พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปยังต้นอโศก
เห็นเวตาลอยู่ที่นั่น
ก็จับมันเหวี่ยงขึ้นบ่า
แล้วเดินทางกลับไปทางเดิม
ระหว่างที่เดินทางมาเงียบ ๆ
เวตาลก็กล่าวขึ้นว่า "อารยบุตรโปรดฟังหน่อย
ข้ามีินิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้พระองค์ฟัง
เผื่อพระองค์จะได้คลายความเหน็ดเหนื่อยลงบ้าง"
มีเมืองเมืองหนึ่งตั้งอยู่บนฝั่งทะเลตะวันออกชื่อ
เมืองตามรลิปติ
นครแห่งนั้นมีพระราชาปกครองทรงนามว่าพระเจ้าจัณฑสิงห์
ผู้ทรงหันพระพักตร์จากภรรยาของผู้อื่น
แต่ไม่เคยหันพระพักตร์หนีจากสนามรบ
พระองค์ทรงกวาดต้อนทรัพย์สมบัติของอริราชศัตรู
แต่ไม่เคยแตะต้องทรัพย์สินของแว่นแคว้นที่เป็นเพื่อนบ้าน
ครั้งหนึ่งมีเจ้าราชปุฏ(ชนพวกหนึ่งซึ่งอ้างตนเป็นราชบุตร
โดยกล่าวว่าตนสืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งในสมัยโบราณ)
แห่งแคว้นแดกข่าน
ชื่อว่าสัตตวศีล
เดินทางมาถึงหน้าประตูพระราชวัง
และประกาศตนเองให้รู้ว่าเป็นผู้ยากไร้แสนเข็ญ
โดยฉีกเสื้อผ้าขี้ริ้วที่สวมใส่อยู่ต่อหน้าพระราชา
พระราชาจึงโปรดให้เขาเป็นผู้รับอนุเคราะห์โดยมีฐานะเป็นข้าไทและอยู่รับใช้พระเจ้าแผ่นดินมาหลายปี
แต่ก็หาเคยได้บำเหน็จรางวัลแม้แต่ครั้งเดียวไม่
เขาจึงกล่าวแก่ตัวเองด้วยความน้อยใจว่า
"ถ้าเราเกิดในตระกูลกษัตริย์จริง
ไฉนจึงยากจนถึงเพียงนี้เล่า
ดู ๆ ไป
ความยากจนนี้ก็ใหญ่หลวงเกินทน
แต่เหตุใดท้าวธาดาพรหมจึงสร้างให้เราเป็นคนทะเยอทะยานใหญ่หลวงนัก
เพราะถึงแม้เราจะรับใช้พระราชาองค์นี้มาอย่างขยันขันแข็ง
และบริวารของเราก็เช่นเดียวกัน
ต่างก็เดือดร้อนหิวโหยเหมือนกันกับเรา
แต่พระราชาสิจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเลย"
ระหว่างที่เขารำพึงรำพันด้วยความน้อยใจนั้น
วันหนึ่งพระราชาเสด็จเข้าไปล่าสัตว์
มีทหารม้าและทหารเดินเท้าแวดล้อมเป็นพลนิกายขบวนใหญ่
เข้าไปสู่ป่าใหญ่อันอุดมด้วยสัตว์ป่า
มีเสวกผู้ต่ำต้อยวิ่งนำหน้า
มือถือไม้ท่อนหนึ่ง
หลังจากที่พระราชาไล่ล่าสัตว์อย่างสนุกสนานมาได้พักหนึ่งก็แลเห็นหมูป่าตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ตัดไปข้างหน้าก็ทรงควบม้าติดตามไปจนกระทั่งถึงป่าสูงอันรกชัฏและชุ่มชื้นร่มเย็น
หมูป่าตัวนั้นก็หายไป
พระราชารู้สึกเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า
หลงทางกับข้าราชบริพารไปแต่พระองค์เดียว
มีเสวกผู้วิ่งนำหน้าม้าพระที่นั่งเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน
ต่างคนต่างก็หิวโหยเต็มทีและกระหายน้ำจนคอแห้งผาก
พระราชาแลดูเสวกผู้ต่ำต้อยซึ่งอุตส่าห์วิ่งมาอย่างเต็มที่ทั้ง
ๆ
