เมื่อเวตาลหนีไปแล้วพระเจ้าตริวิกรรมเสนก็ต้องเสด็จกลับไปยังต้นอโศที่ร่างเวตาลแขวนอยู่
ทรงดึงมันลงมาพาดไว้ที่บ่า
เสด็จกลับไปตามทางเดินมุ่งหน้าไปยังสุสานผีดิบที่โยคีเฒ่าคอยอยู่
ขณะที่ดำเนินไปเงียบ ๆ
เวตาลก็เอ่ยขึ้นว่า "จะรีบเสด็จไปไย
ที่หมายยังอยู่อีกไกล
ฟังนิทานกันดีกว่า
ข้าจะเล่าถวายเอง
โปรดทรงสดับเถิด"
ในแคว้นอวันตี
ยังมีพระนครแห่งหนึ่งซึ่งทวยเทพได้ลงมาสร้างไว้ตั้งแต่สมัยต้นอายุของโลก
มีความไพศาลสุดประมาณดังประกายรัศมีของพระศิวะผู้เป็นเจ้่า
เมืองนี้เป็นที่รื่นรมย์
และมีความเจริญยิ่งนัก
เฉกเช่นพระกายของพระมหาเทพ(นามหนึ่งของพระศิวะ)
ที่ประดับด้วยสังวาลงูที่แผ่พังพาน
และมีอังคารเป็นเครื่องลูบไล้(มีร่างกายชโลมด้วยเถ้ากระดูก
เป็นลักษณะของพระศิวะในตอนที่ลงมาใช้ป่าช้าเป็นที่พำนัก)
เมืองนี้มีชื่อว่าปัทมาวดีในกฤตยุค(ยุคที่
๑ ของโลก
เป็นสมัยที่คนมีศีลธรรมเต็มร้อย)
ชื่อโภควดีในสมัยเตรตายุค(หรือไตรดายุค
เป็นยุคที่ ๒ ของโลก
เมื่อศีลธรรมของคนลดลงไป ๑
ส่วนใน ๔ ส่วน)
ชื่อหิรัณยวดีในสมัยทวาปรยุค(ยุคที่
๓ ของโลก
เมือ่ศีลธรรมของคนลดลงไป ๒ ใน
๔) และในยุคปัจจุบันคือกลียุค(ยุคสุดท้ายของโลก
ศีลธรรมของคนลดลงไป ๓ ส่วนใน
๔ ส่วน) นี้มีชื่อว่าอุชชยินี
เมืองนี้มีพระราชาปกครองชื่อ
พระเจ้าวีรเทพ
และมีมเหสีชื่อ ปัทมาวดี
ทั้งสองพระองค์นี้เสพสุขอยู่ด้วยกันช้านานแต่หาได้มีโอรสไม่
พระราชาจึงพาพระมเหสีเสด็จไปยังฝั่งของสระมันทากินี(ชื่อสระแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์)
และกระทำความเพียรอันอุกฤษฏ์เพื่อให้พระเจ้าโปรดปรานประทานโอรสให้
และหลังจากที่ทรงบำเพ็ญตบะมาช้านานแล้วทำพิธีสระสนานและสวดมนตร์สรรเสริญพระเป็นเจ้าแล้ว
วันหนึ่งก็มีเสียงลอยมาจากสวรรค์
เป็นเสียงแห่งองค์พระภูเตศวร(เป็นฉายาของพระศิวะ
แปลว่า
ผู้เป็นใหญ่เหนือภูตพรายทั้งหลาย)
ผู้ทรงยินดีในตบะกรรมที่กษัตริย์ทั้งสองบำเพ็ญถวายว่า
"ดูก่อนราชะ
ข้าจะให้พรแก่เจ้า
นับแต่นี้ไปเจ้าจะมีโอรสองค์หนึ่ง
มีความแกล้วกล้าสามารถเป็นยอดชายในแผ่นดิน
จะได้เป็นหัวหน้าครอบครัวต่อไป
และเจ้าจักได้ธิดาองค์หนึ่งซึ่งมีสิริโฉมงามหาใครเปรียบมิได้
เป็นความงามที่แม้นางอัปสรสวรรค์ก็ยังได้อาย"
เมื่อพระราชาวีรเทพได้ฟังเสียงสวรรค์บันลือเช่นนี้
ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอันมาก
พาพระมเหสีเสด็จกลับพระนคร
เมื่อภารกิจได้บรรลุผลสำเร็จแล้ว
