การพิจารณา

การเพ่ง
      เมื่อจะเพ่งดูซากศพ ท่านให้ยืนไม่ให้ห่างเกินไป และไม่ชิดเกินไป อย่ายืืนใต้ลม ถ้ายืนใต้ลมกลิ่นอสุภจะทำให้ไม่สบาย เช่น อาเจียน หรือทำให้เกิดโรคเพราะกลิ่นได้ และอย่ายืนเหนือลมเกินไป เพราะพวกอมนุษย์ที่กำลังกัดกินเนื้ออสุภนั้นจะโกรธ จงยืนเฉียงอสุภด้านเหนือลม ลืมตาเพ่งจดจำรูปอสุภนั้นด้วย สี สัณฐาน อากรที่วางอยู่ จำให้ได้ครบถ้วน แล้วหลับตานึกถึงภาพนั้น ถ้าภาพนั้นเลอะเลือนไปก็ลืมตาดูใหม่ เมื่อจำได้แล้วให้กลับมาที่อยู่ นั่งเพ่งรูปอสุภนั้นให้ติดตาติดใจจนภาพนั้นเกิดเป็นอุคคหนิมิต ต่ออารมรณ์ที่กำหนดนั้นมั่นคงแจ่มใสขึ้นชัดเจน คล้ายกับเห็นด้วยตา และภาพนั้นมีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากรูปเดิม มีสภาพผุดผ่องเป็นร่างบริบูรณ์ เรียกว่าปฏิภาคนิมิต

พิจารณา
      การเจริญอสุภกรรมฐาน ต้องหนักไปทางพิจารณา เพราถ้าใช้แต่การเพ่งจำภาพเฉย ๆ จะกลายเป็นกสิณไป การเพ่งจำภาพนั้นให้พิจารณาไปพร้อม ๆ กันด้วย โดยพิจารณาตามความรู้สึกที่แท้จริงว่า อสุภ คือซากศพนี้ เป็นของน่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน ร่างกายคนและสัตว์มีสภาพน่าเกลียดอย่างนี้ แล้วน้อมภาพนั้นไปเทียบกับคนที่มีชีวิตอยู่ โดยคิดแสวงหาความเป็นจริงว่า ร่างที่สวยงามนั้น ความจริงไม่มีอะไรสวยงามเลย มีแต่ความสกปรกโสโครก มีกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณร่างกาย เมื่อเทียบกับร่างของผู้อื่นแล้ว ก็มาเทียบกับของตนเอง พิจารณาให้เห็นชัดว่า เราเองก็เป็นซากศพเคลื่อนที่ ซากศพนี้มีสภาพเช่นใด เราก็มีสภาพเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ เลือด เสลด น้ำหนอง เหงื่อไคล เราเองผู้เป็นเจ้าของก็ไม่ปรารถนาจะแตะต้อง ฉะนั้น อสุภคือสิ่งที่น่าเกลียดนี้มีอยู่ในร่างกายของเราครบถ้วน สภาพที่แท้จริงจะปรากฎ เช่นซากศพที่กำลังพิจารณาอยู่นี้ จงพยายามพิจารณาให้เห็นชัดเจนตามความเป็นจริง ก่อนพิจารณาต้องเพ่งรูปให้อารมณ์จิตมีสมาธิสมบูรณ์เสียก่อน เมื่อพิจารณาเห็นว่าตนของตนไม่สวยไม่งามแล้ว ก็เห็นว่าคนอื่นว่าไม่สวยไม่งามได้ง่าย พยายามฝึกฝนเสมอ ๆ อารมรณ์จะเคยชิน ตัดความกำหนัดยินดีในส่วนกามารมณ์เสียได้แล้ว ชื่อว่าท่านได้อสุภกรรมฐานในส่วนของสมถภาวนาแล้ว แต่การได้นี้ยังไม่แน่นอน เมื่ออารมณ์ความเบื่อหน่ายเสื่อมเมื่อไร ไปกระทบความยั่วยุเพียงเล็กน้อย อารมณ์ฌานเพียงแค่ปฐมฌานก็พลันสลายตัว ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียไป เมื่ออารมณ์จิต หมดความหวั่นไหวนี้ ท่านให้ใช้วิปัสสนาญาณเข้าสนับสนุน

ยกนิมิตอสุภเป็นวิปัสสนา
      ธรรมดาของนิมิตที่เกิดจากอารมณ์ของสมาธิ จะเป็นนิมิตของอุปจารฌาน หรือที่เรียกว่า อุคคหนิมิต หรือขั้นอัปปนาสมาธิ เป็นอารมณ์ปฐมฌานก็ตาม จะมีสภาพตลอดกาลไม่ได้ ทั้งนี้เพราะจิตไม่สามารถจะทรงสมาธิไว้ได้นานมากนัก จิตจะเคลื่อนจากฌาน ตอนที่จิตเคลื่อนจากฌานนี่แหละ ภาพนิมิตก็จะเลือนหายไป ถ้าประสงค์จะเอานิมิตเป็นวิปัสสนา เมื่อเพ่งพินิจอยู่ พอนิมิตหายไป ก็ยกอารมณ์เข้าสู่ระดับวิปัสสนาโดยพิจารณาว่า นิมิตนี้ เราพยายามรักษาด้วยอารมณ์ใจ โดยควบคุมสมาธิจนเต็มกำลังอย่างนี้ แต่นิมิตจะอยู่กับเราก็หาไม่ กลับอันตรธานหายไป ทั้งที่เรายังต้องการ นิมิตนี้มีสภาพที่จะต้องเคลื่อนหายไปตามกฎของธรรมดาฉัน ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายที่มีความเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องมีอันตรธานไปในที่สุด ฉะนั้น ความไม่เที่ยงของชีวิตที่มีความเกิดขึ้นนี้ มีความตายเป็นที่สุด ขึ้นชื่อว่าความเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร เป็นสัตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม ต่างมีความเที่ยงเสมอเหมือนกัน เอาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้เลย เมื่อความไม่เที่ยงมีอยู่ ความทุกข์ก็ต้องมี เพราะต้องการให้คงอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็เต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งสิ้น เช่น ทุกข์จากการแสวงหาอาหาร เครื่องอุปโภค เลี้ยงชีวิตและครอบครัว ทุกข์เพราะโรคภัย ทุกข์เพราะไม่อยากให้ของรักของชอบต้องแตกทำลาย หายไป ความปรารถนาที่ฝืนความจริงตามกฎธรรมดานี้เป็นเหตุของความทุกข์ แต่ที่สุดก็ฝืนไม่ไหว ต้องแตกทำลายอย่างนิมิตอสุภนี้เหมือนกัน เดิมทีก็มีปัญจขันธ์เช่นเรา บัดนี้เขาต้องกระจัดพลัดพรากแตกกายทำลายขันธ์ออกเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ แม้จะฝืนอย่างไร ก็ฝืนกฎธรรมดาไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องสลายไป ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า โลก เป็น อนัตตา คือไม่มีอะไรทรงสภาพ สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสุขทรงสภาพปกตินั้น มีพระนิพพานแห่งเดียว ผู้ที่จะถึงพระนิพพานได้ คือ ท่านเห็นสังขารทั้งหลายเป็นของน่าเกลียด เห็นสังขารทั้งหลายเป็นแดนของความทุกข์ เพราะกิเลสและตัณหาปกปิดความรู้ความคิด สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา ท่านไม่ยึดมั่นในสังขาร เบื่อในสังขาร เกิดมามีสังขารต้องเป็นทุกข์ ไม่ปรารถนาการเกิดอีก ไม่ว่าชาติภพใด ๆ หวังนิพพานเป็นอารมณ์ คิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ ไม่มีอารมณ์รัก รักสมบัติ รักยศ รักสรรเสริญ ฯลฯ ตัดฉันทะ ความพอใจในโลกทั้งสิ้น ตัดราคะ ความกำหนัดยินดีในโลกทั้งสิ้น พอใจในพระนิพพาน เมื่อทรงชีวิตอยู่ก็มีเมตตาเป็นปกติ ไม่ติตโลกามิส คือสมบัติของโลก ท่านเข้าพระนิพพาน ท่านมีอารมณ์เป็นอย่างไร บัดนี้เราผู้เป็นพุทธสาวกก็กำลังทรงอารมณ์นั้น เราเห็นความไม่เที่ยงของสังขารแล้ว เพราะมีอสุภเป็นพยาน เราเห็นความทุกข์เพราะการเกิดแล้ว เพราะมีอสุภเป็นพยาน เราเห็นอนัตตาแล้ว เพราะมีอสุภเป็นพยาน เราจะพยายามตัดความไม่พอใจในโลกามิสทั้งหมด เพื่อให้ได้ถึงพระนิพพานเป็นที่สุด จงคิดอย่างนี้ พิจารณาอย่างเนือง ๆ ทุกวันทุกลมหายใจเข้าออก ท่านจะเข้าถึงนิพพานในชาติปัจจุบัน

ภาพประสาทหลอน
      นักปฏิบัติกรรมฐานในอสุภกรรมฐานนี้ มักจะถูกอารมรณ์อย่างหนึ่งที่คอยหลอกหลอนอยู่เสมอ นั่นคือ อารมณ์อุปาทาน อารมณ์อุปาทานนี้ จขะมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า จะถูกอสุภคือซากศพนั้นคอยหลอกหลอน การที่ออกไปเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณาอสุภก็ดี พิจารณาอสุภอยู่ที่วิหารก็ดี บางครั้งอารมณ์จะหลอนตนเองว่า เหมือนมีภาพซากศพที่พิจารณานั้นบ้าง แสดงอาการทำร้ายตน บางคนถึงกับตกใจกลายเป็นคนเสียสติไปก็มี ความจริงแล้วไม่มีปีศาจใด ๆ มาหลอกหลอน ที่เป็นดังนั้นก็อาศัยอุปาทาน การยึดถือเดิม ที่คนเรามีมาแต่อดีตว่า ผีทำร้ายหลอกหลอน
      เมื่อมีอารมณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นแล้ว ท่านให้ตัดใจว่า นี่เราฝึกเพื่อมรรคผลความดี เพื่อพ้นจากทุกข์ ซากศพที่ตายแล้วไม่มีวันจะลุกมาทำร้ายได้ ปีศาจใดที่จะทำอันตรายแก่พระโยคาวจรอย่างเรานี้ไม่มี พระอริยเจ้าท่านก็สำเร็จมรรคผลด้วยผ่านการเจิรญอสุภกรรมฐานมาแล้วทั้งสิ้น ทุกท่านไม่มีอันตรายต่อชีวิตเพราะซากศพหรือปีศาจเลย ภาพที่ปรากฎนี้เป็นภาพประสาทหลอนเป็นอารมณ์อุปาทาน ไม่มีอะไรจริงจัง แล้วตัดใจปฏิบัติต่อไป ภาพหลอนก็จะอันตรธานหายไป บางรายก็ตัดสินใจด้วยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน คือ เมื่อเห็นภาพหรือเกิดอารมณ์กลัวขึ้นมา ก็ตัดสินใจ เชิญเถิดถ้าเราจะต้องตายเสียในระหว่างปฏิบัติความดีนี้ถ้าจะตายเพราะถูกปีศาจทำอันตราย ก็พร้อมที่จะตาย เพราะเราไม่ปรารถนาการเกิด และไม่ปรารถนาจะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ และไม่สนใจในภาพนั้น ภาพหลอนและอารมณ์กลัวก็จะหายไป ท่านก็กลับได้สมาธิตั้งมั่นอย่างคาดไม่ถึง และมีผลทางวิปัสสนาญาณอย่างเลิศ

ย้อนหน้า 2