช้อยงดงามราวกับคันศรของพระกามเทพ
และฝูงแมลงภู่ซึ่งเกาะและไต่ตอมกลีบดอกไม้นั้นเล่า
ก็ดูราวกับสายธนูของพระมันมถะ(ผู้ก่อกวนใจ
หมายถึง พระกามเทพ)
เช่นเดียวกัน
พระราชาผู้องอาจปานพระวัชรปาณี(ผู้มีมือถือวัชระ
เป็นสมญานามของพระอินทร์
ทรงเพลินอยู่กับกระแสเสียงของนกโกกิลาอันเจื้อยแจ้วมาตามลม
ราวกับเสียงของพระมกรเกตุ(ผู้มีธงรูปปลามังกร
หมายถึงกามเทพ)
ผู้เป็นเทพแห่งความรัก
กำลังพาอัปสรทั้งหลายมาเริงเล่นสำราญด้วยความมึนเมาแห่งสุรามฤตที่เสพกันอยู่ทุกหมู่เหล่าโดยทั่วกัน
ขณะนั้นพระชายาอินทุเลขากำลังสรวลเสกับการดึงพระเกศาของพระราชาเล่น
ปรากฏว่าดอกบัวอินทีวร (บัวสายสีน้ำเงิน)
ที่นางทัดหูเป็นเครื่องประดับเศียรเกล้า
ได้ร่วงหล่นลงมาบนตักของนางผู้เอวบาง
ทำให้นางตกใจ เปล่งเสียง "ต๊าย
ตาย" ออกมาแล้วเป็นลมหมดสติ
ในทันทีนั้นก็เกิดรอยแผลขึ้นที่ต้นขาของนาง
ทำให้พระราชาและบริพารตื่นตกใจกันมาก
และรู้สึกเป็นทุกข์ในอุบัติเหตุของนาง
ต่างก็เอาน้ำหอมมาให้นางกำนัลลูบไล้ตามร่างของพระนาง
ให้นางกำนัลตกแต่งแผลให้นางและดูแลตามคำสั่งของหมอหลวงอย่างเคร่งครัด
ในเวลาราตรี
พระราชาเสด็จมาดูอาการของนาง
เห็นว่าค่อยยังชั่วขึ้นบ้างแล้ว
ก็พานางดาราวดีพระชายาคนที่สองเสด็จไปสู่งห้องบรรทมชั้นดาดฟ้าซึ่งงามวิจิตรอยู่ในแสงนวลใยของพระจันทร์
ณ
ที่นั้นแสงของดวงศศีส่องมาอาบร่างของนางผู้ซึ่งนอนหลับเคียงข้างพระราชาอยู่
สายลมเย็นยามดึกรำเพยพัดมาที่ร่างของนาง
ทำให้ภูษาภรณ์ของนางเคลื่อนคล้อยไปจากองค์
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมามีอาการตระหนก
เปล่งเสียงร้องออกมาว่า "ช่วงด้วยเถิด
ข้าถูกไฟเผา"
แล้วลุกจากเตียง
เอามือนวดตามแขนขาเป็นพัลวัน
เสียงของนางทำให้พระราชาตื่นจากบรรทมด้วยความตกพระทัย
และเห็นแผลพุพองขึ้นตามร่างกายของพระเทวี
จึงซักถามด้วยความพิศวงว่า
"นี่มันเรื่องอะไรกัน"
พระนางดาราวดีทูลตอบว่า "รัศมีจันทร์ที่ส่องมากระทบร่างของหม่อมฉัน
เป็นเหตุให้หม่อมฉันต้องทนทุกข์เพราะแผลพุพองเหล่านี้"
ทูลจบนางก็ฟูมฟายด้วยความโศก
ร้องไห้สะอึกสะอื้นมิหยุดหย่อน
พระราชาเห็นดังนั้นก็สงสารนัก
รับสั่งเรียกนางข้าหลวงบริวารให้เข้ามาช่วยโดยด่วน
จัดทำเตียงปูลาดด้วยใบบัวให้นางนอน
ประพรมร่างของนางด้วยสุคนธรส
โปรยปรายเฟื่องฟุ้งดังฝอยฝน
และเอาน้ำมันจันทน์หอมทาตามแผลเจ็บปวดของนาง
ในระหว่างเวลาที่ชุลมุนวุ่นวายกันนี้
นางมฤคางกวดีชายาองค์ที่สาม
ได้ยินเสียงอื้ออึงก็ออกจากตำหนักของนางเพื่อมาดูเหตุการณ์
และเมื่อเดินพ้นออกมาสู่ที่แจ้งนั้นเอง
นางก็หยุดนิ่ง
ได้ยินเสียงหนึ่งดังลอยลมมาแต่ไกลในความเงียบสงัดของราตรี
นางหยุดกึกลงด้วยความสนใจและเงี่ยหูฟังในที่สุดก็เข้าใจว่า
เป็นเสียงครกตำข้าวดังมาแต่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไป
ในขณะที่เงี่ยหูฟังเสียงนั้น
นางผู้มีเนตรงามดังตากวางก็เปล่งเสียงออกมาด้วยความตกใจว่า
"ช่วยด้วย กำลังถูกฆ่า"
สิ้นเสียงนางก็ทรุดฮวบลงนั่งกับพื้น
