เมื่อพระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับมาเอาเวตาลคืนไปแล้ว
ก็เสด็จต่อไปตามเส้นทางเดิม
ระหว่างทางเวตาลผู้นั่งอยู่บนบ่าก็เริ่มขยับตัวและพูดขึ้นว่า
การเดินทางเป็นเรื่องน่าเบื่ออย่างหนึ่ง
ข้าจึงคิดจะแก้เบื่อโดยเล่านิทานถวายอีกเรื่องหนึ่ง
พระองค์น่าจะทรงฟังไว้บ้าง
เรื่องมีมาว่าดังนี้
มีนครใหญ่แห่งหนึ่งชื่อ
วาราณสี
เป็นที่ประทับของพระศิวะบนโลกนี้
ในนครนี้มีพราหมณ์ผู้หนึี่งชื่อว่า
เทวสวามินอาศัยอยู่
เป็นผู้ที่พระราชาเคารพนับถือมาก
พราหมณ์เศรษฐีผู้นี้มีลูกชายคนหนึ่งชื่อ
หริสวามิน
ตัวหริสวามินเองเป็นผู้มีโชคเพราะภรรยามีความงามเป็นเลิศชื่อ
ลาวัณยดี ข้าคิดว่า
พระผู้เป็นเจ้าคงจะทรงสร้างนางขึ้นมาภายหลังจากที่ทรงสร้างนางติโลตตมาขึ้น
พร้อม ๆ กับนางเทพอัปสรอื่น ๆ
ในสวรรค์เป็นแน่
นางจึงงามประเสริฐอย่างหาที่ติมิได้
ราตรีหนึ่ง
หริสวามินนอนหลับอยู่ในปราสาทพร้อมด้วยนางลาวัณยวดีผู้เป็นที่รัก
ในบรรยากาศที่เย็นละไมด้วยแสงจันทร์
ขณะนั้นเองเจ้าชายแห่งวิทยาธรชื่อมทนเวค
ท่องเที่ยวเหาะไปในอากาศ
แลเห็นนางลาวัณยวดีนอนแนบข้างสวามีของนางบนเตียง
มีพัสตราภรณ์อันเลื่อนหลุดโดยไม่รู้ตัว
เปิดเผยให้เห็นร่างงามอรชรและขาอันกลมเรียวสมส่วน
หัวใจของวิทยาธรหนุ่มก็วาบหวานหลงใหลในตัวนางอย่างสุดระงับ
และเพราะความคลั่งไคล้ด้วยแรงเสน่หา
วิทยาธรจึงโฉบลงอุ้มนางพาเหาะไปในอากาศทันที
ฝ่ายหริสวามินรู้สึกตัวตื่นขึ้น
มองไม่เห็นภรรรยาก็ตกใจ
ลุกขึ้นมองหาโดยรอบก็มิได้พบ
รำพันด้วยความตระหนกว่า "นี่มันอะไรกัน
นางหายไปไหน
นางล้อข้าเล่นหรือแกล้งซ่อนตัวกันแน่"
ชายหนุ่มเที่ยวตามหานางตลอดคืนทั่วทุกหนทุกแห่ง
ไม่เว้นแม้แต่บนหลังคาปราสาทและในสวน
เมื่อหาจนสิ้นปัญญาแล้วแต่มิได้พบก็มีความเศร้าโศกยิ่งนัก
ทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง
ทอดอาลัยตายอยาก คร่ำครวญว่า
"อนิจจาเอ๋ย
เจ้าผู้มีพักตร์ดังจันทรมณฑล
ยอดดวงใจของข้า
เจ้าผู้ผ่องละมุนดังแสงศศิธร
ก็ดวงจันทร์นั้นอิจฉาความงามของเจ้าหรือไฉน
จึงพรากนางไปเสียจากข้า
โอ้เจ้าช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน
เจ้าลวงข้าให้หลงใหลในความงามของเจ้า
แล้วไฉนจึงเสียบแทงข้าด้วยศรอาบยาพิษของเจ้า
ทำให้ใจข้าต้องร้อนรนกระวนกระวายถึงเพียงนี้
เจ้าเอายอดดวงใจของข้าไปซ่อนไว้ที่ไหนกันเล่า"
เมื่อหริสวามินคร่ำครวญมิหยุดหย่อนด้วยหัวใจแทบแตกสลายนี้
ราตรีอันยาวนานก็ผ่านไป
และแสงอุษาก็เริ่มฉายจับท้องฟ้าเป็นสัญญาณว่าราตรีนั้นสิ้นแล้ว
เขาและนางคงจะต้องแยกกันแน่นอน
ไม่เหมือนนกจากพราก (ชื่อนกชนิดหนึ่ง
