พระวีรกษัตริย์ตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปที่ต้นอโศกอีกครั้งหนึ่งเพื่อจับตัวเวตาลเอามา
ณ
ที่นั้นได้แลเห็นซากศพที่มันสิงอยู่ห้องหัวบนกิ่งอโศก
จึงปีนขึ้นไปจับตัวมันพาดไหล่
แล้วเสด็จกลับไปตามทางเดิม
ระหว่างทางอันเงียบสงัด
เวตาลได้ถือโอกาสกล่าวขึ้นว่า
"ข้าแต่วิศามบดี"
ข้ารู้สึกประหลาดใจมากที่แลเห็นพระองค์สู้ทนความลำบากเสด็จกลับไปมากลับมาหลายเที่ยว
เพื่อจะทำธุระให้แก่คนอื่นโดยใช่เหตุ
ข้าจึงคิดว่าจะเล่านิทานสนุก
ๆ สักเรื่องหนึ่งถวาย
เพื่อเป็นเครื่องปลอบพระทัย
ขอทรงฟังเถิด"
แต่ปางบรรพ์มีพระนครอันใหญ่และสวยงามชื่อปาฏลีบุตร
มีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่ง
ทรงนามว่าพระเจ้าวิกรมเกศริน
ซึ่งทรงมีคุณธรรมอันไพศาล พอ
ๆ
กับท้องพระคลังของพระองค์ซึ่งอุดมด้วยมณีรัตนนับไม่ถ้วน
พระองค์มีนกแก้วตัวหนึ่ง
ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดอย่างอัศจรรย์ราวกับเทพยดาเข้าดลใจแลมีความชำนิชำนาญในศาสตร์ทั้งปวง
เหตุที่มันต้องมาเกิดเป็นนกในชาตินี้ก็เพราะมันถูกสาปด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
นกแก้วตัวนี้มีชื่อว่าวิทัคธจูฑามณี
มันได้ทูลแนะนำพระองค์ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงผู้ทรงศักดิ์แห่งแคว้นมคธชื่อจันทรประภา
เจ้าหญิงเองก็ทรงเลี้ยงนกไว้เป็นคู่พระทัยตัวหนึ่งเป็นนกขุนทองตัวเมียมีชื่อว่า
โสมิกา
เป็นนกที่เจนจบในวิชาการต่าง
ๆ
ทั้งนกแก้วและนกขุนทองถูกเลี้ยงไว้ในกรงทองกรงเดียวกันราวกับเป็นคู่ผัวเมียฉะนั้น
วันหนึ่งนกแก้วเกิดความกำหนัดในนางนกโสมิกาจึงกล่าวแก่นางว่า
"มาแต่งงานกับข้าเถิด
เจ้ารูปงาม ไหน ๆ
เราก็หลับนอนและได้รับการเลี้ยงดูในกรงเดียวกันแล้ว"
นางนกขุนทองได้ฟังก็ตอบว่า
"อย่าเลย
ข้าไม่เคยพิศวาสในผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น
เพราะขึ้นชื่อว่าผู้ชายแล้วล้วนแต่ชั่วช้าและใจร้าย"
ทั้งสองต่างก็โต้เถียงกันอย่างไม่ลดละ
ในที่สุดเกิดท้าทายและพนันกันว่า
ถ้านกแก้วชนะจะได้นกขุนทองเป็นเมีย
และถ้านางนกขุนทองชนะ
นกแก้วจะต้องกลายเป็นทาสของนางตลอดไป
เมื่อตกลงกันดังนี้แล้วก็พากันไปเฝ้าเจ้าชาย
ทูลเรื่องให้ฟังและขอให้ตัดสินอย่างยุติธรรม
ขณะนั้นเจ้าชายประทับอยู่ในท้องพระโรงธารกำนัลของพระราชบิดา
เมื่อได้ฟังคดีวิวาทของนกทั้งสอง
จึงตรัสแก่นางนกโสมิกาว่า
"เจ้าจงเล่าให้ข้าฟังสิว่า
เหตุใดจึงว่าผู้ชายเป็นคนอกตัญญู"
นางนกได้ฟังดังนั้นก็กล่าวว่า
"ขอทรงฟังเถิด"
แล้วก็ลงมือเล่าเรื่องประกอบข้อกล่าวหาของตนดังต่อไปนี้