ที่ม้าพระที่นั่งวิ่งเร็วราวกับลมพัด
พระราชาตรัสถามด้วยความเมตตาว่า
"เจ้าจำทางที่เรามาได้ไหม"
เสวกได้ฟังก็คุกเข่าลงกับพื้นประสานมืออัญชลีด้วยความนอบน้อมตอบว่า
"ข้าพระบาทจำทางได้ดี
แต่พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเต็มที
น่าจะพักอยู่ที่นี่ก่อน
เพราะตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังแผดแสงแรงกล้านัก
อย่าเพิ่งเสด็จไปเลย"
พระราชาได้ยินดังนั้น
ก็ตรัสแก่ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยนว่า
"เอาเถิด
เราจะพักอยู่ที่นี่ก่อน
แต่ข้ากระหายน้ำเต็มที
ถ้าเจ้ารู้ว่ามีน้ำอยู่ที่ไหนก็หามาให้ข้ากินเถอะ"
"ข้าพระบาทจะไปเดี๋ยวนี้"
เสวกทูลรับอาสาทันที
จัดแจงปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูงต้นหนึ่ง
มองไปเบื้องหน้าก็แลเห็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ไม่ไกลก็ปีนกลับลงมากราบทูลให้พระราชาทราบ
และนำทางไปจนถึงแม่น้ำนั้น
เมื่อไปถึงก็เอาอานม้าลง
ปล่อยให้ม้ากินน้ำและนอนเกลือกกลิ้งไปมา
จากนั้นก็หาหญ้าอ่อนมาให้มันกินอย่างอิ่มหนำ
ทำให้มันสดชื่นขึ้นมาก
ส่วนพระราชาก็เสด็จลงอาบน้ำในแม่น้ำนั้น
เสวกก็ควักผลอามลกะ(มะขามป้อม)
จากกระเป๋าสองสามผลถวายให้ทอดพระเนตร
เมื่อพระราชาเห็นผลอามลกะก็ประหลาดพระทัย
ถามว่าเขาเอามาจากไหน
เสวกก็คุกเข่าลงแบมือที่มีผลอามลกะวางอยู่สองสามผล
กราบทูลว่า
"พระเจ้าข้า
เมื่อสิบปีมาแล้ว
ข้าพระบาทยังชีพติดต่อกันมานานด้วยผลอามลกะเช่นนี้
ข้าพระบาทได้ปรนนิบัติพระราชาองค์หนึ่งด้วยความภักดี
แต่พระองค์ก็มิได้พระราชทานอะไรให้เลย
ข้าพระบาทต้องดำรงชีพแบบฤษี
กินแต่ผลอามลกะเพื่อยังชีพไปวันหนึ่ง
ๆ เท่านั้น"
พระราชาได้ฟังก็ตรัสว่า "อย่างนี้นี่เล่า
เจ้าจึงสมกับชื่อของเจ้าว่า
สัตตวศีล"
ทรงตื้นตันพระทัยด้วยความสงสาร
รำพึงในพระทัยว่า "ช่างน่าอายนักที่พระราชาไม่ได้สอดส่องทุกข์สุขของบ่าวไพร่เช่นนั้น
ไม่รู้ว่าใครเดือดร้อนแค่ไหน
จะช่วยได้อย่างไร
ช่างน่าอายนักที่พวกขุนนางวางน้ำทั้งหลายก็เอาแต่เสพสุขเฉพาะตน
แม้จะรู้ว่าคนทุกข์ยากลำเค็ญเป็นใครก็เงียบเฉย
หาได้กราบทูลพระเจ้าแผ่นดินให้ทราบไม่"
พระราชาคิดดังนั้นแล้วก็เห็นใจเสวกผู้ต่ำต้อยยิ่งนัก
อย่างไรก็ดี ด้วยความหิวโหย
พระองค์ก็จำต้องหยิบเอาผลอามลกะไปเสวยสองผล
หลังจากเสวยเสร็จและดื่มน้ำแล้ว
ก็นอนพักผ่อนเอาแรงชั่วระยะหนึ่งพร้อมด้วยเสวกผู้นั้น
ครั้นตื่นขึ้น
เสวกก็เอาม้าทรงมาถวาย
พระราชาเสด็จขึ้นม้าเดินทางต่อไป
มีเสวกวิ่งนำหน้าเพื่อนำทางเสด็จ
แม้พระราชาจะเมตตาโปรดให้เขาขึ้นขี่ม้าตัวเดียวกับพระองค์
แต่เขาก็เจียมตนไม่ยอมตามพระประสงค์
