พระเจ้าตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปที่ต้นอโศก
แลเห็นซากศพที่เวตาลเข้าสิงห้อยอยู่บนกิ่งไม้จึงขึ้นไปลากตัวลงมา
และหลังจากที่ทรงบริภาษเวตาลแล้วก็รีบเสด็จกลับไปทางเดิมเพื่อมุ่งไปสู่จุดที่หมาย
แต่ในขณะที่ดำเนินไปตามทางที่นำไปสู่สุสานของโยคีในราตรีนั้น
เวตาลซึ่งเกาะอยู่บนอังสาของพระราชาก็กล่าวขึ้นว่า
"ราชะ
พระองค์ช่างอดทนในภาระนี่กระไร
ข้าเห็นพระองค์ครั้งแรกก็รู้สึกชอบเสียแล้ว
ข้าจะเล่านิทานให้ทรงฟังสักเรื่องหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องบันเทิงพระทัย
โปรดสดับเถิด"
ในพระนครอุชชยินี
มีพราหมณ์ที่มีชื่่อเสียงโด่งดังผู้หนึ่งเป็นราชเสวกและมนตรีของพระราชาปุณยเสน
มีชื่อว่าหริสวามิน
พราหมณ์มีภรรรยาที่เป็นหญิงมีตระกูลเสมอกันและมีบุตรชายคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปงามชื่อ
เทวสวามิน
ต่อมานางให้กำเนิดบุตรหญิงคนหนึ่ง
เมื่อเจริญวัยขึ้นแล้ว
มีความงามอันยอดยิ่งหาผู้ใดเสมอมิได้
ชื่อ โสมประภา
ครั้นสืบมานางมีวัยอันพึงมีคู่ครองได้แล้ว
(คืออายุ ๑๖ ปี)
นางจึงให้มารดาไปเจรจาต่อบิดาและพี่ชายของนาง
โดยสั่งว่า "ลูกจะแต่งงานกับชายที่มีความกล้าหาญ
หรือมีความรู้ดีเลิศ (จากศัพท์ว่า
ชญานิน)
หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นชายที่เรียนรู้มายาศาสตร์เท่านั้น
ขออย่าบังคับให้ลูกแต่งงานกับคนอื่นนอกเหนือจากนี้
ถ้าพ่อยังเห็นว่าชีัวิตของลูกยังมีค่าอยู่"
เมื่อหริสวามินผู้บิดาได้ยินดังนี้
ก็กังวลใจมาก
ไม่ทราบว่าจะหาบุรุษใดมีคุณสมบัติตามข้อใดข้อหนึ่งในสามข้อที่นางตั้งเงื่อนไขเอาไว้
ขณะนั้นพอดีกับที่เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตสันติเพื่อไปทำสัญญาไมตรีกับพระราชาแห่งเดกข่าน
ซึ่งกำลังจะเข้ามารุกรานแว่นเคว้น
หริสวามินได้ทำงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
และเดินทางกลับมาบ้าน
ขณะนั้นเอง
พราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งได้ทราบข่าวระบือในความงามอันยอดยิ่งของนางโสมประภาก็เข้ามาหา
และสู่ขอนางเพื่อการสมรส
หริสวามินจึงกล่าวแก่พราหมณ์ผู้นั้นว่า
"ลูกสาวข้าจะไม่แต่งงานกับใครเลย
ถ้าชายนั้นมิได้มีคุณสมบัติทางด้านความกล้าหาญ
ความเป็นผู้รู้เลิศ
หรือเจนจบในมายาศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่งไหนลองบอกมาสิว่า
ท่านชำนาญทางไหนในสามอย่างนี้"
เมื่อหริสวามินกล่าวดังนี้แก่พราหมณ์หนุ่ม
ชายหนุ่มก็ตอบว่า "ข้าเป็นผู้ชำนาญในมายาศาสตร์ยิ่งกว่าอย่างอื่น"
หริสวามินจึงกล่าวว่า "ถ้ากระนั้นจงแสดงให้ข้าดูสิ"
ชายหนุ่มผู้มีมายาศาสตร์ได้ฟังก็เริ่มการแสดงโดยทันทีตามความชำนาญของตน
คือ นำรถมาคันหนึ่ง
ซึ่งมีศักยภาพสามารถแล่นไปอย่างรวดเร็วในอากาศ
ชายหนุ่มเชิญให้พราหมณ์เฒ่าลงสู่รถแก้วแววฟ้าลอยลิ่วไปในอากาศชมสวรรค์และแผ่นดินโลกเป็นที่เพลิดเพลิน
แล้วนำกลับลงมาที่พลับพลาของพระเจ้ากรุงเดกข่าน
ผู้ซึ่งใช้ให้เขาไปเจรจาสู่ขอนางโสมประภาต่อบิดานางนั่นเอง