(เรื่องแทรกของนางนกโสมิกา)
พระเจ้าข้า
ในสมัยโบราณมีพระนครชื่อ
กามันทกี
ในเมืองนี้มีพ่อค้าคนหนึ่งร่ำรวยมาก
มีชื่อว่า อรรถทัตต์
พ่อค้ามีลูกชายอยู่เพียงคนเดียวชื่อ
ธนทัตต์
เมื่อไวศยะผู้เศรษฐีถึงแก่กรรมลง
ลูกขายก็ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย
ผลาญทรัพย์ที่มีอยู่แม้มากมายมหาศาลให้หดเหี้ยนไป
ธนทัตต์คบเพื่อนที่ล้วนแต่ชั่วช้าเลวทราม
ซึ่งคนชั่วเหล่านี้ได้ชักจูงให้เขาประพฤติชั่วต่าง
ๆ มีการเล่นการพนันและอื่น ๆ
ต่อมามิช้าทรัพย์สมบัติก็มลายไปหมด
ชายหนุ่มมีความละอายที่กลายเป็นคนยากจนเพราะรักษาสมบัติของตัวเองไม่ได้
จึงละถิ่นฐานบ้านเรือนออกตุหรัดตุเหร่ไปในดินแดนต่าง
ๆ
ในระหว่างทางที่ผ่านไป
ชายหนุ่มมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง
ชื่อจันทนปุระ
และบังเกิดความหิวโหยเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง
จึงเข้าไปในบ้านนายวาณิชผู้หนึ่งเพื่อขออาหารกิน
และราวกับโชคบันดาลให้เป็นไป
เผอิญพ่อค้าผู้นั้นไม่มีบุตรชายและเห็นธนทัตต์เป็นชายหนุ่มรูปงามท่าทางเป็นผู้ดีมีสกุล
ก็บังเกิดความสนใจ
จึงไต่ถามเรื่องราวความเป็นมาของเขา
เมื่อได้ทราบว่าเป็นไวศยะเหมือนกับตน
นายวาณิชผู้เฒ่าก็รู้สึกยินดีจึงรับชายหนุ่มไว้เป็นบุตรบุญธรรม
และยกธิดาชื่อรัตนวลีให้เป็นภรรยาอีกด้วย
ธนทัตต์ก็อยู่บ้านพ่อตามีความสุขสำราญตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
กาลเวลาผ่านไป
ธนทัตต์ผู้อยู่บ้านพ่อตาอย่างสุขสบาย
มีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือก็เกิดความดิ้นรนขึ้นมาอีก
คิดจะกลับบ้านเดิมเพื่อจะเอาทรัพย์ไปเล่นการพนันให้สนุกตื่นเต้นตามนิสัยสันดานเดิมของตนซึ่งอดไม่ได้
จึงขออนุญาตพ่อตาเดินทางกลับบ้านเดิมและพาภรรยาไปด้วย
นายวาณิชเฒ่ามีบุตรสาวเพียงคนเดียวก็มีความอาลัยไม่อยากจะให้ไป
แต่เมื่อขัดไม่ได้ก็จำใจต้องให้ตามสามีไป
นางแต่งเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ไปเต็มที่
มีพี่เลี้ยงเฒ่าติดตามไปเป็นเพื่อน
ทั้งสามคนก็ออกเดินทางไป
หลังจากที่เดินมาพักใหญ่ถึงป่าเปลี่ยว
ซึ่งน่าจะเป็นที่อยู่ของพวกโจร
ขายหนุ่มจึงกล่าวแก่นางผู้ภรรยาว่า
เพื่อความปลอดภัยขอให้นางถอดเครื่องประดับมามอบให้ตนดูแล
เพราะถิ่นนี้เป็นถิ่นโจร
เมื่อได้รัตนาภรณ์อันมีค่ามาแล้ว
ชายชั่วก็เก็บเข้ารวมกับห่อสมบัติของตนอนิจจาเอ๋ย
ขอให้ตรองดูเดิดว่าเจ้าผัวจำแลงนี้มันชั่วชาติเพียงไร
มันติดการพนันจนโงหัวไม่ขึ้น
คนอย่างนี้ใจแข็งและคมกริบเหมือนดาบ
