พระสกุลาเถรี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้มีทิพย์จักษุ
  พระสกุลาเถรี เกิดในตระกูลพราหมณ์ผู้มีฐานาอยู่ในขั้นมหาเศรษฐีบิดามารดาตั้งชื่อว่าให้ว่า “ สกุลา” เป็นผู้มีจิตศรัทธาน้อมไปในการบรรพชาอันเป็นผลมาจากบุญกุศลเก่าในอดีตชาติอยู่แล้ว

ออกบวชเพราะเบื่อโลก

  ครั้นเมื่อ พระบรมศาสดา เสด็จเที่ยวเทศนาสั่งสอนเวไนยสัตว์ไปตามนิคมน้อยใหญ่ต่าง ๆ ยังมีหมู่สัตว์ทั้งหลายให้บรรลุมรรคผล ตามอุปนิสัยอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละคน เสด็จมายังพระนครสาวัตถี ประทับ ณ พระมหาวิหารเชตวันที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถงาย นางได้เห็นพระบรมศาสดา ผู้สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถีแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ได้แสดงตนเป็นอุบาสิกา ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

  ต่อมาภายหลัง ได้ฟังธรรมในสำนักของพระอรหันต์องค์หนึ่งแล้วเกิดความสลดใจในโลกสันนิวาส จึงได้ออกบรรพชาในสำนักของภิกษุณี อุตสาห์บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนาไม่นานนัก ก็ได้ออกบรรพชาในสำนักของภิกษุณี อุตสาห์บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนาไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมทั้งวิชชา ๓ และอภิญญา ๖


ได้รับยกย่องเป็นเลิศทางทิพย์จักษุ

   พระสกุลาเถรี เมื่อได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ปรากฏว่าเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์ทั้งหลาย มีทิพพจักขุญาณ ทิพพโสตญาณ และบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เป็นต้น

  ทั้งนี้ ก็ต้องอานิสงส์จากอดีตชาติ ครั้งพระศาสนาพระพุทธเจ้านามว่า กัสสปะ นางได้บวชเป็นปริพาชิกาคือนักบวชนอกพระพุทธศาสนา นางได้จุดประทีปโคมไฟถวายบูชาพระเจดีย์ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส จึงเป็นผลส่งให้ นางมีความชำนาญในทิพพจักขุญาณ สามารถมองทะลุฝา ทะลุกำเเพง และภูเขาได้ตามความปรารถนา

  ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประกาศยกย่องพระสกุลาเถรีนี้ ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้มีทิพยจักษุ...


วิชชา

  ความรู้แจ้ง ความรู้วิเศษ มี ๓ คือ
  ๑ . ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ    ความรู้ที่ให้ระลึกชาติได้
   ๒ . จุตูปปาญาณ    ความรู้จุติและอุบัติเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
   ๓ . อาสวักขยญาณ    ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น

ย้อนกลับ             ปิดหน้านี้         ถัดไป