เป็ดแดงหรือเป็ดพราหมณ์ก็เรียก
เป็นนกที่หากินตอนกลางคืน
ตัวผู้กับตัวเมียอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ
ส่งเสียงร้องหากันตลอดทั้องคืน
ถึงเวลาเช้าจึงได้กลับคืนรัง
พบกันอีกครั้งหนึ่ง)
ที่จากกันตลอดคืน
แต่ได้พบคู่ของมันอีกเมื่อสิ้นราตรี
ก็เขาเล่าราตรีที่สิ้นสุดลงจะมีความหมายอะไร
พราหมณ์หนุ่มผู้ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะไฟเสน่หา
ยังพร่ำเพ้อถึงนางมิขาดปาก
แม้บรรดาญาติพี่น้องจะปลอบโยนด้วยประการใด
ๆ ก็ไร้ประโยชน์
หริสวามินผู้เพ้อคลั่งเที่ยวกระเซอะกระเซิงหานางทางโน้นและทางนี้
ปากก็คร่ำครวญว่า "นางเคยยืนตรงนี้
นางเคยสระสนานในที่นี้่
นี่ก็เป็นที่ที่นางแต่งตัว
และที่ตรงนี้นางก็เคยสรวลสันต์หรรษาด้วยความชื่นบานยามที่นางอยู่กับข้า
โธ่เอ๋ย นางหนีข้าไปไหนเล่า"
บรรดาญาติสนิทมิตรสหายแลเห็นเหตุการณ์
ต่างก็พากันเป็นห่วงจึงกล่าวเตือนสติว่า
"จะตีโพยตีพายไปทำไม
นางยังไม่ตายหรอก
เจ้าอย่าคิดฆ่าตัวตายเลย
ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่
เจ้าก็คงจะได้พบนางอีก
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทำใจดี ๆ
ไว้เถอะ ค่อยค้นหานางต่อไป
ในโลกนี้คนที่ตั้งใจจริงเท่านั้นที่จะได้สิ่งอันพึงปรารถนา"
เมื่อหริสวามินได้ยินญาติสนิทมิตรสหายกล่าวดังนั้น
ก็ค่อยมีกำลังใจขึ้น
คิดจะอยู่สู้โลกต่อไปอีก
เพื่อจะได้ติดตามหานางอันเป็นสุดที่รัก
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
กล่าวแก่ตนเองว่า
"ข้าจะบริจาคทุก ๆ
สิ่งที่ข้ามีอยู่ให้แก่พราหมณ์
แล้วจะออกจาริกแสวงบุณย์ไปตามตีรถะ
เพื่อจะได้ชำระบาปให้สิ้นไป
บางทีในระหว่างการธุดงค์ไปในที่ต่าง
ๆ
ข้าอาจจะได้พบสุดที่รักของข้าเข้าสักวันหนึ่ง"
หลังจากที่ใคร่ครวญตามความคิดนี้อยู่ชั่วครู่หนึ่ง
เขาก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำตามที่คิดไว้
วันรุ่งขึ้นเขาก็เชิญพราหมณ์มาเลี้ยงอาหารอันประณีต
เสร็จแล้วก็มอบทรัพย์สินบรรดามีให้แก่พราหมณ์จนหมดสิ้น
โดยมิได้อาลัยไยดีแม้แต่น้อย
หลังจากให้ทานเสร็จแล้ว
เขาก็ออกเดินทางไปนมัสการสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่าง
ๆ
และชำระสระสนานกายตามตีรถะอันมีชื่อสเียงเพื่อขจัดบาปให้สิ้นไป
ในระหว่างที่เดินทางร่อนเร่ไปนั้น
เขาก็ต้องผจญกับความร้อนอันสาหัสจากแสงอาทิตย์ที่แผดกล้าในฤดูครีษมะ
(ฤดูร้อน)
อย่างจะเผาผลาญทุกสิ่งให้วอดวายเป็นผุยผง
สายลมร้อนที่พัดกรรโชกอย่างรุนแรง
ส่งเสียงกึก้องเหมือนเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวดของคู่รักที่ต้องพรากจากกัน