เจ้าโจรใจฉกาจเมื่อหลอกได้ทรัพย์ของภรรยาแล้ว
ก็คิดจะฆ่านางเสียเพื่อปิดปาก
จึงผลักนางกับแม่เฒ่าลงไปอยู่ในเหวแล้วรีบเดินทางต่อไป
หญิงชรานั้นตายในเหวแต่นางบุตรสาวเศรษฐีหาได้ตายไม่
เพราะเมื่อตกลงไปในเหวนั้น
เผอิญนางตกลงไปบนซุ้มไม้เลื้อยที่เกี่ยวพันกันราวกับลงไปอยู่ในตาข่าย
นางจึงรอดชีวิตไป
นางค่อยไต่เชิงเถาวัลย์ขึ้นมาจนถึงปากเหว
มีความรู้สึกเหนื่อยอ่อนแทบจะขาดใจ
นางค่อยลัดเลามาจนถึงทางที่นางผ่านมา
และล้มลุกคุกคลาน
โซซัดโซเซมาตามทางจนในที่สุดกลับมาถึงบ้านโดยปลอดภัย
แต่ร่างกายของนางฟกช้ำดำเขียวเจ็บระบมไปหมด
เมื่อนางกลับมาถึงบ้าน
บิดามารดาของนางตกใจมาก
ไต่ถามสาเหตุด้วยความสงสัย
นางผู้มีคุณธรรรมจึงกลับเรื่องเสียใหม่โดยกล่าวแก่บิดามารดาว่า
"พวกเราถูกโจรปล้นระหว่างทาง
สามีของลูกถูกโจรมันจับมัดลากเอาตัวไป
ยังไม่รู้ชะตากรรมเลย
แม่เฒ่าถูกฆ่าตาย
แต่ลูกรอดชีวิตมาได้เพราะเมื่อถูกเหวี่ยงลงเหวนั้น
เผอิญตกไปค้างอยู่บนซุ้มไม้เลื้อยจึงไต่ขึ้นมาได้
ถึงปากเหวก็สลบเหมือด
แต่นักเดินทางกลุ่มหนึ่งช่วยเอาไว้
โชคยังดีอยู่จึงกลับมาถึงบ้านได้"
เมื่อนางรัตนาวลีเล่าเรื่องจบ
เศรษฐีผู้เป็นบิดาและมารดาก็กล่าวปลอบโยนนางต่าง
ๆ
มิให้เสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้น
เพราะการที่นางเอาชีวติรอดมาได้ก็นับว่าโชคช่วยอย่างมากแล้ว
นางอยู่ในบ้านพ่อแม่เรื่อยมา
แต่ไม่มีความสุขนักเพราะเฝ้าแต่คิดถึงสามีอันเป็นที่รักไม่เว้นวาย
ฝ่ายธนทัตต์ผู้สามีซึ่งเดินทางกลับไปเมืองที่ตนเคยอาศัยอยู่พร้อมด้วยทรัพย์สินของภรรยานั้น
ต่อมามิช้าเขาก็ถลุงเงินจนหมดเกลี้ยงด้วยการเล่นการพนันอย่างหามรุ่งหามค่ำ
และปรนเปรอตัวเองด้วยของกินชนิดเลิศและสุรานารีไม่เว้นแต่ละวัน
เมื่อเงินหมดก็คิดหาทางที่จะแสวงหาอีก
โดยมีความคิดว่า "เราจะกลับไปบ้านพ่อตา
อ้อนวอนขอเงินเขามาสัก้อนหนึ่งเอาไปทำทุน
เราจะบอกแก่เขาว่า
ลูกสาวของเขายังพักอยู่ที่บ้านของเรา
มิได้เอามาด้วย"
เมื่อทำกำหนดแผนการเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มก็เดินทางไปที่บ้านพ่อตา
พอเข้าประตูบ้านภรรยาของเขาแลเห็นแต่ไกลก็ดีใจ
วิ่งมาต้อนรับและทรุดตัวลงคารวะอย่างนอบน้อม
ทั้งที่รู้อยู่ว่าเขาเป็นโจรใจอำมหิต
ความจริงก็เป็นดังนี้แหละ
ผู้หญิงดีนั้นแม้ผัวจะชั่วชาติสักปานใด
นางก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเคารพรัก
ที่นางมีต่อเขา
เมื่อเห็นนางวิ่งเข้ามหาโดยไม่คาดฝัน
ชายหนุ่มก็ตกใจแทบสิ้นสติ
แต่นางก็กล่าวปลอบโยนเขาให้คลายใจ
โดยกล่าววว่า