จากนั้นพระองค์ก็ได้พระโอรสองค์แรกมีนามว่า
ศูรเทพ
และพระนางปัทมาวดีก็ประสูติธิดาองค์หนึ่ง
พระบิดาจึงตั้งชื่อนางว่า
อนงครตี(อนงค์ (กามเทพ)+รติ(ความยินดี,
ความรัก) อันมีความหมายว่า "เป็นที่ยินดีของกามเทพ"
และเมื่อนางเจริญวัยขึ้น
พระราชาผู้เป็นชนกก็เตรียมการหาคู่ให้นางเพื่อจะได้ชายที่เหมาะสมเป็นคู่ครอง
โดยสั่งให้ศิลปินเดินทางไปวาดภาพพระราชาทุกองค์บนพื้นพิภพมาให้นางเลือกดู
ปรากฏว่านางมิได้พอใจรูปชายใดเลย
พระราชาจึงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า
"ลูกเอ๋ย
พ่อไม่สามารถจะหาชายคนใดที่คู่ควรกับลูกได้อีกแล้ว
เราคงจะต้องประกาศเชิญพระราชาและเจ้าชายทั้งหลายมาให้ลูกเลือกเสียแล้ว
การได้พบตัวจริงของชายอาจทำให้ลูกตัดสินได้ง่ายเข้าก็ได้"
เจ้าหญิงได้ฟังพระบิดากล่าวดังนั้นจึงทูลตอบว่า
"เพคะ ท่านพ่อ
ลูกกระดากใจที่จะเลือกสามีเองยิ่งนัก
แต่จะอย่างไรก็ตาม
ลูกจะแต่งงานกับผู้ชายรูปงามที่มีความรู้ในศิลปศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ลูกไม่ปรารถนาชายอื่นนอกจากที่ว่านี้เป็นอันขาด"
เมื่อพระราชาได้ทราบความประสงค์ของเจ้าหญิงอนงครตีเช่นนั้น
ก็ส่งคนไปสืบเสาะหาบุรุษที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
ในที่สุดก็ได้ชายหนุ่มจากแคว้นเดกข่านมาสี่คน
เป็นชายงาม
กล้าหาญและรู้ศิลปศาสตร์
ชายเหล่านี้เดินทางมาก็เพราะได้ทราบข่าวโจษจันกันนั่นเอง
ชายทั้งสี่ได้รับการต้อนรับจากพระราชาเป็นอย่างดี
และต่างคนต่างก็แสดงวัตถุประสงค์ที่จะให้นางเลือกตนเป็นคู่ด้วยกันทั้งนั้น
คนที่หนึ่งกล่าวว่า "ตัวข้าเป็นศูทร
ชื่อ ปัญจาผุฏฏิกะ
ข้ามีความสามารถในการตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างงามวันละห้าชุด
ชุดที่หนึ่งข้าถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
ชุดที่สองให้แก่พราหมณ์
ชุดที่สามข้าเอาไว้ใช้เอง
ชุดที่ส่ีกะจะให้แก่ภรรยาของข้า
ซึ่งก็ควรจะเป็นเจ้าหญิงองค์นี้
ชุดที่ห้าสำหรับขายเพื่อเอางินมาซื้ออาหารและสุรากิน
ข้ามีศิลปะอย่างนี้จึงสมควรที่จะได้นางเป็นภรรยาใช่หรือไม่"
เมื่อชายคนที่หนึ่งกล่าวจบลง
ชายคนที่สองก็ประกาศตนว่า "ข้าเป็นไวศยะมีชื่อว่า
ภาษชยะ
ข้ารู้ภาษาสัตว์และนกทั้งปวง
จงยกเจ้าหญิงให้แก่ข้าเถิด"
ชายคนที่สองกล่าวจบลง
คนที่สามก็กล่าวขึ้นว่า "ข้าเป็นกษัตริย์มีชื่อว่า
ขัฑคธร
ได้รับการยกย่องจากคนทั้งหลายว่าเป็นผู้ทรงพลัง