ในที่สุดพระราชาก็เสด็จกลับคืนพระนคร
และพบกองทหารของพระองค์มารอรับอยู่แล้ว
พระราชาโปรดให้ประกาศเกียรติคุณของเสวกผู้ภักดีเป็นเลิศ
และประทานทรัพย์ศฤงคารเป็นอันมากแก่เขา
พร้อมด้วยที่ดินหมู่บ้านอันเป็นส่วยเลี้ยงชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์
เป็นการตอบแทนบุญคุณที่เขามีต่อพระองค์เป็นอันมาก
สัตตวศีลจึงกลายเป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งตั้งแต่นั้น
และยังคงปรนนิบัติพระราชาอยู่เหมือนเดิม
วันหนึ่งพระราชาจัณฑสิงห์ทรงมอบงานสำคัญให้แก่สัตตวศีลโดยสั่งให้เดินทางไปยังเกาะลังกา
เพื่อเจรจาสู่ขอพระราชธิดาของกษัตริย์พระองค์นั้น
เสวกหนุ่มออกเดินทางโดยเรือเดินทะเล
สัตตวศีลกระทำบวงสรวงแก่ทวยเทพผู้คุ้มครองตน
แล้วออกเดินเรือไปกับพราหมณ์คณะหนึ่งซึ่งพระราชาทรงแต่งตั้งให้ร่วมทางไปด้วย
เมื่อเรือแล่นไปได้ครึ่งทางก็มีธงผุดขึ้นจากทะเลเป็นที่อัศจรรย์แก่ทุกคนในเรือลำนั้น
ธงนี้สูงเด่นจนยอดแตะกล่มเมฆ
ประดับด้วยทองคำและเครื่องหมายเหมือนธงทั้งหลายที่พลิ้วสะบัดอยู่ในายลม
ในขณะนั้นเองกำแพงเมฆก็ตั้งขึ้นในท้องฟ้า
เกิดสายฝนถั่งเทลงมาอย่างหนัก
และพายุพัดกระหน่ำรุนแรง
จนทำให้เรือถูกบังคับให้แล่นเข้าสู่ธงทองนั้นด้วยอำนาจของลมและฝน
และถูกผูกติดกัน
มีลักษณาการดังควาญช้างบังคับให้ผูกขาติดกับเสาตะลุงฉะนั้น
และทั้งธงทั้งเรือก็ค่อย ๆ
จมลงในมหาสาครอันบ้าคลั่ง
บรรดาพราหมณ์ที่อยู่ในเรือต่างก็ตื่นตระหนกตกใจกลัวตาย
และตะโกนร้องเรียกให้พระเจ้าจัณฑสิงห์ช่วย
เมื่อสัตตวศีลได้ยินเสียงพราหมณ์ร้องก็คิดถึงพระราชาผู้เป็นนาย
ด้วยความภักดี
จึงถือดาบมือหนึ่ง
พันอาภรณ์เข้ากับตนอย่างทะมัดทะแมง
กระโจนลงไปในเกลียวคลื่นเพื่อติดตามหมาสาเหตุแห่งภัยพิบัติ
โดยดำน้ำลงไปตรงที่ธงผุดขึ้นมา
และในทันทีที่เขาจมลงไป
เรือลำนั้นก็ถูกกระแสน้ำและลมพัดพาไปไกล
ทำให้เรือเคว้งคว้างไปมาครู่หนึ่งแล้ว
ก็พาเอาทุกคนจมหายไปในทะเลลึก
สู่ปากของอสูรทะเลที่กำลังกระเหี้ยนกระหือรือคอยทีอยู่
ส่วนสัตตวศีลเมื่อจมลงไปในท้องทะเล
รู้สึกตัวว่าตกลงมาในนครแห่งหนึ่งอันงดงามโอฬาร
ไม่แลเห็นทะเลอยู่ที่ใดเลย
เมื่อแลดูรอบ ๆ
ก็พบกับภาพอันวิจิตรสุดบรรยาย
คือปราสาทราชวังที่หลังคาเป็นทองกระทบแสงอาทิตย์เป็นประกายวูบวาบ
ตั้งอยู่บนเสาอันเรียงรายเป็นแถวทำด้วยเพชรมณีระยิบระยับไปทั่ว
มีอุทยานแห่งหมู่ไม้และดอกไม้บานสะพรั่งใกล้กับทะเลสาบซึ่งมีน้ำใสกระจ่างราวกับแผ่นแก้ว
ที่ทะเลสาบมีบันได้แก้วมณีสีต่าง
ๆ
ทอดลงสู่ผืนน้ำและในทะเลสาบนั้นเองมีเทวาลัยของพระทุรคาเทวีตั้งโดดเด่นเป็นสง่าราวกับภูผาพระสุเมรุ
มีกำแพงหินสีงามและธงทิวเพชรพลอยเรียงรายอยู่โดยรอบ
