9. อานาปานานุสสติกรรมฐาน
อานาปานานุสสติ แปลว่า ระลึกถึงลมหายใจเป็นอารมณ์ กรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานใหญ่คลุมกรรมฐานกองอื่น ๆ เสียสิ้น เพราะจะปฎิบัติกรรมฐาน 40 กองนี้ กองใดกองหนึ่งก็ตาม จะต้องกำหนดลมหายใจเสียก่อน หรือมิฉะนั้นก็ต้องกำหนดลมหายใจร่วมไปพร้อม ๆ กับกำหนดพิจารณากรรมฐานกองนั้น ๆ จึงจะได้ผล หากท่านผู้ใดเจริญกรรมฐานกองใดก็ตาม ถ้าเว้นการกำหนดเสียแล้ว กรรมฐานที่ท่านเจริญจะไม่ได้ผลรวดเร็วสมความมุ่งหมาย อานาปานานุสสตินี้ มีผลผลถึงฌาน 4 สำหรับท่านที่มีเป็นพุทธสาวก ถ้าท่านที่มีบารมีในวิสัยพุทธภูมิ ท่านผู้นั้นจะทรงฌานในอานาปานานุสสติถึงฌานที่ 5
อานาปานานุสสติระงับกายสังขาร
เมื่อมีทุกขเวทนาเกิดขึ้นทางกาย ท่านที่ได้ฌานในอานาปานานุสสติ เข้าฌานในอานาปาน์จนถึงจตุตถฌานแล้ว ทุกขเวทนานั้นจะระงับไปทันที ทั้งนี้มิใช่หมายความว่าเวทนาหายไป แต่เป็นเพราะเมื่อเข้าถึงฌาน 4 ในอานาปาน์นี้แล้ว จิตจะแยกออกจากขันธ์ 5 ไม่รับรู้ทุกขเวทนาของขันธ์ทันที ท่านที่ได้ฌานในอานาปานุสสตินี้ ท่านจะไม่ได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส เมื่อทุกข์ทางร่างกายเกิดขึ้น เพราะท่านหนีทุกข์ได้ด้วยการเข้าฌาน แยกจิตกับขันธ์ 5 ออกจากกันเป็นกรรมฐานที่ให้ผลสูงมาก
รู้เวลาตายได้ที่แน่นอน
ท่านที่ได้ฌานอานาปานานุสสตินี้ สามารถรู้กำหนดเวลาตายของท่านได้ ตรงตามความเป็นจริงเสมอ โดยกำหนดล่วงหน้าเป็นแรมปี เมื่อจะตาย ท่านก็สามารถบอกเวลาได้ว่า เวลาเท่านั้นเท่านี้ท่านจะตาย และตายด้วยอาการอย่างไร เพราะโรคอะไร
ช่วยกรรมฐานกองอื่น
ท่านที่ได้ฌาน 4 ในอานาปาน์นี้แล้ว จะปฎิบัติในกรรมฐานกองอื่น ๆ อีก 39 กองนั้น ท่านเข้าฌานในอานาปาน์ก่อน แล้วถอยหลังจิตมาดำรงอยู่แค่อุปจารสมาธิ แล้วกำหนดกรรมฐานกองนั้น ๆ ท่านจะเข้าถึงจุดสูงสุดในกรรมฐานกองนั้น ๆ ได้ภายไน 3 วันเป็นอย่างช้า ส่วนมากได้ถึงจุดสูงสุดของกรรมฐานกองนั้น ๆ ภายในที่นั่งเดียว คือคราวเดียวเท่านั้นเอง
จุดจบของอานาปานานุสสติ
จุดจบของอานาปานานุสสตินี้ คือ ฌานที่ 4 หรือที่ 5 ก็ได้แก่การกำหนดลมหายใจจนไม่ปรากฎลมหายใจ ที่ท่านเรียกกันว่าลมหายใจขาด แต่ความจริงลมหายใจไม่ขาดหายไปไหน เพียงแต่ว่าร่างกายกับจิตแยกกันเด็ดขาด จิตไม่รับทราบอาการทางกายเท่านั้น เมื่อจิตไม่รับรู้เสียแล้ว การหายใจหรือการเคลื่อนไหวใด ๆ ทางกาย จึงไม่ปรากฎแก่จิตตามความนิยม ท่านเรียกว่าลมขาด
วิธีปฏิบัติในอานาปานานุสสติ
การปฎิบัติในอานาปานานุสสตินี้ ไม่มีอะไรยุ่งยากมากนัก เพราะเป็นกรรมฐานที่ไม่มีองค์ภาวนา และไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก เพียงแต่คอยกำหนดลมหายใจเข้าออกตามฐานที่ท่านกำหนดไว้ให้รู้อยู่ว่าครบถ้วนเท่านั้น เวลาหายใจเข้าก็รู้ว่าหายใจเข้าหายใจออกก็รับรู้ว่าหายใจออก พร้อมกับสังเกตลมสังเกตลมกระทบฐาน 3 ฐาน
ฐานที่กำหนดรู้ของลม
ฐานกำหนดรู้ที่ลมเดินผ่านมี 3 ฐาน คือ
ฐานที่ 1 ท่านให้กำหนดที่ริมฝีปาก และที่จมูก เมื่อหายใจเข้า ลมกระทบที่จมูก เมื่อหายใจออกลมกระทบที่ริมฝีปาก
ฐานที่ 2 หน้าอก เมื่อลมผ่านเข้าหรือผ่านออกก็ตาม ลมจะต้องกระทบที่หน้าอก หมายเอาภายใน ไม่ใช่หน้าอกภายนอก ลมกระทบทั้งลมเข้าและลมออกเสมอ
ศูนย์ที่หน้าท้องเหนือสะดือนิดหน่อย ลมหายใจเข้าหรือออกก็ตาม จะต้องกระทบที่หน้าท้องเสมอทุกครั้ง
3 ฐานนี้มีความสำคัญมาก เป็นเครื่องวัดอารมณ์ของจิต เพราะจิตกำหนดจับฐานใดฐานหนึ่งไม่ครบ 3 ฐาน แสดงว่าอารมณ์ของจิตระงับอกุศลที่เรียกว่านิวรณ์ 5 ได้ แต่อารมณ์หยาบ อารมณ์อกุศลที่เป็นอารมณ์กลางและละเอียดยังระงับไม่ได้ สมาธิของท่านผู้นั้น อย่างสูงก็ได้เพียงขณิกสมาธิละเอียดเท่านั้น ยังไม่เข้าถึงอุปจารสมาธิยังไกลต่อฌานที่ 1 มาก
ถ้าท่านผู้ปฏิบัติ กำหนดรู้ลมผ่านได้ 2 ฐาน แสดงว่าอารมณ์ของท่านผู้นั้นดับอกุศลคือนิวรณ์ได้ในอารมณ์ปานกลาง ส่วนอารมณ์นิวรณ์ที่ละเอียด อันเป็นอนุสัย คือกำลังยังต่ำยังระงับไม่ได้ สมาธิของท่านผู้นั้นอย่างสูงก็แค่อุปจารสมาธิ จวนจะเข้าถึงปฐมฌานแล้ว
ถ้ากำหนดรู้ลมผ่านกระทบได้ทั้ง 3 ฐาน ท่านว่าท่านผู้นั้นระวับนิวรณ์ละเอียดได้แล้ว สมาธิเข้าปฐมฌาน
ส่วนฌานต่าง ๆ อีกสาม คือ ฌานที่ 1. 2. 3. 4. อยากทราบโปรดพลิกไปดูข้อที่ว่าด้วยฌาน จะเข้าใจชัด
นับลม
การกำหนดลมเป็นของยาก เพราะจิตของเราเคยท่องเที่ยวมานาน ตามใจเสียจนเคย จะมาบังคับกันปุบปับให้อยู่นั้น ยากที่จิตใจจะยอมหมอบราบคาบแก้ว เมื่อระวังอยู่แกก็ทำท่าเหมือนจะยอมจำนน แต่พอเผลอเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แกก็ออกไปเหนือไปใต้ตามความต้องการของแก กว่าเจ้าของจะรู้ก็ไปไกลแล้ว อารมณ์ของจิตเป็นอย่างนี้ เมื่อทำไปถ้าเอาไม่อยู่ ท่านให้ทำดังต่อไปนี้
ฝึกทีละน้อย
ท่านสอนให้นับลมหายใจเข้าหายใจออก เข้าครั้ง ออกครั้ง นับเป็นหนึ่ง ท่านให้กำหนดนับดังต่อไปนี้
นับ 1. 2. 3. 4. 5. เอาแค่เข้าออก 5 คู่ นับไปและกำหนดรู้ฐานทั้ง 3 ไปด้วย กำหนดใจไว้ว่า เราจะกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเพียง 4 คู่
พร้อมด้วยรู้ฐานลมทั้ง 3 ฐาน แล้วก็เริ่มกำหนดฐานและนับลม พอครบ 5 คู่ ถ้าอารมณ์ยังสบาย ก็นับไป 1 ถึง 5 เอาแค่นั้น พอใจเริ่มพล่าน ถ้าเห็นท่าจะคุมไม่ไหว ก็เลิกเสียหาความเพลิดเพลินตามความพอใจ เมื่ออารมณ์ดีแล้วก็นับใหม่ ไม่ต้องภาวนา เอากันแค่รู้เป็นพอ เมื่อนับเพียง 5 จนอารมณ์ชินไม่หนีไม่สายแล้ว ก็เลื่อนไปเป็น 7 คู่ 8 คู่ 9 คู่ 10 คู่ จนกว่าอารมณ์จิตจะทรงเป็นฌานได้นานตามสมควร
ผ่อนสั้นผ่อนยาว
การเจริญอานาปานานุสสตินี้ มีอาการสำคัญของนักปฏิบัติใหม่ ๆ อย่างหนึ่ง คืออารมณ์ซ่าน เวลาที่จิตไม่สงบจริงมีอยู่ พอเริ่มต้น อารมณ์ฟุ้งซ่านก็เริ่มเล่นงานทันที บางรายวันนี้ทำได้เรียบร้อยอารมณ์สงัดเป็นพิเศษ จิตสงัดผ่องใส อารมณ์ปลอดโปร่งกายเบา อารมณ์อิ่มเอิบ พอรุ่งขึ้นอีกวัน คิดว่าจะดีกว่าวันแรก หรือเอาเพียงสม่ำเสมอแต่กลับผิดหวัง เพราะแทนที่จะสงัดเงียบ กลับฟุ้งซ่านจนระงับไม่อยู่ ก็ให้พยายามระนับ และนับ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. ถ้านับก็ไม่เอาเรื่องด้วย ยิ่งฟุ้งใหญ่ ท่านตรัสสอนไว้ในบทอานาปานานุสสติว่า เมื่อเห็นว่าเอาไว้ไม่ได้จริง ๆ ท่านให้ปล่อยอารมณ์ แต่อย่าปล่อยเลย ให้คอยระวังไว้ด้วย คือปล่อยให้คือในเมื่อมันอยากคิด มันคิดอะไรก็ปล่อยมันคิดไปตามสบาย ไม่นานนักอย่างมากไม่เกิน 20 นาที อารมณ์ซ่านก็สงบระงับ กลับเข้าสู่อารมณ์สมาธิ เมื่อเห็นว่าอารมณ์หายซ่านแล้ว ให้เริ่มกำหนดลมตามแบบ 3 ฐานทันที ตอนนี้ปรากฏว่าอารมณ์สงัดเป็นอันดี มีอารมณ์แจ่มใส อาการอย่างนี้มีแก่นักปฎิบัติอานาปานานุสสติเป็นปกติ โปรดคอยระลึกไว้ และปฎิบัติตามนี้จะได้ผลดี
อานาปาน์พระพุทธเจ้าทรงเป็นปกติ
เพื่อความอยู่เป็นสุขในสมาบัติ ไม่มีสมาบัติใดที่จะอยู่เป็นสุขเท่า อานาปานานุสสติ เพราะเป็นสมาบัติที่ระงับกายสังขาร คือดับเวทนาได้ดีกว่าสมาบัติอื่น แม้จะเป็นสมาบัติต้นก็ตาม พระอรหันต์ทุกองค์ แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็ทรงอยู่เป็นสุขด้วยอานาปานานุสสติ ดังพระปรารภของพระองค์ที่ทรงปรารภแด่พระอานนท์ว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ ตถาคตก็มากไปด้วยอานาปานานุสสติเป็นปกติประจำวัน เพราะอานาปานานุสสติระงับกายสังขารให้บรรเทาจากทุกขเวทนา จากทุกขเวทนาได้ดีมาก ท่านที่ได้อานาปานานุสสติแล้ว จงฝึกฝนให้ชำนาญและคล่องแคล่วฉับไว ในการเข้าฌานที่ 4 เพื่อผลการระงับทุกขเวทนาอย่างยิ่ง และเพื่อผลในการช่วยฝึกฌาน ในกองอื่นอีกอย่างหนึ่ง
อานาปานานุสสติเป็นบาทของวิปัสนาฌาน
ผลกำไรใหญ่อีกอย่างหนึ่งของอานาปานานุสสติก็คือ เอาอานาปานานุสสติเป็นบาทของวิปัสนาญาณ เพราะฌานที่ 4 ของอานาปาน์เป็นฌานระงับกายสังขาร ดับทุกขเวทนาได้ดี เมื่อเจริญวิปัสนาญาณต่อไป ท่านให้เข้าฌาน 4 พอเป็นที่สบายแล้วถอยสมาธิมาอยู่ที่อุปจารสมาธิ แล้วใคร่ครวญพิจารณาว่า ทุกขเวทนาที่เกิดแก่สังขาร เราจะรู้ว่าเป็นทุกข์ก็เพราะจิตที่ยึดติด ถือเอาสังขารเข้าไว้ ขณะที่เราเข้าฌาน 4 จิตแยกจากสังขาร ทุกขเวทนาไม่ปรากฎแก่เราเลย ฉะนั้น ทุกข์ทั้งปวงที่เรารับอยู่ ก็เพราะอาศัยสังขารเป็นเหตุ การยึดถือสังขารเป็นทุกข์อย่างนี้ เราจะปล่อย ไม่รับรู้เรื่องสังขารต่อไป คือไม่ต้องการสังขารอีก การเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็กลับมามีสังขารอีกเมื่อหมดบุญ เราไม่ประสงค์การกลับมาเกิดอีก เทวดาหรือพรหมยังมีปัจจัยให้มาเกิด เราไม่ต้องการ เราต้องการนิพพานเท่านั้น ที่หมดปัจจัยในการเกิดเราทราบแล้ว เพราะการเข้าฌาน 4 ที่ขาดปัจจัยในสังขาร เป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ฌานที่เข้าไปสามารถจะทรงได้ตลอดกาล สิ่งที่ทรงการละทุกขเวทนา ได้ตลอดกาลก็คือการปล่อยอุปาทาน ได้แก่ไม่รับรู้รับทราบสมบัติของโลกีย์ คือตัดความใคร่ความยินดีใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และไม่เดือดร้อนเมื่อสิ้นลาภ สิ้นยศ มีคนนินทา และประสบกับความทุกข์ จัดว่าเป็นอารมณ์ขัดข้อง และเราจะปล่อยอารมณ์จากความต้องการใน ความรัก ความอยากได้ ความโกรธและพยาบาท ความเป็นเจ้าของทรัพย์ทั้งปวง เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นต้นเหตุของความทุกข์ แล้วทำจิตให้ว่างจากอารมณ์นั้น ๆ พยายามเข้าฌานออกฌาน แล้วคิดอย่างนี้เป็นปกติ จิตจะหลุดพ้นจากอาสวกิเลส ได้อย่างไม่ยากเลย
|