หริสวามินก็ตกลงยินยอมให้ธิดาแก่ผู้ชำนาญมายาศาสตร์นั้นโดยกำหนดวันทำพิธีสมรสอีกเจ็ดวันข้างหน้า
ในระหว่างนั้น
พราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งตั้งนิวาสสถานอยู่ในกรุงอุชชยินีก็มาหาเทวสวามินผู้บุตรชายของหริสวามิน
และสู่ขอนางโสมประภาในฐานะที่เขาเป็นพี่ชายของนาง
เทวสวามินตอบว่า "นางไม่ความประสงค์ที่จะได้สามีที่ไม่มีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่าง
คือ มีความรู้เลิศ
เจนจบในมายาศาสตร์
และเป็นวีรบุรุษ"
เมื่อได้ฟังดังนั้นพราหมณ์ก็แสดงตนเป็นวีรบุรุษ
แล้วแสดงการใช้อาวุธทั้งไกลตน
(คือยิงธนู) และประชิดตน (คือใช้ดาบ)
อย่างดีเยี่ยม จนเทวสวามินเลื่อมใส
จึงสัญญาว่าจะยกน้องสาวให้
และโดยการแนะนำของโหรตามที่บิดาได้แตอบแก่ชายคนแรกที่มาสูขอไปว่า
ฤกษ์แต่งงานจะมีในเจ็ดวันข้างหน้า
เทวสวามินก็แจ้งแก่ชายคนที่สองเช่นเดียวกัน
และเขาก็ตัดสินใจไปโดยที่มารดามิได้รู้เห็น
ในวันเดียวกันนั้นเอง
ชายคนที่สามก็เดินทางมาถึงและเข้าไปพบกับภรรยาของหริสวามิน
เจรจากเป็นส่วนตัวสู่ขอนางโสมประภาเช่นเดียวกัน
นางพราหมณีได้ฟังก็ตอบว่า "ลูกสาวของข้าต้องการสามีที่ทรงคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างคือ
เป็นวีรบุรุษ
หรือชำนาญในมายาศาสตร์
หรือเจนจบในชญานะอย่างดีเลิศ"
และหลังจากที่นางได้ถามไถ่เรื่องอดีตและอนาคตของเขาแล้ว
ก็ตกลงใจรับการสู่ขอของเขา
และสัญญาจะให้ธิดาของตนแต่งงานกับชญานินผู้นี้ในเวลาอีกเจ็ดวันข้างหน้า
เช่นเดียวกับที่สามีและบุตรชายของนางได้ให้สัญญาแก่ชายสองคนแรก
วันรุ่งขึ้นหริสวามินกลับมาถึงบ้าน
กล่าวแก่ภรรยาและบุตรชายเรื่องที่ตนได้ตกลงไว้กับเจ้าบ่าวคนที่หนึ่งว่าจะยกธิดาให้ในพิธีสมรสอีกเจ็ดวันข้างหน้า
ภรรยาและบุตรชายต่างก็แจ้งให้หริสวามินทราบเรื่องที่ตนต่างก็สัญญาจะยกนางให้เจ้าบ่าวคนที่สองและที่สามในวันเดียวกันคือ
อีกเจ็ดวันข้างหน้า
หริสวามินได้ทราบก็ตกใจ
และกลัดกลุ้มยิ่งนักเพราะเจ้าบ่าวทั้งสามต่างก็ได้รับการเชิญมาในวันสมรสวันเดียวกัน
ครั้นถึงวันสมรส
ชายทั้งสามต่างก็เดินทางมาถึงบ้านของหริสวามินพร้อมกันทั้งชญานิน
มายากร และวีรบุรุษ
ขณะนั้นเองความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น
ปรากฎว่าเจ้าสาวคือนางโสมประภาหายไปอย่างไม่มีร่องรอย
ถึงจะมีการค้นหาสักเท่าไร ๆ
ก็มิได้พบเห็น
หริสวามินจึงกล่าวแก่ชญานินว่า
"ท่านเป็นผู้ทรงคุณวิทยา
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะอะไร
ลูกสาวข้าหายไปไหน"
เมื่อชญานินหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า
"รากษสตนหนึ่งชื่อธูมรศิขะ
เป็นผู้ลักตัวนางไปสู่ที่อยู่ของมันในป่าเชิงเขาวินธัยแล้ว"
หริสวามินได้ยินชญานินกล่าว
ก็ตกใจว้าวุ่นร้องว่า "อนิจจาเอ๋ย
อนิจจาเราจะตามตัวนางกลับมาได้อย่างไร
แล้วนางจะแต่งงานอย่างไรเล่า"
มายากรผู้ชำนาญในมายาศาสตร์ได้ฟังก็กล่าวว่า
"ทำใจให้ดี ๆ ไว้เถิด
ข้าจะพาท่านไปในพริบตา
เพื่อติดตามนางไปยังที่ซึ่งชญานินกล่าวถึงนั่น"
กล่าวจบมายาวินก็เตรียมงานของตนโดยนำรถแก้วเข้ามาเทียบ