สัตตวศีลเข้าไปสู่ตีรถะของพระเทวี
กระทำการบูชาด้วยใจศรัทธา
กล่าวโศลกเทวีมาหาตมยันถวายบทหนึ่ง
และนั่งพักด้วยความรู้สึกงงงวยราวกับตกอยู่ในความฝัน
ในระหว่างนั้น
มีเทพอัปสรตนหนึ่งเปิดทวารเทวาลัยเข้ามา
แผ่รัศมีสว่างโชติช่วงตรงหน้าเทวรูปพระเทวี
นางมีเนตรยาวเรียวราวกับกลีบบัวอินทีวร(บัวสายสีน้ำเงินชนิดหนึ่ง)
มีพักตร์เอิบอิ่มเช่นสมบูรณจันทร์
มียิ้มอันงามละมุนดังดอกไม้
มีสรีระอันแบบางละไมราวกับแท่งเทียนที่หล่อหลอมขึ้นมาจากใยรากพลับพลึง
จะเปรียบความงามของนางโดยส่วนรวมก็คล้ายกับสระโบกขรณีที่เคลื่อนไหวได้นั่นเอง
นางเดินผ่านฝูงนางบริวารเข้าไปสู่พระวิมาน(ส่วนลึกที่สุดในเทวาลัย
เป็นที่สถิตของเทวรูป)
ที่สถิตของเทวรูปและที่ที่สถิตของหัวใจสัตตวศีลในขณะเดียวกัน
เมื่อนางกระทำการบูชาพระเทวีแล้วก็ออกมาจากพระวิมาน
แต่หาได้ออกจากหัวใจของชายหนุ่มไม่
นางเข้าไปสู่ที่ว่างภายนอกวิหาร
สัตตวศีลก็ติดตามนางไป
พออกมาพ้นเทวาลัยชายหนุ่มก็แลเห็นนครอีกแห่งหนึ่งปรากฏตรงหน้า
งามโอ่อ่าคล้ายกับอุทยายอันเป็นที่รวมแห่งความบันเทิงทั้งหลาย
เมื่อเข้าไปสู่อุทยานสุตตวศีลก็แลเห็นนางนั่งอยู่บนแท่นซึ่งประดับประดาด้วยเพชรพลอย
เขาจึงตามเข้าไปและนั่งลงเคียงข้างนาง
นัยน์ตาจับจ้องแต่ใบหน้าของนางด้วยความเสน่หาเป็นล้นพ้น
ราวกับบุรุษที่ปรากฏในภาพวาดมีลักษณะแน่วนิ่งฉะนั้น
เพียงแต่มีแข้งขาอันสั่นเทิ้มและโลมาอันชูชันเพราะความปรารถนานางอย่างแรงกล้า
เมื่อนางแลเห็นว่าเขามองนางด้วยความหลงใหลก็ยิ้มและพยักหน้าให้บริวารของนางถอยออกไป
นางผู้บริวารทั้งหลายจึงกล่าวแก่ชายหนุ่มว่า
"ท่านมาสู่ที่นี่ในฐานะอาคันตุกะของเรา
ฉะนั้นจงมีใจรื่นเริงต่อทุกสิ่งที่นายหญิงของพวกข้าจะเสนอแก่ท่่านเถิด
จงลุกขึ้นไปอาบน้ำให้สะอาดแล้วมาบริโภคอาหาร"
เมื่อชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกชื่นมื่นขึ้น
ค่อยลุกขึ้นอย่างมีเรี่ยวแรง
เดินไปยังสระน้ำที่นางเหล่านั้นชี้ให้
และในขณะที่เขาดำลงไปในสระนั้น
ก็โผล่ขึ้นแลดูโดยรอบด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
เพราะปรากฏว่าเขาโผล่ขึ้นมากลางสระในสวนขวัญของพระราชาจัณฑสิงห์แห่งนครตามรลิปติ
และทันทีที่แลเห็นเขาก็ต้องอุทานออกมาว่า
"อะโห นี่มันเรื่องอะไรกัน
เดี๋ยวนี้เราอยู่ในอุทยานหลวง
แต่เมื่อตะกี้เราอยู่ในนครอันงามโอฬารนี่
ความรื่นรมย์ที่มีอยู่ที่นั่นหายไป
กลายเป็นความโศกเศร้าแสนศัลย์ที่นี่เพราะต้องแยกจากนางมา
แต่นี่ก็มิใช่ความฝัน
เพราะเราเห็นทุกอย่างในสภาพของคนที่ตื่นแล้วแท้
ๆ
บัดนี้ความจริงก็แจ่มแจ้งแล้วว่า
เราถูกนางในบาดาลแห่งนั้นหลอกเหมือนอ้ายโง่ตนหนึ่งนั่นเอง"