นางได้สร้างเรื่องโกหกแก่บิดมารดาของนางว่า
นางถูกโจรปล้นจับเอาตัวสามีไปและผลักนางตกเหว
แต่นางเอาชีวิตรอดมาได้และยังไม่รู้ชะตากรรมของสามีว่าเป็นอย่างไร
เมื่อชายหนุ่มได้ฟังก็หายวิตก
เข้าไปสู่บ้านพ่อตาแม่ยายของตนพร้อมด้วยภรรยา
ข้างพ่อตาแม่ยายแลเห็นเข้า
ก็ดีอกดีใจที่ลูกเขยกลับมาได้
จึงเรียกประชุมญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงจัดการฉลองอย่างใหญ่โตเป็นการรับขวัญลูกเขย
และประกาศว่า "ช่างน่ายินดีนี่กระไรที่ลูกเขยของเราถูกโจรจับไปแต่หนีรอดมาได้ในที่สุด"
หลังจากนั้นธนทัตต์ก็อาศัยอยู่กับนางรัตนาวลีในบ้านพ่อตาแม่ยายด้วยความสุข
มีเงินทองใช้อย่างอุดมสมบูรณ์
แต่เจ้าประคุณเอ๋ย
คืนหนึ่งอ้ายคนชั่วเห็นได้โอกาสก็แอบฆ่าภรรยาของตนตอนที่นางหลับอยู่
กวาดเอาทรัพย์สินและของมีค่าต่าง
ๆ หนีกลับไปสู่ถิ่นเดิมของตน
มีชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ
ไม่มีใครได้ข่าวคราวอีกนับแต่นั้น
"ฉะนั้นเราอาจจะกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า
ผู้ชายมันก็ชั่วเหมือนกันทั้งโลกนั่นแหละ"
นางนกขุนทองสรุปทิ้งท้ายอย่างแค้นเคือง
พระราชาจึงหันมาตรัสแก่นกแก้วว่า
"คราวนี้ถึงทีเจ้าแล้วละ
มีอะไรจะเถียงไหม"
นกแก้วได้ยินก็กล่าวว่า "โอ
เทวะ ขึ้นขื่อว่าผู้หญิงแล้ว
ล้วนมีจริตเหลือที่จะทนทาน
เป็นคนทุศีล
และชั่วช้าสามานย์เหมือนกันหมด
ขอได้โปรดสดับเรื่องราวที่ข้าพระบาทจะเล่าถวายดังต่อไปนี้"
(เรื่องแทรกของนกแก้ว
วิทัคธจูฑามณี)
มีนครหนึ่งชื่อหรรษวดี
ในนครนี้มีไวศยะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่งมีชื่อว่า
ธรรมทัตต์
มีทรัพย์หลายสิบโกฏิ
พ่อค้าผู้นี้มีธิดาคนหนึ่งชื่อ
วสุทัตตา
มีความงามหาที่เปรียบมิได้
เป็นที่รักของบิดาปานชีวิต
ต่อมาเศรษฐีจัดการแต่งนางกับพ่อค้าหนุ่มผู้มั่งคั่งชื่อ
สมุทรทัตต์
ซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกันทั้งทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติอันงามพร้อม
เป็นที่ต้องตาของสตรีทั้งหลายซึ่งทอดสายตาให้ด้วยความหลงใหลราวกับนกจโกระที่คลั่งไคล้ต่อแสงจันทร์ฉะนั้น
ไวศยะหนุ่มผู้นี้มาจากเมืองตามรลิปติ
ซึ่งเป็นแหล่งของคนดีมีเกียรติยศทั้งหลาย
ครั้งหนึ่งนางวสุทัตตตาพักอยู่ที่บ้านพ่อของนางในขณะที่สามีกลับไปทำธุรกิจในแว่นแคว้นของตน
นางแลเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินทางมาแต่ระยะไกล
ชายผู้นั้นมีความงดงามมาก
บังเกิดความพิศวาสหลงใหลด้วยอำนาจของมาร
(ผู้เฒ่า
เป็นฉายานามของกามเทพ)
จึงแอบเชื้อเชิญเขาอย่างลับ
