พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๓

 


พระเทวเทพ
จบตอน

       ครั้งหนึ่งพระอัญญาโกณฑัญญเถรเจ้า ผู้เป็นสาวกแห่งสมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า มีพระชนมายุสังขารจวนจะสิ้นแล้ว เข้าสู่พระนิพพานแทบฝั่งฉัตรทันต์สระ ในกาลนั้น อันว่าพระยาช้างศรีเศวตมงคลขาวสอาดดังไกลาสเงินยวง เป็นอันงามก็มีความปรารถนาซึ่งพระสัพพัญญุตญาณพระบรมฉัตรทันต์ชาติคชสารตัวประเสริฐ

       บังเกิดเป็นโพธิสัตว์เสพอาศัยอยู่ในขอบฝั่งสระนั้น ครั้นเที่ยวไปได้ทัศนานุตตริยาคุณเห็นกองบุญ บังเกิดความยินดีโสมนัส ที่ได้พบเห็นพระสรีรกายแห่งองค์พระขีณาสพ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ พระยาช้างเผือกผู้โพธิสัตว์จึงตั้งจิตอธิษฐานลงว่า เราจะกระทำการปลงพระสรีรกายพระมาหาสาวกนั้นในประเทศนี้

       แล้วประกาศแก่ฝูงเทพดาทั้งหลายว่า “ เชิญท่านมาช่วยด้วย อันว่ากองกุศลอันใดเราได้กระทำไว้แต่ชาติปางก่อน แม้นมีอยู่แล้วขอจงมาอุปถัมภกยกเอาเลื่อยทิพย์อันหนึ่งมาให้ในสำนักแห่งเรา ด้วยเดชะกองกุศลของพระยาช้างตั้งจิตอธิษฐานดังนั้น อันว่าเลื่อยทิพย์ก็บันดาลลอยมา ตกลงตรงหน้าแห่งพระยาช้าง ๆ ก็ตัดงาทั้งสองให้ขาดแล้วก็เอางาของตัวข้างหนึ่งกระทำเป็นโกศ อีกข้างกระทำเป็นรูปนกยูงทอง ประดับเป็นอันงาม จะกระทำณาปยนกิจเผาสรีรกายพระขีณาสพนั้น ฯ

       จึงมาคำพระอาจารย์กล่าวโจทย์ว่า พระยาช้างฉัตรทันต์เป็นชาติเดียรัชฉานเหตุใดหรือ จึงเอางาของอาตมากระทำเป็นโกศ มีรูปนกยูงทองประดับเป็นอันงาม พึงให้นักปราชญ์ ผู้มีปัญญากล่าววิสัชชนา แก้ด้วยประการดังนี้ ว่าพระยาช้างฉัตรทันต์นั้นเป็นสัตว์เดียรัชชฉานก็จริงแล แต่ว่าเป็นบรมโพธิสัตว์ก่อสร้างพระบารมีมามากแล้ว เดชะบารมีทั้งหลายของพระยาช้างก็ร้อนขึ้นไปถึงอาศน์ แห่งสมเด็จจอมรินทราธิราชจึงมีเทวบัญชาสั้งพระวิษณุกรรมเทพบุตร ให้ลงมานริมิตรสรรพการเครื่องฌาปนกิจทั้งปวงสำเร็จแล้ว

       ครั้งนั้นพระยาช้างแก้ว ก็ถอนเอาผมในศีรษะของอาตมากระทำเป็นไส้ประทีปตามถวายเป็นเครื่องสักการบูชา ฝ่ายว่าช้างบริวารทั้งหลาย ก็มาประชุมแวดล้อมพร้อมกันทั้ง ๘ หมื่น ๔ พัน กระทำสมโภชรื่นเริงบรรเทิงใจเล่นเป็นโกลาหล ด้วยพวกพลช้างทั้งหลายนั้นถ้วนถึง ๗ วัน แล้วก็เชิญอสุภกัมมัฏฐาน คือพระกเฬวระสรีรกาย พระขีณาสพเจ้าออกจากโกศยกข้นวางในรูปนกยูงทอง จึงเอาแก่นจันทร์แดงมีกลิ่นอันหอมลงรองเรียบไว้เป็นอันดี

       แล้วก็ตั้งลงซึ่งพระอสุภกัมมัฏฐานแห่งองค์พระขีณาสพเจ้า จึงเชิญขึ้นวางไว้บนเศียรเกล้าของอาตมา แล้วก็เอาเพลิงจุดเผาพระศพสรีรกาย ณ เบื้องบนศรีษะแห่งตนนั้น ครั้นเตโชธาตุเผาผลาญสังหารพระสรีรศพย่อยยับลงแล้ว รูปนกยูงทองที่เป็นเชิงตะกอน ซึ่งตั้งอยู่บนศรีษะพระยาช้างนั้น ประดุจดังว่ามีจิตวิญญาณก็บินไปบนอากาศเวหา อันตรธานสาบศูนย์หายไปสิ้น มิได้มีเศษ แต่พระสรีรธาตุทั้งหลายนั้น ตกลงเรี่ยรายอยู่บนแผ่นดินในที่นั้นฝูงเทพดาทั้งหลาย ตกแต่งพระเจดีย์บรรจุพระสารีรธาตุไว้

       ในกาลนั้นพระยาช้างชาติฉัตรทันต์จึงกระทำปณิธานความปรารถนาว่า “ เดชะข้าพเจ้าได้เลื่อยงาทั้ง ๒ ของข้าพเจ้ากระทำเป็นเครื่องสักการบูชาพระอสุภกัมมัฏฐานของพระสาวกเจ้านี้ ขอให้เป็นปัจจัยใด้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชชุดาญาณ ในอนาคตกาลเถิด ฯ ” ครั้นพระยาช้างสิ้นชีวิตก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในดุสิตเทวโลกเป็นเทพบุตรเสวยสมบัติในวิมานอันเกษมนิราศภัย ฯ

       ดูก่อสำแดงสารีบุตรผู้เจริญ อันว่าสุภพรหมณ์นี้ แต่ครั้งศาสนาพระโกนาคมน์เจ้าได้ก่อสร้างพระบารมีดังนี้ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเทพสัพพัญญูผู้ประเสริฐในอนาคตกาลโน้น แสดงมาด้วยเรื่องราวพระสุภพราหมณ์ บรมโพธิสัตว์คำรบ ๗ ก็ยุตติแต่เพียงนี้ ฯ