คิดดังนี้แล้ว
สัตตวศีลก็ออกเดินท่องเที่ยวไปในสวนอย่างไร้จุดหมาย
มีลักษณเหมือนคนบ้า
มีความเสียใจอย่างลึกซึ้งที่ต้องพรากจากนางมาโดยไม่มีทางจะได้พบกันอีก
เดินพลางร่ำไห้ด้วยใจรันทดผิดหวัง
บรรดาผู้รักษาอุทยานแลเห็นชายหนุ่มเดินกระเซอะกระเซิงอยู่ในสวนมีร่างกายอันเรี่ยราดด้วยเกสรดอกไม้สีเหลืองเต็มไปทั่วเช่นนั้น
ก็รีบพากันไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
พระราชาจัณฑสิงห์ได้ฟังก็งุนงงในพระทัยยิ่งนัก
เสด็จมาด้วยพระองค์เอง
แลเห็นเสวกของพระองค์ตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารเช่นนั้นก็ทรงปลอบด้วยความปรานี
ตรัสแก่เขาว่า
"เพื่อนรักของข้า
นี่มันเรื่องอะไรกันเล่า
ช่วยเล่าให้ข้าฟังทีสิ
ข้าใช้ให้เจ้าเดินทางไปทำธุระในที่หนึ่ง
แต่เจ้ากลับไปอีกที่หนึ่ง
ลูกศรของเจ้าพลาดที่หมายเสียแล้วหรือ"
เมื่อสัตตวศีลได้ฟังรับสั่งเช่นนั้น
ก็กราบทูลเรื่องราวที่เป็นมาทั้งหมดให้พระราชาฟัง
พระราชาได้ฟังก็ฉงนพระทัยยิ่งนัก
รำพึงแก่ตนเองว่า
"ช่างประหลาดอะไรอย่างนี้
ชายคนนี้เป็นวีรบุรุษอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาถูกความรักหลอกเล่นจนหัวปั่น
แต่จะว่าไปข้ากลับยินดีด้วยซ้ำเพราะข้าได้โอกาสที่จะปลดเปลื้องหนี้แห่งบุญคุณที่เขามีต่อข้าเสียที"
ดังนั้นพระราชวีระจึงกล่าวแก่เขาว่า
"เจ้าจงหยุดเศร้าโศกเสียทีเถิด
ข้าจะพาเจ้ากลับไปทางเดิมเพื่อไปสู่นางอสุรีที่เจ้ารักด้วยตัวของข้าเอง"
เมื่อปลอบโยนดังนี้แล้วก็รับสั่งให้เขาไปอาบน้ำและกินอาหาร
เป็นการพักผ่อนเอาแรงไว้
วันรุ่งขึ้น
พระราชาทรงมอบราชอาณาจักรแก่เหล่าเสนาบดีให้ช่วยดูแล
แล้วเสด็จลงเรือแล่นใบไปในทะเลพร้อมด้วยสัตตวศีลซึ่งเป็นผู้นำทาง
ทันทีที่เรือมาถึงครึ่งทาง
สัตตวศีลก็แลเห็นคันธงมหัศจรรย์ผุดขึ้นจากน้ำทะเลพร้อมด้วยผืนธงอันสง่างามเหมือนที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน
จึงกราบทูลพระราชาว่า
"นั่นไงล่ะพระเจ้าข้า
เสาธวัชอันยิ่งใหญ่
เครื่องหมายแห่งสมบัติอันหาค่ามิได้ผงาดโดเด่นอยู่ในทะเลอย่างสง่างาม
ข้าพระบาทจะกระโดลงตรงนั้น
ต่อจากนั้นพระองค์โปรดกระโดดตามข้าพระบาท
ดำดิ่งลงไปตามเสาธงนี่แหละ"
ขณะที่สัตตวศีลกราบทูลอยู่นีั้เรือก็แล่นเข้าไปใกล้เสาธงทอง
เป็นเวลาเดียวกับที่เสาธงกำลังเริ่มจะจมลง
สัตตวศีลรีบกระโดดลงไปเป็นคนแรก
พระราชาเป็นคนที่สองที่กระโดดตามลงไป
ในไม่ช้าก็ปรากฏว่าทั้งสองคนลงมาถึงนครอันโอฬารพร้อมกัน
พระราชาทรงตื่นพระทัยเป็นล้นพ้นต่อภาพที่ปรากฏเฉพาะหน้า
หลังจากเสด็จเข้าไปบูชาเทวรูปพระแม่เจ้าปารวตีแล้ว
ก็เสด็จกลับมานั่งข้างสัตตวศีล
