พระสุวรรณสาม ๒

    ก็เห็นว่าต่อไปท่านทั้งสองนี้เนื่องด้วยกรรมเก่าของท่านทั้งสองนี้ถึงกับเสียตา และเมื่อเป็นเช่นนั้นการหาอาหารก็จะลำบาก ควรจะต้องหาใครไว้สักคนหนึ่งเพื่อเอาไว้ช่วยเหลือ จึงใปหาพระดาบส พร้อมกับพูดว่า
“ท่านขอรับ ท่านมาอยู่ในป่าสองคนผัวเมีย ไม่มีคนปฎิบัติหากเป็นอะไรไปแล้วจะได้รับความลำบากมาก”
“โอ?.. ไม่เป็นไรหรอก เราอยู่ในป่าก็อยู่อย่างสบายแม้เราจะเป็นอะไรไป เราก็คิดสละแล้ว เพราะเราทั้งสามีภรรยานี้ ได้สละชีวิตแล้วเพื่อบำเพ็ญพรต”
“แต่ท่านครับ ต่อไปท่านจะต้องเสียตา และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านจะหาอาหารที่ไหนได้”
“ตามใจมันเถอะ ถ้ามันหาอาหารไม่ได้มันก็ตายเท่านั้นเอง”
“แต่ว่าทำอย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามเหล่านี้ล่ะ”
“เอ? ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่าครับ ท่านน่ะจะต้องเสียตา แล้วใครจะปฎิบัติรักษาท่านได้ และเมื่อท่านสิ้นชีวิตเสียแล้ว การบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อจะบรรลุผลสำเร็จถึงวันข้างหน้าท่านจะทำอย่างไรเล่าครับ เอาล่ะ ผมมีหนทางอย่างหนึ่ง แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจท่านเถอะครับ.....คืออย่างงี้ ถึงเวลาภรรยาของท่านจะมีระดู กระผมน่ะอยากให้ท่านเอามือลูบท้องภรรยาท่านสามทีเท่านั้น ท่านก็จะมีลูกไว้ใช้สอย ท่านพอจะทำได้หรือไม่ครับ”
“เออ เท่านี้เหรอ ถ้าเพียงเท่านี้ก็พอจะทำได้หรอก แต่ว่าเรื่องอื่นไม่เอานะ”

   เมื่อพูดจาตกลงกันอย่างนี้ เมื่อนางปาริกามีระดูก็ได้บอกกับทุรุกดาบสทราบ ทุรุกจึงได้เอามือลูบท้องของภรรยาสามที และนับแต่นั้นมานางปาริกาก็ตั้งครรภ์

   เมื่อครบกำหนดก็คลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย มีรูปพรรณสวยงาม ผิวเนื้อประดุจทอง เขาเลยตั้งชื่อว่า สุวรรณสาม เจ้าสุวรรณสามนี้น่ะ ตั้งแต่เกิดมาก็มีเมตตาจิตเพราะว่าบิดามารดาเป็นคนดีอยู่แล้ว ก็สอนให้สุวรรณสามนี้ประพฤติดีตลอดมา และก็สอนให้รู้จักทางทำมาหากิน คือทางที่มีผลไม้ท่านก็จะพาสุวรรณสามนี้ให้ไปรู้จักไว้บ้างว่าทางนี้น่ะมีผลไม้ทางโน้นไม่มี ว่าทางนี้จะไปไหน และจะกลับอาศรมได้เวลาใด ก็พยายามแนะนำสั่งสอนตลอดเวลา เจ้าสุวรรณสามก็โตขึ้น

     จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งเป็นเวลาที่ท่านจะประสบอุบัติเหตุตามที่พระอินทร์ได้เคยว่าให้ฟังตั้งแต่ก่อน วันนั้นพอออกไปหาผลไม้เผอิญเกิดลมฝน อ้ายลมนี่น่ะมันเกิดขึ้นมามักจะมืดมัว ไอ้ ป่าไม้มันก็มืด ท่านทั้งสองก็เลยไปหลบเข้าไปอาศัยอยู่ที่พุ้มไม้แห่งหนึ่งที่พุ่มไม้แห่งนั้นน่ะ เผอิญมันมีงูเห่าอยู่ตัวหนึ่งอยู่ที่นั่น พอเห็นมีคนเข้าไปจะว่าหวงโน่นหวงนี่ก็ใช่ที่ จะเพราะว่าถึงคราวของท่านมากกว่า จึงบังเอิญให้เจ้างูเห่านี่พ้นพิษงูออกมา เมื่อท่านทั้งสองเข้าในที่นั้น พิษนั้นก็เข้าตาของท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองก็ตามืดมัว จนกระทั่งมองไม่เห็นอะไรเลยผลที่สุดไปไหนไม่ได้เลย อาหารก็หาไม่ได้

   เจ้าสุวรรณสามนั้นคอยอยู่บรรณศาลา ถึงเวลาก็ไม่เห็นพ่อและแม่กลับมา ก็สงสัยในใจอยู่แล้ว จนกระทั่งเวลาเย็นเห็นว่าผิดเวลามากแล้ว ก็เลยออกตาม ออกตามนี้คือที่หมายความว่า ทางใดที่เคยไปหาผลหมากรากไม้เจ้าสุวรรณสามก็ตามไปทางนั้น ก็พอดีไปพบท่านทั้งสองยังนั่งอยู่ใต้ร่มไม้นั้น เมื่อสอบถามได้ความว่าถูกพิษร้ายจนกระทั่งเสียตา เจ้าสุวรรณสามก็หัวเราะขอบใจ
“ไอ้หนู”
“เจ้าหัวเราะทำไม ?”
“ก็หัวเราะพ่อกับแม่ที่ถูกพิษจนกระทั่งตาบอดน่ะสิ”
“เอ๊ะ? เจ้านี่ พ่อแม่ได้รับความทุกข์เจ้ากลับชอบใจรึ”
“ครับชอบใจ”
“อ้าว? ทำไมเป็นอย่างนั้นไปล่ะ เจ้าคิดจะเป็นคนเนรคุณล่ะสิ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ผมดีใจน่ะ ผมจะได้เลี้ยง พ่อแม่ตามกำลังของผมโดยพ่อกับแม่ปฎิเสธไม่ได้ คราวก่อนผมจะออกไปหาเอง พ่อกับแม่ก็บอกว่าอย่าออกไปเลย ยังมีกำลังหาได้ก็จะหาไปก่อน และเดี๋ยวนี้พ่อกับแม่ก็เป็นคนพิการเสียแล้ว ไม่สามารถที่จะไปไหนได้ เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องหาเลี้ยงพ่อแม่ นี่เหละครับเป็นเรื่องที่ผมดีใจที่สุด แล้วยังงี้จะไม่ให้ผมหัวเราะได้อย่างไรครับ”
“เออ เมื่อเป็นอย่างนี้จริง ๆ พ่อต้องโมทนาด้วย เอาล่ะเดี๋ยวนี้มันก็เย็นแล้ว พ่อตาไม่เห็นอะไรแล้ว เจ้าก็ช่วยพาพ่อกับแม่กลับไปอาศรมของเราเถอะ” เจ้าสุวรรณสามก็พาท่านทั้งสองกลับอาศรม

    และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าสุวรรณสามก็ปฎิบัติท่านทั้งสองเป็นอันดี คือสถานที่เดินจงกลมหรือไปถ่ายทุกข์หรือว่าจะไปถ่ายเบา หรือว่าจะไปอาบน้ำอาบท่าก็ดี เจ้าสุวรรณสามก็พยายามหาเชือกเครือเถาต่าง ๆ มาผูกพอเป็นเครื่องหมายให้ท่านทั้งสองเดินเกาะไปตามราวเหล่านี้ ทำสิ่งเหล่านั้นได้โดยตัวเอง ซึ่งเป็นความสะดวกซึ่งท่านทั้งสองก็ทำได้อย่างสบาย

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3