ๆ และทำเขาให้เป็นชู้ของนาง
หลังจากนั้นนางก็แอบมาพบเขาทุก
ๆ คืน
มีความคลั่งไคล้แต่ชายชู้ผู้เดียวโดยมิเสื่อมคลาย
ครั้นแล้ววันหนึ่ง
สามีของนางก็กลับมาจากเมืองของเขา
การปรากฏตัวของเขายังความปลาบปลื้มแก่บิดามารดาของนางอย่างยิ่ง
ต่างก็ต้อนรับเขาอย่างกุลีกุจอ
ในวันแห่งความรื่นรมย์นั้น
แทนที่นางจะสดชื่นรื่นเริง
กลับไม่พูดอะไรกับสามีเลย
และเมื่ออยู่สองต่อสองกับนาง
นางก็แกล้งทำเป็นหลับ
ไม่ไยดีต่อสามี
ในใจนางมีแต่ความโหยไห้คิดถึงแต่หนุ่มชายชู้เท่านั้น
ส่วนสามีของนางมึนเมาไม่ได้สติเพราะเสพสุรา
ประกอบกับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพราะการเดินทางมาตลอดวันทำให้เขาม่อยหลับไป
ขณะนั้นมีโจรคนหนึ่งแอบเจาะช่องกำแพงเล็ดลอดเข้ามาในบ้าน
ประจวบกับนางวสุทัตตาลุกขึ้นจากเตียง
แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอันงดงาม
ประดับดัวยรัตนาภรณ์แพรวพราวระยับเดินออกมาจากห้องนอนโดยไม่ทันเห็นโจร
มุ่งหน้าออกไปยังสถานที่ที่นางนัดไว้กับชายชู้
เมื่อโจรแลเห็นนางรีบลุกลี้ลุกลนออกไปก็สงสัย
กล่าวแก่ตนเองว่า "นางผู้นี้ออกไปจากห้องในเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแต่งตัวงดงามด้วยปิลันธนาภรณ์อันมีค่าซึ่งเราตั้งใจจะเข้ามาขโมยพอดี
ดีละเราจะสะกดรอยดูว่านางจะไปไหน"
เมื่อโจรตั้งใจดังนี้แล้วก็แอบออกไปจากห้องติดตามนางวสุทัตตาไปโดยมิให้คลาดสายตา
และนางไม่ทันสังเกต
นางวสุทัตตาถือช่อดอกไม้และของขวัญอันมีค่าเดินออกจากบ้านไป
มีโจรติดตามไปอย่างลับ ๆ
เข้าไปสู่อุทยานแห่งหนึ่งนอกพระนครออกไปไม่ไกลนัก
ที่อุทยานั้นเอง
นางได้เห็นชู้รักของนางถูกแขวนคอห้อยอยู่กับกิ่งไม้ด้วยเชือกเส้นหนึ่ง
เนื่องจากราชบุรุษ(ตำรวจ)
มาพบเขาด้อม ๆ มอง ๆ
อยู่ในสวนในเวลากลางคืน
จึงจับเขาแขวนคอเป็นการลงทัณฑ์เพราะคิดว่าเขาเป็นขโมย
นางซวนกายผงะหงายด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ
ร้องออกมาว่า "ฉิบหายแล้วเรา"
พร้อมกับทรุดกายลงนั่งกับพื้นดินร่ำไห้ด้วยความรักและเสียดาย
เมื่อค่อยสร่างโศกได้สติขึ้นนางจึงปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้
แก้เชือกออกปล่อยร่างชู้รักลงไปบนพื้น
แล้วลงมายกศพของเขาขึ้นวางในท่านั่งแล้วลูบไล้ร่างกายของเขาด้วยวิเลปนะของหอม
และประดับด้วยบุปผามาลัยอันวิจิตร
และถึงแม้ร่างของเขาจะปราศจากชีวิตแล้ว
นางก็ยังโอบกอดเขาไว้ด้วยความเสน่หา
ร่ำไห้เหมือนใจจะขาด
และในความโศกรันทดนั้นเอง
นางจับหน้าของเขาให้เงยขึ้นและประจงจูบอย่างทะนุถนอม