ระหว่างนั้นเองในท่ามกลางแสงทองระยิบระยับ
นางโฉมงามก็ปรากฏร่างแวดล้อมด้วยบริวารจำนวนมาก
สัตตวศีลแลเห็นก็รีบกราบทูลละล่ำละลักว่า
นั่นแหละคือนางยอดดวงใจของตน
พระราชาทอดพระเนตรแล้วรู้สึกว่า
ถึงนางจะงามเพียงไร
แต่หาได้ผูกมัดพระองค์ให้คลั่งไคล้ได้ไม่
ดวงหทัยของพระองค์มีแต่ความว่างเปล่า
หาได้มีเยื่อใยจต่อนางแม้แต่น้อย
นางโฉมงามแลเห็นพระราชาผู้สง่างาม
ประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษอันเด่นชัดเช่นนั้นก็ประหลาดใจรำพึงแก่ตนเองว่า
"ใครหนอช่างงามสง่าถึงเพียงนี้"
แล้วนางก็กลับเข้าไปในเทวาลัย
กระทำนมัสการเทวรูปพระเทวี
และอธิษฐาน
ฝ่ายพระราชามีความรู้สึกดูหมิ่นต่อนาง
ไม่ต้องการจะเห็นนางอีก
จึงพาสัตตวศีลเดินเข้าไปพักผ่อนในสวน
ในเวลาไม่นานนักนางแทตย์(จากศัพท์ไทตย
หมายถึงอสูรพวกหนึ่ง
ซึ่งเป็นบุตรของพระกัศปเทพบิดรกับชายาองค์หนึ่งคือนางทิติ)
โฉมงามกลับออกมาจากพระวิมาน
หลังจากที่ได้อธิษฐานขอสามีที่ดีต่อพระเทวีแล้ว
นางเรียกบริวารคนหนึ่งเข้ามาและกล่าวว่า
"เพื่อนเอ๋ย ไปหาดูสิว่า
ชายผู้งามสง่าเป็นมหาบุรุษที่ข้าเห็นเมื่อตะกี้เป็นใคร
แล้วเชิญให้เขาเข้ามาเพื่อเราจะได้ต้อนรับเขาให้สมเกียรติ
เราจะต้องต้อนรับเขาให้ดีเพราะเขาเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
สมควรจะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ"
เมื่อนางบริวารได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็รีบติดตามจนพบพระราชาอยู่ในสวนกำลังก้มลงกระทำอัญชลีอย่างนอบน้อม
และนำสารของผู้เป็นายมากราบทูลให้ทรงทราบ
พระราชาผู้วีระกลับตรัสอย่างไม่แยแสด้วยเสียงอันเหยียดหยามว่า
"สวนนี้ก็ให้ความรื่นรมย์แก่ข้าเพียงพอแล้ว
ข้าจะปรารถนาความบันเทิงอะไรนอกเหนือไปจากนี้เล่า"
เมื่อนางบริวารนำความกลับมาแจ้งแก่นางอสูรผู้เป็นนาย
นางก็คิดในใจว่าพระราชาองค์นี้ไม่ไยดีต่อเรา
เพราะถือว่าพระองค์มีเกียรติยศสูงส่งยิ่งกว่าเรา
ถ้ากระไรเราควรถวายการต้อนรับอย่างวิเศษสุดแก่พระองค์ดีกว่า
ดังนั้นนางแทตย์จึงออกมาหาพระราชาด้วยตนเองที่อุทยาน
และคิดว่าพระราชาองค์นี้ถูกส่งมาให้เป็นสวามีของนางด้วยผลบุญที่นางได้บูชาพระทุรคาเทวีนั่นเอง
ขณะเมื่องนางยตรกายเข้ามานั้น
บรรดารุกขชาติต่างก็ให้เกียรติแก่นางโดยค้อมกิ่งลงต่ำ
หมู่มวลปักษินชาติก็ร้องเพลงอย่างไพเราะ
และลดาวัลย์ก็กวัดไกวไปมาตามสายลมอ่อนรำเพย
ปรายโปรยเกสรกุสุมรสลงสู่ร่างของนางมิขาดสาย
เมื่อนางดำเนินเข้ามาใกล้วีรกษัตริย์
ก็ก้มลงถวายความเคารพอย่างนอบน้อม
เชิญชวนให้พระองค์ทรงรับไมตรีของนาง
พระราชาได้ฟังก็ทรงชี้ไปที่สุตตวศีล
และตรัสแก่นางว่า