ยกมือทั้งสองข้างอันสั่นระริกขึ้นชูไปเบื้องหน้า
แสดงอาการเจ็บปวดแสนสาหัส
นางข้าหลวงผู้เป็นบริวารเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคอง
พานางกลับไปตำหนักของนางทันที
พอถึงห้องนางมฤคางกวดีก็ล้มลงนอนบนเตียงอย่างหมดเรี่ยวแรง
และส่งเสียงครวญครางไม่ขาดระยะ
เมื่อนางบริวารช่วยกันตรวจหาสาเหตุแห่งความเจ็บปวดของนางก็แลเห็นมือของนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
เหมือนกับดอกบัวที่ถูกฝูงผึ้งไต่อยู่คลาคล่ำ
นางกำลังจึงรีบไปทูลพระราชา
พระเจ้าธรรมธวัชได้ฟังก็ตกพระทัยมาก
รีบเสด็จมาดูอาการของพระชายาคู่พระทัย
และทรงฉงนพระทัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
นางยื่นหัตถ์ให้ดู
และกล่าวว่า "หม่อมฉันได้ยินเสียงครกกระเดื่องดังมาจากที่ไกล
เสียงของมันทำให้มือของหม่อมฉันต้องฟกช้ำเป็นจ้ำ
ๆ อย่างนี้แหละเพคะ"
พระราชาทรงเดือดร้อนพระทัยยิ่งนัก
รีบสั่งให้นางพนักงานไปนำเอาสีผึ้ง
ผงจันทน์หอมและโอสถชนิดต่าง
ๆ มาให้นาง
เพื่อใช้บรรเทาความเจ็บปวด
พระราชารำพึงในพระทัยว่า "เรื่องนี้ช่างประหลาดยิ่งนัก
เมียคนหนึ่งของเราได้รับบาดแผลเพราะดอกบัวตกถูกหน้าขา
เมียคนที่สองก็ถูกรังสีพระจันทร์ไหม้ผิวหนัง
โธ่เอ๋ย ยังคนที่สามอีกเล่า
เพียงแต่ได้ยินเสียงตำข้าวเท่านั้นก็เกิดรอยฟกช้ำที่มือทั้งสองข้าง
นี่ต้องเป็นเรื่องของชะตากรรมแน่เทียว
จึงบันดาลให้เกิดอาเพศถึงเพียงนี้"
รำพึงฉะนี้แล้วพระราชาก็เสด็จออกจากตำหนักใน
เดินคิดหาเหตุผลต่าง ๆ
ก็ยังคิดไม่ตก
เวลาล่วงไปหลายชั่วโมงพระราชาก็ไม่รู้สึกพระองค์
คงดำเนินเรื่อยอยู่
ถึงตอนเช้าแพทย์หลวงจึงพากันมาเฝ้าดูอาการของพระชายาทั้งสาม
และช่วยกันพยาบาลจึงอาการดีขึ้น
เมื่อเวตาลผู้เกาะอยู่บนบ่าของพระราชาเล่าเรื่องจบลง
ก็กล่าวแก่พระราชาตริวิกรมเสนว่า
"ไหนทรงเฉลยให้ข้าเข้าใจซิว่า
พระองค์มีความเห็นว่าในเรื่องนี้พระชายาองค์ใดเป็นผู้แบบบางต่อการกระทบมากที่สุด
แต่ขอให้ทรงตระหนักไว้ว่า
ข้าได้เตือนพระองค์มาก่อนแล้วว่า
ถ้าพระองค์รู้คำตอบของปัญหานี้แล้วยังไม่ตอบ
ศีรษะของพระองค์จะแยกเป็นเสี่ยง
ๆ ตามคำสาปของข้า"
เมื่อพระเจ้าตริวิกรมเสนได้ฟังดังนั้น
ก็ตอบว่า "ข้าไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
นางเทวีองค์ที่มีความอ่อนไหวมากที่สุดก็คือคนที่เพียงแต่ได้ยินเสียงครกตำข้าวแว่วมาแต่ไกล
นางก็เกิดอาการฟกช้ำดำเขียวที่หัตถ์ของนางน่ะซิ
สองคนแรกอ่อนไหวเพราะมีสิ่งแตะต้องวรกายของนาง
คือดอกบัวและแสงจันทร์
แต่คนที่สามนั้นไม่มีอะไรมาแตะต้องกายของนาง
เพียงแต่แว่วเสียงมาตามลมแต่ที่ไกล
แม้จะมองไม่เห็นมัน
นางก็ได้รับบาดแผลอันเกิดจากความอ่อนไหวของนาง
เป็นดังนี้ข้าจึงเชื่อว่านางผู้นี้แหละคือ
คำตอบที่เจ้าต้องการจะรู้
จริงหรือไม่"
"จริงสิ พระเจ้าข้า"
เวตาลกล่าวด้วยสำเนียงเยาะหยัน
ประชดประชัน
แล้วก็ละจากพระอังสาของพระราชา
ลอยละลิ่วกลับไปสู่ต้นอโศกอันเป็นที่อยู่ของตนทันที
ทำให้พระราชาต้องย้อนกลับไปลากตัวมันมาอีก