ขณะนั้นเวตาลเข้าสิงศพอยู่
เห็นนางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก็กัดจมูกนางในทันที
นางวสุทัตตาตกใจรีบผละหนีไป
แต่แล้วก็เกิดความงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก
จึงเดินกลับมาใหม่เพื่อจะดูให้แน่ว่าชู้รักของนางยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
ครั้นเห็นเวตาลละร่างไปแล้ว
และร่างนั้นตายสนิทเคลื่อนไหวต่อไปอีกไม่ได้
นางก็ผละจากศพนั้นเดินทางกลับไปบ้าน
ร้องไห้ด้วยความกลัวและอัปยศอดสู
ระหว่างนั้นโจรซึ่งแฝงกายแอบดูอยู่
ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็กล่าวแก่ตัวเองว่า
"นางหญิงชั่วมาทำอะไรที่นี่
อนิจจา
จิตใจของผู้หญิงนี้ช่างน่ากลัวและดำราวกับความมืดของบ่อน้ำลึกสุดหยั่งที่ใครตกลงไปแล้วไม่มีวันจะได้กลับขึ้นมาได้อีก
เราสงสัยนักว่านางจะทำอย่างไรนับแต่นี้"
หลังจากรำพึงดังนี้แล้ว
โจรก็แอบย่องตามนางกลับไปทางเดิมด้วยความพิศวงว่านางจะแก้สถานการณ์ด้วยวิธีใด
นางวสุทัตตากลับไปถึงบ้านก็ตรงเข้าไปในห้องนอน
เห็นสามียังหลับอยู่ก็ทำตีอกชกหัวร้องไห้ร้องห่ม
แผดเสียงว่า "ช่วยด้วย
ช่วยด้วย
ไอ้คนชาติชั่วผัวเลวทรามมันกัดจมกูข้าขาดแล้ว
ข้าไม่ได้ทำความผิดอะไรแม้แต่สักนิด"
ฝ่ายสามีของนางพร้อมด้วยพ่อตาและบรรดาคนใช้ได้ยินเสียงนางร้องตะโกนดังนั้น
ต่างตกใจตื่นและวิ่งกรูกันมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
บิดานางวสุทัตตาแลเห็นลูกสาวของนางที่ถูกกัดมาใหม่
ๆ
ก็ปักใจเชื่อว่าเป็นการกระทำของลูกเขยตน
จึงให้บ่าวไพร่ช่วยกันจับตัวมัดและกล่าวหาว่าชายผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนทำร้ายธิดาของตน
ฝ่ายสมุทรทัตต์ถึงแม้จะถูกมัดและถูกกล่าวหาดังนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยมิได้ตอบโต้แต่ประการใด
ราวกับเป็นใบ้
พ่อตาและคนอื่น ๆ
ต่างก็หันหลังให้แก่เขาด้วยความชิงชัง
เมื่อนายโจรได้เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนั้นก็ค่อย
ๆ เลี่ยงหลบไปเงียบ ๆ
และเมื่อคืนแห่งความโกลาหลดังกล่าวได้ผ่านไปแล้ว
ถึงเวลาเช้าบุตรไวศยะก็ถูกลากตัวไปเฝ้าพระราชาพร้อมด้วยนางผู้ภรรยาซึ่งมีจมูกโหว่เพราะถูกกัด
เมื่อพระราชาได้ฟังเรื่องราวฟ้องร้องดังนั้น
มิทันได้พิจารณาโดยรอบคอบก็สั่งให้เพชฌฆาตนำตัวบุตรพ่อค้าไปประหารในข้อหาว่า
ทำร้ายภรรยาของตนให้พิการ
ทั้งนี้โดยมิฟังข้อแก้ตัวใด
ๆ เลย
ขณะที่ชายหนุ่มถูกนำตัวไปยังตะแลงแกงเพื่อประหารชีวิต
และกลองตีรัวเป็นสัญญาณนั้น