"ข้าเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อถวายการบูชาแด่องค์พระทุรคาตามที่ชายคนนี้เชิญชวน
ข้าก็ได้บูชาพระเทวีแล้วด้วยธวัชอันงาม
หลังจากนี้แล้วก็หมดภาระของข้า
เจ้ายังมีอะไรจะมาเสนอข้าอีก"
เมื่อนางได้ฟังดังนั้นก็กล่าวว่า
"ถ้ากระนั้นก็ทรงมาเถิด
ข้าจะพาพระองค์ไปยังนครแห่งที่สองของข้า
ซึ่งนับได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในสามโลกนี้"
เมื่อได้ฟังนางกล่าวจบ
พระราชาก็สรวลเสียงกึกก้อง
ตรัสว่า
"โอ๊ะโอ๋ เรื่องนั้นน่ะหรือ
ชายคนนี้ได้เล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว
ถึงเรื่องวังอันมหัศจรรย์พร้อมด้วยทะเลสาบที่น่าลงไปอาบของเจ้านั่นแหละ"
นางโฉมงามได้ฟังก็กล่าวว่า
"อารยบุตร
ขออย่าตรัสอย่างนั้น
ข้ามิได้มีเจตนาจะหลอกลวงพระองค์เลย
ใครเล่าจะกล้าหลอกลวงบุคคลที่น่านับถืออย่างพระองค์ได้
ข้าเป็นดั่งทาสของท่านทั้งสองอยู่แล้ว
จะเกรงอะไรอีก
ขอเชิญเสด็จมากับข้าเถิด"
พระราชาได้ฟังก็ทรงตกลง
พาสัตตวศีลไปด้วยพระองค์
เสด็จตามนางงามเข้าไปสู่วังชั้นในของนาง
เมื่อเปิดประตูเข้าไปสู่วังอันงาม
ก็ทอดพระเนตรเห็นสวนขวัญอันงดงามสุดพรรณนา
ดารดาษไปด้วยพฤกษชาติซึ่งมีดอกบานตระการตาทุกหนทุกแห่ง
นครภายในแห่งนี้มลังเมลืองไปด้วยแสงทองแสงแก้วระยิบระยับไปหมด
ราวกับยอดภูผาพระสุเมรุอันเป็นที่ตั้งแห่งเมืองฟ้า
นางแทตย์เชิญชวนให้พระราชาประทับบนบรรยงก์รัตนาสน์ที่รจิตไว้อย่างสุดบรรเจิด
และถวายการต้อนรับด้วยอรรฆยะ
(การต้อนรับผู้เป็นแขกด้วยการมอบเมล็ดข้าว
หญ้าทูรวะ ดอกไม้ และน้ำ
ให้แก่แขกผู้มาเยือน)
และทูลพระราชาว่า
"โอ นโรดม
ข้านี้เป็นธิดาของอสุรกาลเนมี(นามอสูรหรือรากษสตนหนึ่ง
เป็นลูกของอสูรวิโรจนะ
ผู้เป็นหลานของพญายักษ์
หิรัณยกศิปุ
ถูกพระนารายณ์ฆ่าด้วยจักรสุทรรศน์)
ผู้ทรงกิตติคุณอันประเสริฐแห่งเหล่าอสูรทั้งหลาย
แต่พ่อของข้าละโลกไปสู่สวรรค์แล้ว
โดยอาญาของพระวิษณุ(หรือพระนารายณ์
เป็นเทพสูงสุดองค์หนึ่งในจำนวนสามองค์
ซึ่งประกอบด้วยเทพอีกสองค์คือ
พระศิวะ(อิศวร) และพระพรหม)
ผู้เป็นพระจักรี(ผู้ทรงจักร (ชื่อสุทรรศน์)เป็นอาวุธ
หมายถึงพระวิษณุ
หรือพระนารายณ์)
และนครแฝดที่ทรงแลเห็นนี้
ข้าได้รับมรดกมาจากบิดาของข้า
เป็นนครอันเลิศที่รังสรรค์ด้วยฝีมือของพระวิศวกรรมัน(หรือวิศวกรรม)(เทพผู้เป็นนายช่างใหญ่แห่งสวรรค์)
ผู้ใดอยู่ในปุระนี้จะปรารถนาอะไรก็จะได้ดังใจ
เป็นที่ซึ่งความชราและความตายมิอาจมาเยี่ยมกรายเลย
มาบัดนี้ข้ามีความนับถือพระองค์ดุจดังพ่อของข้า
ตัวข้าและพระนครทั้งสองนี้เป็นของใต้ฝ่าพระบาทแล้ว"
กล่าวแล้วนางก็คุกเข่าลงกราบแทบบัวบาทของพระราชาแสดงการถวายตัว