แล้วพาหริสวามินพร้อมด้วยชญานินและวีรบุรุษ
ลงนั่งในรถเหาะลิ่วไปในอากาศ
ชั่วครู่หนึ่งก็มาถึงที่พำนักของรากษสในป่าวินธัย
ตามที่ชญานินบรรยายไว้ทุกประการ
รากษสเมื่อเห็นดังนั้นก็วิ่งออกมาจากสำนักด้วยความโกรธ
วีรบุรุษซึ่งถูกหริสวามินผลักดันให้ออกหน้าก็ตะโกนท้าทายให้รากษสมาต่อสู้กับตนตัวต่อตัว
ครั้นแล้วทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันอย่างทรหดด้วยอาวุธชนิดต่าง
ๆ เพื่อชิงนางมาเป็นของตน
ต่อมาในช่วงเวลาอันสั้น
รากษสก็เสียทีถูกตัดหัวกระเด็นด้วยฝีมือวีรบุรุษหนุ่ม
เมื่อประหารรากษสแล้ว
ต่างก็พานางโสมประภาลงรถแก้วแววฟ้าของมายาวินกลับสู่บ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้านหริสวามิน
การแต่งงานก็ยังเริ่มไม่ได้ถึงแม้มหุติฤกษ์จะมาถึงและผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม
ทั้งนี้เพราะเกิดการโต้เถียงกันไม่ยุติว่านางควรจะแต่งงานกับใคร
ทั้งชญานิน มายาวิน
และวีรบุรุษต่างก็โต้ตอบกันอย่างเผ็ดร้อน
อ้างความเป็นเจ้าของนางกันทุกคนน
ชญานินกล่าวว่า "ถ้าข้าไม่จับยาม
ดูว่านางถูกพาไปไหน
พวกท่านยังจะมีปัญญาสืบรู้ได้ละหรือ
ด้วยเหตุนี้นางควรจะตกเป็นของข้าจึงจะถูก"
มายาวินได้ฟังก็กล่าวว่า "ถ้าข้าไม่ใช้รถแก้วของข้าเหาะลอยไปในอากาศเพื่อเดินทางไปสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างป่าวินธัยโน่น
พวกเจ้าจะมีปัญญาทำอะไร
ข้ามิได้ทำให้เจ้าเดินทางไปกลับในชั่วอึดใจเดียวราวกับเทวดาเดินหน
ป่านนี้เจ้าจะยังมะงุมมะงาหราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
เพราะเหตุนี้โสมประภาจึงควรเป็นของข้าแต่ผู้เดียว"
ชายคนที่สามคือวีรบุรุษได้ยินดังนั้นก็กล่าวขึ้นบ้างว่า
"ข้าเป็นคนประหารรากษสที่ร้ายกาจนั่นด้วยดาบของข้าแท้
ๆ
ทำให้พวกเรารอดอันตรายพานางกลับมาได้
ฉะนั้นข้านี่ต่างหากที่ควรเป็นสามีของนาง"
ขณะที่ทุกคนโต้เถียงกันวุ่นวายอยู่นั้น
หริสวามินนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ
บังเกิดความพิศวงเป็นกำลัง
ไม่อาจจะตัดสินอะไรได้
เวตาลจึงกล่าวแก่พระราชาว่า
"โอ ราชะ
โปรดตัดสินให้ทีเถิด
ใครควรจะได้เป็นสามีนางโสมประภาโดยเหตุผลอันสำคัญเป็นเครื่องชี้ขาดเล่า
แต่ถ้าพระองค์รู้แล้วไม่ยอมพูดก็จงรู้ไว้เถิดว่า
ศีรษะของพระองค์จะต้องแยกเป็นเสี่ยง
ๆ เชียวนะ พระเจ้าข้า"
เมื่อพระเจ้าตริวกรมเสนได้ฟังเวตาลกล่าวดังนี้
ก็ลืมพระองค์ไปชั่วขณะตรัสตอบว่า
"นางควรจะตกเป็นของวีรบุรุษต่างหาก
ทั้งนี้เพราะชายกล้าหาญผู้นี้มิใช่หรือที่ต่อสู้ศัตรูอย่างเข้มแข็งเต็มกำลังความสามารถ
เอาชีวิตเข้าแลกกับความตายเพื่อนางโดยแท้
ส่วนชายอีกสองคนคือ ชญานิน
และมายาวินนัั้น
ทำตามหน้าที่ท้าวธาดาพรหมกำหนดมาให้เป็นเครื่องมือของแผนการดังกล่าวนี้ทั้งหมด
คนมีความรู้ก็ดี
คนถนัดในมายาศาสตร์ก็ดี
ล้วนแต่เป็นตัวประกอบในวีรกรรมนี้ทั้งสิ้น"
เวตาลได้ฟังดังนั้นก็รีบรุดลงจากอังสาของพระราชาและหายลับไปในทันที
โดยปราศจากร่องรอยใด ๆ
ให้เห็น
พระราชาทรงรู้สึกพระองค์ก็ต่อเมื่อ
เวตาลอันตรธานไปแล้ว
จึงต้องเสด็จไปตามตัวมันอีก
・