ก็มีโจรผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นและกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้เป็นราชบุรุษว่า
"ท่านไม่ควรจะประหารชายผู้นี้เพราะเขามิได้กระทำผิดเลยสักนิด
ข้าเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดแต่ผู้เดียว
พาข้าไปเฝ้าพระราชาโดยเร็วเถิดเพื่อจะได้ทูลความจริงให้ทรงทราบ"
เมื่อได้ยินโจรเล่าวดังนั้น
บรรดาราชบุรุษก็พาโจรไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน
เมื่อได้รับราชานุญาตแล้ว
โจรก็กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบโดยตลอดตั้งแต่ต้น
และกล่าวเสริมว่า "ถ้าพระองค์ไม่เชื่อข้าพระบาทก็โปรดทอดพระเนตรจมูกของผู้หญิงคนนี้ในปากของศพชายชู้ของนางเถิด"
พระราชาได้ฟังดังนั้นก็ส่งราชบุรุษไปดูสถานที่เกิดเหตุก็ได้ทราบความจริงจึงกลับคำพิพากษาให้งดโทษประหาร
แต่สั่งให้เนรเทศหญิงชั่วไปให้พ้นแว่นแคว้น
พร้อมกับตัดใบหูเสียงทั้งสองข้าง
ยิ่งกว่านั้นยังโปรดให้ริบทรัพย์ของผู้เป็นบิดานางเสีย
และสำหรับนายโจรนั้น
พระราชาทรงโปรดปรานว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดและกล้าหาญจึงตั้งให้เป็นหัวหน้าตุลาการของพระนคร
"ได้โปรดเกล้า
ทรงเห็นหรือยังว่าผู้หญิงนั้นโดยธรรมชาติเป็นคนชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์แสนกลเพียงใด"
นกแก้วกล่าวสรุปในที่สุด
พอเล่าเรื่องจบลง
นกแก้วก็พ้นจากคำสาปของพระอินทร์
กลายร่างเป็นคนธรรพ์รูปงามชื่อ
จิตรรถ เหาะไปสู่สรวงสวรรค์
ขณะเดียวกันคำสาปของนางนกขุนทองก็เสื่อมลง
นางนกโสมิกาก็กลายร่างเป็นนางเทพอัปสรชื่อ
ติโลตตมา
กลับคืนไปถวายการบำเรอท้าววัชรินทร์ในสวรรค์เช่นเดิม
อย่างไรก็ดี
กรณีพิพาทของนกทั้งสองก็ยังไม่ได้ตัดสินในท้องพระโรง
เมื่อเวตาลเล่าเรื่องจบลง
ก็กล่าวแก่พระราชาว่า "ขอพระองค์โปรดทรงวินิจฉัยด้วยเถิดว่า
ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงพูดถูก
ถ้าพระองค์ทราบแล้วมิแสดงความเห็น
พระเศียรของพระองค์ก็จะต้องแตกเป็นเสี่ยง
ๆ โดยพลัน"
ฝ่ายพระราชาเมื่อถูกเวตาลซึ่งห้อยอยู่บนบ่ากล่าวถ้อยคำดังนั้นก็ตรัสว่า
"นางจอมมายาหญิงในเรื่องของนกแก้วนั่นแหละเป็นหญิงที่ชั่วช้าที่สุด
เพราะว่าผู้ชายอาจจะหลงทำผิดได้ชั่วครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ผู้หญิงนั้นว่าโดยความจริงเป็นคนชั่วในทุกโอกาส"
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนี้
เวตาลก็หลุดลอยหนีไปจากพระอังสาของพระองค์
กลับไปยังที่เดิม
และพระราชาก็ต้องเสด็จย้อนไปทางเดิมเพื่อไปจับตัวเวตาลกลับมาใหม่