พระราชาจึงตรัสแก่นางว่า "ถ้าเป็นดั่งที่เจ้าพูด
ข้าก็ขอมอบเจ้าไว้แก่เพื่อนข้าคือ
สัตตวศีลผู้นี้
ผู้ซึ่งข้ารักเหมือนญาติสนิท"
เมื่อพระราชาผู้ทรงสิริดังพระทุรคาเทวีในร่างมนุษย์ตรัสถ้อยคำนี้
นางก็เข้าใจและยอมรับฟังโดยดี
ด้วยประการฉะนี้
สัตตวศีลก็ได้บรรลุจุดสุดยอดแห่งความปรารถนาคือ
ได้นางผู้เป็นยอดดวงใจ
และได้เป็นราชันครองนครทั้งสองด้วยในขณะเดียวกัน
พระราชาจึงตรัสแก่เขาว่า
"แน่ะ เจ้าเพื่อนยาก
บัดนี้ข้าก็ได้ให้สิ่งที่เจ้าปรารถนาแล้วเป็นเครื่องตอบแทนผลอามลกะที่เจ้าเคยให้ข้ากินผลหนึ่งในสมัยก่อน
แต่ข้าก็ยังเป็นหนี้เจ้าอยู่
ข้ายังไม่ได้ให้รางวัลแก่เจ้าเป็นอย่างที่สอง"
เมื่อพระราชาจัณฑสิงห์กล่าวแก่สัตตวศีลผู้ยืนก้มศีรษะอยู่ดังนั้นแล้ว
ก็หัสมาตรัสแก่นางแทตยาสุรีว่า
"ทีนี้เจ้าจงแสดงหนทางที่จะนำข้ากลับพระนครเถิด"
นางอสูรได้ฟังดังนั้นก็ถวายกระบี่เล่มหนึ่งแก่พระราชาพร้อมทั้งแนะนำว่า
"กระบี่วิเศษนี้ชื่อปราบสกลทิศ
ไม่มีใครเอาชนะได้
พระองค์จงเอาติดตัวไปพร้อมด้วยผลไม้นี้ซึ่งมีคุณอันเลิศ
ซึ่งเมื่อพระองค์ได้เสวยแล้วจะสามารถเอาชนะความแก่และความตายได้"
พระราชาทรงทราบวิถีที่นางกล่าวเป็นนัยดังนั้นแล้ว
ก็กระโจนลงสู่บึงใหญ่ตามที่นางชี้ให้
และสิ่งที่เกิดตามมาก็คือ
พระองค์ได้ผุดขึ้นในนครของพระองค์เองราวปาฏิหาริย์
ส่วนสัตตวศีลมิได้ติดตามไป
เพราะได้เป็นราชาครองสองพระนคร
ณ บาดาล
พร้อมด้วยนางอสุรีโฉมงาม
มีความสุขอยู่ในแดนทิพย์แห่งนั้นชั่วกาลนาน
"ข้าแต่เทวบุตร"
เวตาลกล่าวหลังจากนิทานจบลงแล้วว่า
"ข้ายังสงสัยอยู่ว่าใครกันแน่ระหว่างบุรุษทั้งสองนั้นที่กล้าหาญที่สุดในการโจนลงทะเล"
เมื่อเวตาลตั้งปุจฉาดังนี้
พระราชาตริวกรมเสนผู้ทรงเกรงคำสาปของเวตาลก็กล่าวว่า
"ถ้าจะให้ข้าตอบ
ข้าก็ต้องบอกว่า
สัตตวศีลนั่นแลคือคนที่กล้าหาญที่สุด
เพราะเขากระโจนลงสู่สมุทร
ทั้ง ๆ
ที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เขาไม่รู้ถึงเหตุการณ์
และมิได้มีความหวังใด ๆ เลย
ส่วนพระราชานั้นทรงทราบดีอยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้่น
เมื่อดำลงไปใต้น้ำเพื่อหาอะไรที่นั่น
และพระองค์ก็มิได้ตกหลุมรักนางแทตยาสุรี
เพราะพระองค์หาได้มีความปรารถนานางแต่ประการใดไม่"
ฝ่ายเวตาลเมื่อได้ยินพระราชาตรัสดังนั้นเป็นการละเมิดกติกา
ก็หายแวบไปจากอังสาของพระราชา
กลับไปสู่ต้นอโศกตามเดิม
พระราชาก็เสด็จกลับไปยังที่นั้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะเอาตัวมันมาให้ได้
ทั้้งนี้เพราะบุรุษผู้มีความรับผิดชอบต่องานที่ตนทำ
ย่อมไม่ละทิ้งไปก่อนที่งานของตนจะสำเร็จลงตามสัญญา