พระธรรมทินนาเถรี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้เป็นธรรมกถึก
      พระธรรมทินนาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในเมืองราชคฤห์ เมื่อเจริญวัยแล้วได้เป็นภริยาของวิสาขเศรษฐี ผู้ซึ้งเป็นพระสหายของพระเจ้าพิมพิสาร แห่งพระนครราชคฤห์นั้น

ถูกสามีตัดเยื่อใยจึงออกบวช

  วิสาขเศรษฐี ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้งแรกโดยการชักชวนของพระเจ้าพิมพิสาร และได้ร่วมฟังธรรมเทศนาด้วยกัน เมื่อจบพระธรรมเทศนาลงแล้ว วิสาขเศรษฐีได้บรรลุโสดาปัตติผล ต่อมาภายหลังได้ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์อีกและได้บรรลุเป็นพระอนาคามี

  เมื่อกลับจากวัดมายังบ้าน โดยปกติทุก ๆ ครั้ง นางธรรมทินนาจะยืนคอยท่าอยู่ที่เชิงบันใด เมื่อวิสาขเศรษฐีมาถึงก็จะยื่นมือให้เกาะกุมแล้วขึ้นบันใดไปด้วยกัน แม้วันนั้นนางธรรมทินนาก็ยังปฏิบัติเช่นเดิม แต่ฝ่ายวิสาขเศรษฐีผู้สามีไม่เกาะมือ และไม่แสดงอาการยิ้มแย้ม ดังเช่นเคยทำมา แม้แต่เวลาบริโภคอาหารซึ่งนางคอยนั่งปฏิบัติอยู่ ท่านเศรษฐีก็ไม่ยอมพูดจาอะไรทั้งสิ้น ทำให้นางคิดหวั่นวิตกว่า “ ตนคงจะทำผิดต่อสามี ” ครั้นวิสาขเศรษฐีผู้สามีบริโภคอาหารเสร็จแล้วนางจึงถามว่า

  “ ข้าแต่นาย ดิฉันทำสิ่งใดผิดหรือ วันนี้ท่านจึงไม่จับมือและพูดจาอะไรเลย ? ”

  ท่านเศรษฐีกล่าวตอบว่า

  “ ธรรมทินนา เธอไม่มีความผิดอะไรหรอก แต่นับตั้งแต่วันนี้ เราไม่ควรนั่ง ไม่ควรยืนในที่ใกล้เธอ ไม่ควรถูกสัมผัสเธอ และไม่ควรให้เธอนำอาหารมาให้แล้วนั่งเคี้ยวกินในที่ใกล้ ๆ เธอ ต่อแต่นี้ไป ถ้าเธอประสงค์จะอยู่ที่เรือนนี้ก็จงอยู่ต่อไปเถิด แต่ถ้าไม่ประสงค์จะอยู่ ก็จงรวบรวมเอาทรัพย์สมบัติตามความต้องการแล้วกลับไปอยู่ที่ตระกูลของเธอเถิด”

  นางธรรมทินนา จึงกล่าวว่า “ ข้าแต่นาย ดิฉันไม่ขอรับเอาหยากเยื่ออันเปรียบเสมือนน้ำลายที่ท่านถ่มทิ้งแล้วมาเทินบนศีรษะหรอก เมื่อเป็นเช่นนี้ขอท่านได้โปรดอนุญาตให้ดิฉันบวชเถิด ”

  วิสาขเศรษฐีได้ฟังคำของนางแล้วก็ดีใจ ได้กราบทูลพระเจ้าพิมพิสารของพระราชทานวอทอง นำนางธรรมทินนาไปยังสำนักของนางภิกษุณี เพื่อขอบรรพชาอุปสมบท

  เมื่อนางธรรมทินนา ได้บรรพชาอุปสมบทสมดังความปรารถนาแล้วอยู่ในสำนักของอุปัชฌาย์ ( ภิกษุณีสงฆ์ ) เพียง ๒ - ๓ วัน ก็ลาไปจำพรรษาอยู่ในอาวาสใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง บำเพ็ญเพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย


พระเถรีถูกอดีตสามีลองภูมิ

  ต่อมา พระธรรมทินนาเถรีคิดว่า “ กิจของเราบรรลุถึงความสิ้นสุดแล้วเราควรกลับไปกรุงราชคฤห์ เพื่อหมู่ญาติได้อาศัยเราแล้วทำบุญกุศลให้กับตนเอง ”

  วิสาขอุบาสก ทราบว่านางกลับมาจึงไปหานางยังที่พัก มีความประสงค์ที่จะทราบว่านางได้บรรลุคุณธรรมวิเศษอย่างใดหรือไม่ แต่มิกล้าถามตรง ๆ จึงเลี้ยงถามปัญหาว่าด้วยเรื่องเบญจขันธ์ พระนางธรรมทินนาเถรี ก็วิสัชนาอย่างฃคล่องแคล้วชัดเจนทุกประเด็นปัญหา วิสาขอุบาสกก็ทราบว่า พระธรรมทินนาเถรีมีญาณแก่กล้า จึงถามปัญหาในลำดับของพระอนาคามีที่ตนได้บรรลุแล้ว เมื่อพระเถรีวิสัชนาได้อีก จึงก้าวถามปัญหาในวิสัยพระอรหัตมรรค

  พระเถรีทราบว่า อุบาสกมีวิสัยเพียงอนาคามีเท่านั้น แต่ถามปัญหาเกินวิสัยของตน จึงกล่าวเตือนว่า

  “ วิสาขะ ท่านยังไม่อาจกำหนดที่สุดแห่งปัญหาได้ ถ้าท่านยังหวังที่จะก้าวหยั่งลงสู่ประตูพระนิพพานแล้ว ขอท่านจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลถามข้อความนั้นเถิด เมื่อพระพุทธองค์ทรงพยากรณ์อย่างไร ก็จงจำไว้อย่างนั้น ”

  วิสาขอุบาสก ทำตามคำแนะนำของเถรี ไปเฝ้าพระบรมศาสดาแล้วกราบทูลเนื้อความตามนัยแห่งปุจฉาและวิสัชนาถวายให้ทรงสดับทุกประการ


ทรงยกย่องเป็นผู้เลิศทางแสดงธรรม

  พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสดับแล้วตรัสว่า

  “ ธรรมทินนาเถรีธิดาของเรานี้ ไม่มีตัญหาในขันธ์ทั้งหลาย ทั้งในอดีตปัจจุบัน และอนาคต เธอเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก ถ้าวิสาขอุบาสกถามข้อความนั้นกับเรา แม้เราเองก็จะพยากรณ์ เหมือนอย่างที่ธรรมทินนาเถรีพยากรณ์แล้วนั้นทุกประการ ขอท่านจงจำเนื้อความนั้นไว้เถิด ”

  ต่อมา เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อทรงสถาปนาบรรดาภิกษุณีในตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ ทรงพิจจาณาความสามารถในการวิสัชนาปัญหาของพระนางธรรมทินนาเถรีในครั้งนั้นเป็นเหตุ จึงทรงสถาปนาพระเถรีนี้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้เป็นธรรมกถึก...

ย้อนกลับ             ปิดหน้านี้         ถัดไป