และโหยหากันด้วยหัวใจอันแตกสลาย
บรรดาห้วยหนองคลองบึงที่แลเห็น
ต่างก็เหือดแห้งเพราะแสงอันแรงร้อนของดวงอาทิตย์แผดเผาจนเหลือแต่โคลน
และบรรดาต้นไม้ริมทางก็ยืนต้นเหี่ยวเฉาเหมือนจะไว้อาลัยต่อวสันตฤดู
(ฤดูใบไม้ผลิ) ที่จากไป
หริสวามินเดินโซเซอย่างอ่อนแรงเพราะความร้อน
ความหิวและความกระหายน้ำ
มาตามทางที่ผ่านมา
ที่มิได้เจอผู้คนแม้แต่คนเดียว
ในที่สุด ก่อนจะหมดแรง
เขาก็แลเห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ
แห่งหนึ่งอยู่ข้างหน้า
เมื่อมาถึงก็ได้พบกับพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ
ปัทมนาภ
กำลังทำพิธียัชญะสังเวยเทพอยู่
เมื่อแลเห็นพวกพราหมณ์กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในบ้านของตน
หริสวามินก็เินเข้าไปใกล้
เขาก็เข้าไปยืนเกาเสาประตูบ้านด้วยความอ่อนแรง
ขณะนั้นนางพราหมณีผู้เป็นภรรยาของปัทมนาภแลเห็นเขายืนเกาะเสาแน่วนิ่งไม่ไหวติงก็บังเกิดความสงสาร
รำพึงแต่ตัวเองว่า "อนิจจาเอ๋ย
ความหิวนี้เป็นทุกข์จริงหนอ
ใครจะช่วยบรรเทาได้บ้าง
ดูซิที่ประตูนี้มีคนอดโซคนหนึ่งมายืนเกาะอยู่
ดูท่าจะเป็นคฤหัสถ์เป็นแน่
ดูเขาซิ
ยืนก้มหน้าด้วยความอับอาย
ชะรอยจะเป็นนักเดินทางไกลแน่เทียว
ท่าทางหิวโหยโรยแรงเหมือนอดอาหารมานาน
น่าสังเวชนัก
เราควรจะให้อาหารแก่เขาบ้าง"
เมื่อคิดดังนี้
นางพราหมณีผู้มีใจเมตตาก็เข้าไปในบ้าน
เอาอาหารใส่ชามมาจนเต็ม
คือข้าวที่ต้มด้วยน้ำนม
พร้อมด้วยเนยใสและน้ำตาล
นางยื่นชามข้าวให้แก่เขาและกล่าวว่า
"เอ้านี่ เอาไปกินซิ
ไปนั่งกินริมบึงนั่นแหละ
เพราะที่นี่ไม่เหมาะที่เจ้าจะมานั่งกิน
เพราะพราหมณ์เขากำลังกินอาหารกันอยู่"
หริสวามินแลเห็นก็ดีใจ
รับชามอาหารมาจากนาง
และกล่าวว่า "ข้าจะทำตามท่านว่า"
แล้วเดินไปหาที่นั่งใต้ต้นไทรริมฝั่งน้ำไม่ห่างไกลจากที่นั้น
จัดการล้างมือล้างเท้าและบ้วนปากจนสะอาด
หลังจากนั้นก็นั่งลงบริโภคอาหารด้วยใจยินดี
ขณะนั้นมีเหยี่ยวตัวหนึ่งคาบงูด้วยปาก
และจับไว้แน่นด้วยกรงเล็บ
พาบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ต้นนั้น
ปรากฏว่างูตัวนั้นตายแล้ว
และมีน้ำลายปนพิษไหลหยดลงมาในชามข้างของหริสวามินซึ่งวางอยู่ใต้ต้นไม้พอดี
พราหมณ์หนุ่มไม่ทันสังเกตเพราะกำลังหิวจัด
ก็กินข้าวจนหมดชาม
พิษงูก็ซาบซ่านเข้าสู่ร่าง
ได้รับความเจ็บปวดทรมานเป็นอันมาก
จึงร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า
"อะโห
โชคชะตาของมนุษย์นี่หนอ
เวลาเคราะห์หามยามร้าย อะไร ๆ
ก็หนีไปหมด ดูแต่ในชามนี้สิ
แม้แต่จะปรุงแต่งด้วยของดีเลิศ
คือน้ำนม น้ำตาล และเนยใส
ก็ยังมาเปลี่ยนเป็นยาพิษไปได้"