ไม่มีใครอีกแล้วในโลกนี้ที่จะรู้ศิลปะในการใช้ดาบยิ่งไปกว่าข้า
โอ ราชะ
โปรดทรงยกนางให้แก่ข้าเถิด"
เมื่อได้ฟังขายคนที่สามว่าดังนั้น
ชายคนที่สี่ก็ลุกขึ้ืนประกาศว่า
"ข้าเป็นพราหมณ์ มีชื่อว่า
ชีวทัตต์
และข้ามีความรู้ศิลปะอันเลิศคือ
สามารถช่วยคนและสัตว์ที่ตายไปแล้วให้กลับมีชีวิตได้
ดังนั้นขอให้พระธิดาคนงามแต่งงานกับข้าเถอะ
เพราะข้าเป็นผู้ที่มีศิลปะเลิศกว่าใครทั้งหมด"
เมื่อได้ฟังบุรุษทั้งสี่อ้างสรรคุณของตัวจบลง
พระราชาวีรเทพพร้อมด้วยเจ้าหญิงราชธิดาซึ่งประทับอยู่เคียงข้าง
ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า
คนทั้งสี่นั้นต่างก็มีรูปงามราวเทพ
และนุ่งห่มด้วยพัสตราภรณ์อันงามยิ่งเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่อาจจะตัดสินได้ว่าใครดีกว่าใคร
จึงต่างนิ่งอึ้งอยู่
เวตาลเมื่อได้เล่านิทานจบลงแล้ว
ก็กล่าวแก่พระราชาตริวิกรมเสน
ด้วยการคะยั้นคะยอให้ตอบปัญหา
โดยกล่าวว่า "โอ มหาราช
โปรดบอกข้าหน่อยได้ไหมว่า
ชายคนใดในสี่คนนี้สมควรจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงอนงครตี"
พระราชาได้ฟังก็ตรัสแก่เวตาลว่า
"อ้ายเจ้าเล่ห์
เจ้าพยายามหลอกล่อให้ข้าพูดหลายครั้งหลายหนแล้ว
ข้าก็เผลอตอบปัญหาของเจ้าทุกที
เพราะมันมีแง่มีมุมที่ตัดสินได้ยาก
ข้าจึงต้องแสดงความคิดให้เจ้าฟัง
แต่ว่าคราวนี้ข้าเห็นว่าปัญหาของเจ้ามันแสดงความโง่เซอะของเจ้าแท้
ๆ
เจ้าไม่เห็นหรือว่าหญิงในวรรณะใดก็ต้องหาสามีในวรรณะใดก็ต้องหาสามีในวรรณะนั้นเท่านั้น
นางกษัตริย์ก็ต้องแต่งงานกับกษัตริย์ด้วยกัน
จะไปแต่งกับชายวรรณะอื่นได้อย่างไร
ก็ชายทั้งสี่นั้นต่างก็อยู่ในวรรณะแตกต่างกัน
ชายตัดเสื้ออยู่ในวรรณะศูทร
ชายคนที่รู้ภาษาสัตว์เป็นคนในวรรณะไวศยะ
ชายคนที่รู้มนตร์ช่วยชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นเป็นวรรณะพราหมณ์
คงเหลืออยู่คนเดียวคือ
ขัฑคธร ที่เป็นวรรณะกษัตริย์
เพราะฉะนั้นคนที่จะแต่งงานกับเจ้าหญิงได้ก็ต้องเป็นขัฑคธร
เท่าน้ัน"
"โอ ราชะ"
เวตาลกล่าวอย่างโล่งอก "ขอบพระทัยที่ช่วยตอบปัญหาของข้า
แต่เห็นทีพระองค์จะต้องติดตามข้าอีกแล้วพระเจ้าข้า"
กล่าวจบเวตาลก็ผละจากบ่าของพระราชา
และหายไปในความมืดของราตรี
พระราชาต้องเสด็จกลับไปที่ต้นอโศกอีกครั้งหนึ่ง
เพราะขึ้นชื่อว่า
ความท้อถอยหมดอาลัยหาได้มีอยู่ในบุคคลผู้วีระไม่
เพราะจิตใจของเขาไม่เคยเปิดเพื่อความอ่อนแอเลย