นิทานเรื่องที่
๒
พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปที่ต้นอโศกอีกครั้งหนึ่งเพื่อจับตัวเวตาล
เมื่อเสด็จไปถึงที่นั้น
ทรงสอดส่ายพระเนตรดูโดยรอบในความมืดอันมีแสงไฟเรือง
ๆ จากจิตกาธานส่องมา
ในที่สุดก็พบศพนั้นนอนหงายอยู่บนพื้นดินกำลังกรนอยู่
จึงเข้าไปจับตัวศพนั้นซึ่งมีเวตาลสิงอยู่ตวัดขึ้นบนบ่า
และรีบดำเนินไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังที่ซึ่งนัดไว้กับโยคีศานติศีล
เวตาลซึ่งแขวนอยู่บนบ่าก็เริ่มกล่าวทำลายความเงียบขึ้นว่า
"โอ ราชะ
ภาระที่พระองค์ต้องทนแบกไว้นี้ช่างสาหัสสากรรจ์เสียจริง
ๆ ไม่เหมาะสมแก่พระองค์เลย
ถ้ากระไรข้าจะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง
เพื่อจะได้ทรงเพลิดเพลิน
ขอให้ทรงฟังเถิด"
บนฝั่งของแม่น้ำยมุนา ณ
ที่แห่งนั้น
เป็นเขตคามที่กำหนดไว้สำหรับพวกพราหมณ์โดยเฉพาะ
มีชื่อว่าหมู่บ้านพรหมสถล
ในหมู่บ้านนี้มีพราหมณ์ผู้หนึ่งอาศัยอยู่
มีชื่อว่า อัคนิสวามิน
เป็นผู้ที่เจนจบในคัมภีร์พระเวททั้งปวง
(คือคัมภีร์ไตรเวท
ประกอบด้วยคัมภีร์ฤคเวท
ยชุรเวท และสามเวท
ต่อมาภายหลังได้เพิ่มเข้าไปอีกคัมภีร์หนึ่ง
คืออถรรพเวท จึงเรียกว่า
จตุรเวท)
พราหมณ์ผู้นี้มีบุตรสาวแสนสวยผู้หนึ่งชื่อว่า
มันทารวดี
ความงามของนางล้ำเลิศหาที่เปรียบมิได้ราวกับเป็นผลงานที่พระพรหมทรงสรรค์สร้างขึ้น
และเมื่อนางได้กำเนิดมาแล้วก็ดูเหมือนว่าท้าวธาดาเธอทรงสิ้นเยื่อใยในเทพอัปสรทั้งปวงโดยสิ้นเชิง
เมื่อนางเจริญวัยเป็นสาวแรกรุ่นนั้นปรากฏว่ามีพราหมณ์หนุ่มสามคนเดินทางมาจากแคว้นกันยกุพชะ
พราหมณ์เหล่านี้เป็นผู้แตกฉานในศาสตร์ทั้งปวงเท่าเทียมกัน
และพราหมณ์แต่ละคนก็มุ่งมาสู่ขอมันทารวดีโฉมงามจากบิดาของนาง
ต่างคนต่างก็สาบานว่าถ้านางแต่งงานกับคนอื่น
ตนก็จะฆ่าตัวตาย
แต่บิดาของนางก็มิได้ยกนางให้แก่ใคร
เพราะเกรงว่าถ้ายกให้คนหนึ่ง
อีกสองคนก็จะฆ่าตัวตายเสีย
ดังนั้นนางจึงคงอยู่เป็นโสดเรื่อยมามิได้คิดแต่งงานกับใคร
และพราหมณ์ทั้งสามก็ยังคงพักอยู่ที่นั่นเรื่อยมา
ทั้งกลางวันและกลางคืนก็เฝ้าแต่มองดูพักตร์ของนางอันงามเปล่งปลั่งราวกับสมบูรณจันทร์
(พระจันทร์เต็มดวง)
ต่างก็ไม่ได้กินไม่ได้นอน
ทำตนราวกับนกจโกระ (นกเขาไฟ
ตามนิยายโบราณกล่าวว่า "ยังชีพอยู่ได้ด้วยแสงจันทร์")
ซึ่งอาศัยแสงจันทร์เป็นอาหารฉะนั้น
ต่อมานางมันทารวดีล้มป่วยเป็นไข้อย่างรุนแรง
นางมิอาจจะทนทานต่อพิษไข้ได้ก็ถึงแก่ความตาย
พราหมณ์หนุ่มทั้งสามมีความเศร้าโศกอย่างยิ่ง
นำร่างอันเป็นศพของนางไปสู่ป่าช้า
สวดให้แก่นางด้วยความรักและเผาศพนางที่จิตกาธาน
พราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งสร้างกระท่อมน้อยขึ้นตรงที่ใกล้
เอาเถ้าถ่านอังคารของนางมาโปรยลงบนเตียงและนอนทับบนพื้น
เขายังชีพไปวันหนึ่ง ๆ
ด้วยการถือกะลาขออาหารกินตามมีตามเกิด
พราหมณ์คนที่สองรวบรวมกระดูกของนางเอาไปทิ้งในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์
ส่วนพราหมณ์คนที่สามถือเพศเป็นโยคีท่องเที่ยวพเนจรไปยังดินแดนต่าง
ๆ
โยคีเดินทางผ่านแว่นแคว้นต่าง
ๆ
เรื่อยมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อวัชรโลก
จึงเข้าไปภิกขาจารที่บ้านพราหมณ์ผู้หนึ่ง
ท่านพราหมณ์ได้ต้อนรับเขาด้วยอัธยาศัยอันดียิ่ง
เขาจึงนั่งบริโภคอาหารในบ้านพราหมณ์ผู้นั้น
ขณะนั้นมีเสียงทารกร้องจ้าขึ้นมาและร้องติดต่อกันไม่หยุด
ไม่มีใครจะห้ามให้หยุดได้
นางพราหมณีผู้เป็นมารดาบันดาลโทสะจึงจับทารกขึ้นมาแล้วโยนโครมลงไปในกองไฟ
เด็กถูกไฟเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
โยคีผู้นั่งกินอาหารอยู่เงียบ
ๆ
แลเห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็ตกใจ
รู้สึกสยดสยองจนขนหัวลุกชัน
ร้องออกมาว่า "พุทโธ่
พุทโธ่เอ๋ย
นี่ข้าเข้ามาในบ้านของพราหมณ์รากษสหรือนี่
ข้าไม่กินอะไรแล้ว
เพราะการเสพอาหารในบ้านของพราหมณ์ปีศาจเช่นนี้เป็นบาปกรรมอย่างมหันต์ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดก็ตาม"
ขณะเมื่อเขากล่าวดังนี้
พราหมณ์ผู้คฤหบดี (เจ้าของบ้าน)
จึงพูดว่า
"อย่าตกอกตกใจไปเลย
ท่านจงคอยดู
ข้าจะชุบชีวิตเด็กคนนี้ขึ้นใหม่
โดยการร่ายมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์
ดูสิ"
เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว
มหาพราหมณ์ก็เดินไปหยิบคัมภีร์มหาเวทอันศักดิ์สิทธิ์มาเปิดออกแล้วสวดมนตร์บทหนึ่ง
ขณะที่สวดอยู่ก็เอาขี้เถ้าโปรยลงในกองไฟ
พอสวดจบลง
เด็กก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่
มีลักษณะและองคาพยพ (อวัยวะ)
เหมือนเดิมทุกประการ
พราหมณ์อาคันตุกะเห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้นก็ค่อยคลายใจ
ลงมือเสพอาหารต่อไปตามปกติ
พราหมณ์เจ้าของบ้านเมื่อร่ายมนตร์เสร็จแล้ว
ก็เอาคัมภีร์ไปเก็บไว้ที่เดิม
ลงมือกินอาหารเสร็จแล้วก็เข้านอนในราตรี
พราหมณ์อาคันตุกะก็กระทำเช่นเดียวกัน
พอเห็นพราหมณ์เจ้าของบ้านและภรรยานอนหลับแล้ว
โยคีหนุ่มก็ลุกขึ้นค่อย ๆ
ย่องไปที่เก็บคัมภีร์และหยิบเอาไป
ตั้งใจจะเอาไปใช้ชุบชีวิตให้แก่นางมันทารวดีผู้เป็นที่รัก
โยคีหนุ่มออกจากบ้านนั้นไปพร้อมด้วยคัมภีร์มหาเวท
รีบเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
มุ่งกลับไปยังสุสานที่ตนและพรรคพวกช่วยกันเผาศพนางครั้งนั้น
พอมาถึงป่าช้าก็แลเห็นพราหมณ์คนที่สองเดินทางกลับมาแล้วหลังจากที่เอาอัฐิของนางไปโยนแม่น้ำคงคาเพื่อให้นางไปสู่สุคติ
และที่สุสานนั้นเช่นกันก็แลเห็นพราหมณ์ผู้เอาอังคารธาตุของนางมาโปรยนอน
กำลังหลับอยู่ในกระท่อมที่สร้างไว้
จึงพูดกับพราหมณ์สหายให้รื้อกระท่อมทิ้งเสีย
เพื่อตนจะได้ทำพิธีร่ายมนตร์มฤตสัญชีวินี
(มนตร์ชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีวิต
พระศุกร์ได้มาจากพระศิวะและสืบต่อกันมาถึงคนรุ่นหลัง)
ชุบชีวิตนางขึ้นใหม่
เมื่อรื้อกระท่อมทิ้งแล้วเถ้าถ่านของนางก็ตกเรี่ยรายอยู่บนพื้นดิน
โยคีหนุ่มเมื่อเห็นทุกสิ่งพร้อมแล้วก็เปิดคัมภีร์ร่ายมนตร์อันศิกดิ์สิทธิ์พร้อมกับโปรยฝุ่นลงไปบนพื้นดินผสมผสานกับเถ้าถ่าน
มินานพอจบมนตร์ดังกล่าวก็ปรากฎร่างนางมันทารวดีขึ้นในกองไฟ
นางก้าวออกมาจากกองไฟพิธีด้วยรูปโฉมอันเปล่งปลั่งงดงามยิ่งกว่าเดิม
ราวกับทองคำที่ถูกไฟชำระแล้วมีความสุกปลั่งผุดผ่องฉะนั้น
เมื่อพราหมณ์ทั้งสามแลเห็นนางมันทารวดีผู้งามเฉิดฉายราวเทพอัปสรปรากฏเฉพาะหน้า
ต่างคนต่างก็แทบจะคลั่งตายเพราะความรัก
และต่างก็ทุ่มเถียงแก่งแย่งกรรมสิทธิ์ในตัวนางด้วยกัน
ไม่มีใครยอมเสียสละแก่กัน
พราหมณ์ผู้เป็นโยคีกล่าวว่า
"นางต้องเป็นของข้าเพราะข้าเป็นคนร่ายมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ชุบนางขึ้นมาจากความตาย
ข้าย่อมมีสิทธิ์ในตัวนาง"
พราหมณ์คนที่สองเถียงว่า "นางควรเป็นของข้าเพราะข้าเป็นคนเอาอัฐิของนางไปโปรยลงในแม่น้ำคงคา
ทำให้นางสะอาดบริสุทธิ์ด้วยสายน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นั้น"
และพราหมณ์คนที่สามก็กล่าวขึ้นอย่างเชื่อมั่นเต็มที่ว่า
"ข้าเท่านั้นที่ควรจะได้นางเป็นภรรยา
เพราะข้าเอาเถ้าถ่านของนางมาเก็บไว้และบำเพ็ญตบะเพื่อนางทุกวัน"
"โอ ราชะ" เวตาลกล่าวยิ้ม ๆ
"โปรดตัดสินทีเถอะ
ว่าในสามคนนี้นางควรจะเป็นของใคร
ถ้าพระองค์รู้แล้วแกล้งไม่ตอบ
พระเศียรของพระองค์จะต้องแยกเป็นเสี่ยง
ๆ"
ฝ่ายพระเจ้าตริวิกรมเสนเมื่อได้ยินเวตาลพูดดังนั้นจึงตรัสว่า
"ชายคนที่ร่ายมนตร์ทำให้นางคืนชีวิตขึ้นมานั้น
ถึงแม้เขาจะต้องใช้ความสามารถและลำบากลำบนปานใด
ก็ควรจะเป็นพ่อของนางเท่านั้น
และพราหมณ์คนที่เอาอัฐิของนางไปสู่แม่น้ำคงคาก็ควรจะถือว่าเป็นลูกของนางอย่างเดียว
ส่วนพราหมณ์ที่เก็บเถ้าถ่านของนางและคงอยู่ที่ป่าช้าถึงกับสร้างที่อยู่ตรงที่เผาศพนาง
และบำเพ็ญตบะเพื่อนางนั่นต่างหาก
ควรจะได้เป็นสามีของนางโดยแท้
เพราะเขาอยู่กับนางตลอดเวลามิได้ทอดทิ้งนางไปไหน
แสดงความรักอันดื่มด่ำต่อนางแม้เพียงนอนบนเถ้าธุลีของนางโดยมิได้รังเกียจ"
เมื่อเวตาลได้ฟังพระเจ้าตริวิกรมเสนตรัส
ดังนั้น
เป็นการละเมิดสัญญาที่ตกลงกัน
จึงอันตรธานจากบ่าของพระราชากลับไปที่อยู่ของตน
แต่พระราชาก็ต้องทนลำบากติดตามหาตัวมันอีก
ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงถือมั่นในสัจจะที่ให้ไว้แก่โยคีศานติศีล
และบุคคลที่มีสัจจะเช่นพระองค์นั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ย่อมจะปฏิบัติเหมือนกันหมด
คือต้องทำภาระของตนให้สำเร็จลุล่วงไป
ไม่ว่าจะต้องทนลำบากแม้ใหญ่หลวงเพียงไร
|