กล่าวดังนั้นแล้ว
ชายหนุ่มก็กัดฟันลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซไปที่บ้านพราหมณ์ด้วยความลำบากแสนสาหัส
แลเห็นนางพราหมณีผู้ให้อาหารกำลังนั่งอยู่ที่นั้น
ก็กล่าวแก่นางว่า "เมื่อตะกี้ข้ากินข้างของนางเข้าไปปรากฏว่ามียาพิษปนอยู่
ข้าคงจะตายแน่
ช่วยตามหาหมอมารักษาข้าด้วย
เร็ว ๆ นะ ขืนชักช้าข้าตายลง
บาปจะตกแก่เจ้า
เพราะเจ้าทำให้พราหมณ์ถึงแก่ความตาย"
พอจบคำพูด
ยังมิทันจะแก้ไขแต่ประการใด
หริสวามินทนพิษร้ายไม่ไหว
ก็ขาดใจตาย
ทำให้นางพราหมณีตกใจแทบสิ้นสติ
ฝ่ายพราหมณ์ปุโรหิตผู้เป็นสามีของนางเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนั้นก็โกรธจึงขับไล่นางออกจากบ้าน
ทั้ง ๆ
ที่นางเป็นคนบริสุทธิ์และมีใจเมตตากรุณา
นางถูกกล่าวโทษโดยไร้ความผิดเช่นนั้น
ก็มีความเสียใจมาก
เมื่อรู้ว่านางมิได้ทำบาปแม้แต่น้อย
แต่ต้องมาได้รับโทษ
จึงเดินไปยังท่าน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะชำระล้างบาปของตน
ปัญหาของเรื่องที่เกิดนี้ก็คือ
ในบุคคลทั้งสี่ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
เหยี่ยว งู
และพราหมณ์สามีภรรยาทั้งสองนั้น
ใครเป็นผู้ผิดในกรณีการตายของหริสวามิน
เรื่องนี้ยังหาได้มีการเฉลยปัญหาไม่
เวตาลจึงกล่าวขึ้นว่า "ข้าแต่พระราชาตริวกรมเสน
โปรดตอบข้าว่า
ใครเป็นคนผิดในกรณีนี้
ถ้าพระองค์ไม่ทรงตอบก็ขอให้ตระหนักว่า
คำสาปอันใดจะเกิดแก่พระองค์"
เมื่อพระราชาได้ฟังเวตาลทูลบังคับให้ตอบดังนั้น
ก็ทรงเฉลยว่า
"ในเรื่องนี้
จะว่าไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีผู้ผิดเลย
แน่ละสำหรับงูตัวนั้นมันตายสนิทมาก่อนแล้ว
จะทำผิดได้อย่างไร
ถึงแม้เหยี่ยวจะคาบมันมาที่นั่นก็ตาม
ส่วนเหยี่ยวนั้นเล่า
มันคาบเหยื่อของมันมาเพื่อจะกินเป็นอาหารมันจะทำผิดอะไรเล่า
ขณะเดียวกันสองพราหมณ์ผัวเมียก็ไม่ผิด
เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม
คนหนึ่งให้ทานด้วยใจบริสุทธิ์
อีกคนหนึ่งก็ทำถูกจารีต
อะไรผิดอะไรบาปก็ว่ากันไปตามกฏเกณฑ์แห่งศาสนา
เพราะฉะนั้นเขาย่อมไม่ผิด
ตกลงไม่มีใครผิดในกรณีนี้
ตรงกันข้ามข้ากลับมีความคิดว่า
ธรรมดายาพิษไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับใครก็เป็นอันตรายแก่ชีวิตทั้งสิ้น
ไม่เลือกว่าพราหมณ์
หรือคนวรรณะอื่น
ใครเล่าจะโง่เขลาถึงกับจะคิดเลยเถิดหาความผิดในความไม่ผิดได้เล่า"
พอพระราชาตรัสดังนี้
เวตาลก็หัวเราะด้วยความชอบใจ
ผละจากอังสาของพระราชาหายแวบไปสู่สำนักของตนโดยทันที
และพระราชาก็ต้องย้อนกลับไปลากตัวมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง