พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๒

 


พระธรรมราช
เริ่มต้น

       ลำดับนั้น พระผู้ทรงพระภาคเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อสิ้นศาสนาของพระรามเจ้าแล้ว มนุษย์ทั้งหลายในมัณฑกัปป์ ก็มีอายุเรียวน้อยถอยลงไปพ้นจาก ๘ หมื่นปีลงมา กำหนดอายุของมนุษย์ทั้งหลายกาลครั้งนั้น ๕ หมื่นปีเป็นอายุขัย แล้วพระเจ้ากรุงปเสนทิโกศลราชบรมโพธิสัตว์นี้ จักได้บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระธรรมราช มีพระองค์สูง ๑๖ ศอก พระชนมายุยืนได้ ๕ หมื่นปีเป็นกำหนด

        ไม้กากะทิงเป็นพระมหาโพธิ เมื่อเสด็จพระพุทธดำเนินไปนั้น จะบังเกิดดอกบัวทองทั้งสองผุดขึ้นมาจากแผ่นดินเข้ารับรองเอาพระบาท อันว่าดอกบัวทั้งสองนั้น มีดอกใหญ่ประมาณเท่าจักร์รถ เกิดขึ้นมารับเอาฝ่าพระบาท อนึ่งจะบังเกิดดอกบัวแก้ว ๗ ประการผุดขึ้นมากแผ่นดินเข้ารับพระองค์ไว้ เป็นอาสนะของพระองค์เมื่อทรงนั่งและยืนและไสยาสน์นั้นประการหนึ่งเล่า

       ในพระพุทธศาสนาพระเจ้าปเสนทิโกศลสัพพัญญูผู้เสริฐนั้น บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งให้สำเร็จประโยชน์เป็นเครื่องบริโภคแห่งมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้อาศัยซึ่งไม้กัลปพกฤษ์นั้นแล้ว ก็ประพฤติเลี้ยงชีวิตอาตมาเป็นสุขสบาย มิได้กระทำการถากไร่ไถนาค้าขาย ด้วยพระพุทธานุภาพแห่งสมเด็จพระเจ้าปเสนทิโกศลสัพพัญญูนั้น

       ดูก่อนสำแดงสารีบุตร พระเจ้าปเสนทิโกศลราช ได้ก่อสร้างพระบารมีทั้งหลายมาเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีครั้งหนึ่งปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่ง จึงได้พระพุทธสมบัติเป็นปานดังนี้ พระองค์จึงนำมาซึงอดีตนิทานแห่งกองบารมีของพระเจ้าปเสนทิโกศลราชว่า อตีเต กาเล ในกาลเมื่อครั้งพระศาสนาพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระเจ้ากรุงโกศลราชได้บังเกิดเป็นมาณพผู้หนึ่ง มีนามว่า สุททมาณพ ไปรักษาซึ่งสระบัวอยู่แห่งหนึ่ง แล้วเก็บเอาดอกบัวนั้นมาวันละสองดอกเอามาขายเสี้ยงชีวิตทุกวัน

       มาวันหนึ่งสุททมาณพไปเก็บดอกบัวมาสองดอก เดินมาตามมรรคเพื่อว่าจะขายดอกบัวนั้น ในกาลนั้นเป็นเวลาเช้า สมเด็จพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดำเนินไปเที่ยวโคจรบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็นสุททมาณพ พระองค์พิจารณาเห็นในขณะนั้น ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่า สุททมาณพคนนี้เป็นวงศ์แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ได้บำเพ็ญพระบารมีมามากอยู่แล้ว จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล

       บัดนี้ ควรพระตถาคตจะให้พยากรณ์ทำนาย แก่สุททมาณพในท่ามกลางมหาชนเถิด ทรงพระจิตนาดังนี้แล้วก็เกิดโสมนัสส์จิตอันประกอบกับพระญาณ แย้มพระโอษฐ์อันงามทรงพระสรวลในดวงพระพักตร์ สุททมาณพเห็นสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเบิกบานแย้มพระโอษฐ์ดังนั้น

       จึง กระทำนมัสการกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระโลกนาถผู้ประเสริฐ ข้าพระบาทนี้ใช่ญาติวงศ์หพงศ์ตระกูลของพระผู้ทรงพระภาคเจ้า อนึ่งเล่าจะได้เป็นมิตรสหายวิสสาสะคุ้นเคยกันกับพระองค์ก็หามิได้ เหตุประการใดหรือ พระองค์ทอดพระเนตรแล้วแย้มพระโอษฐ์ดังนี้

       สมเด็จพระสัมมาสัมพัญญูเจ้าจึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า ดูก่อนสุททมาณพเอ๋ย ท่านหารู้ไม่หรือประการใด ตัวของท่านแหละเป็นน้องของพระตถาคต ท่านร่วมบิดามารดาเดียวกันกับพระตถาคตเป็นไรเล่า สุททมาณพ ได้สดับพระพุทธฏีกาดังนั้น ก็ยิ่งบังเกิดความพิศงงงงวยไป แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทนี้เป็นน้องของพระองค์ในกาลเมื่อครั้งใด จึงพยากรณ์ทำนายว่า ดูก่อนสุททมาณพ ในเมื่อภัททกัปป์อันนี้ล่วงไปแล้วช้านาน

       บังเกิดมีกัปป์อันหนึ่งชื่อว่ามัณฑกัปป์ ในมัณฑกัปป์นั้น พระพุทธเจ้าบังเกิดสองพระองค์ คือพระรามพระองค์หนึ่งจักได้บังเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนท่านในเมื่อสิ้นพระศาสนาพรารามเจ้าแล้วได้พุทธธันดรหนึ่ง ตัวท่านสุททมาณพ ครั้งนั้นจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมพัญญูสัมมาพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระธรรมราชผู้ประเสร็ฐพระองค์หนึ่ง

       บัดนี้พระตถาคตเป็นพระพุทธเจ้าเสียก่อนท่านแล้ว นานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น ตัวท่านก็จักเป็นพระพุทธเจ้า เหมือนดังพระตถาคตต่อภายหลัง เหตุดังนั้น พระตถาคตจึงว่าท่านเป็นน้องของพระตถาตคต ฯ เมื่อสุททมาณพได้สดับพระพุทธฏีกาพยาการณ์ทำนายดังนั้น ก็เกิดความปสันนาการเลื่อมใสโสมนัสส์อย่างที่ยิ่ง จึงดำริว่าบัดนี้มีชีวิตอยู่ด้วยมูลค่าแห่งดอกบัว ๒ ดอกเท่านี้ จะได้มีสิ่งอื่นนอกจากดอกบัวหามีไม่แล้ว ควรอาตมาจะเสียสละชีวิต ยกดอกบัวสองดอกนี้กระทำเป็นสักการบูชาถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าเถิด