อัครสาวกปรินิพพาน

              ฝ่ายพระสารีบุตรเถระถวายวัตรแก่พระบรมศาสดาแล้ว ถวายบังคมลาไปที่พักในทิวาวิหาร ขึ้นบัลลังก์สมาธิ เข้าสู่วิมุตติผลสมาบัติ ครั้นออกจากสมาบัติแล้ว พิจารณาดูอายุสังขารตน ก็ทราบชัดว่า ยังดำรงชนมายุอยู่ได้อีก ๗ วันเท่านั้น จึงได้ดำริต่อไปว่า อาตมาจะไปปรินิพพานในสถานที่ใด พระราหุลเถระก็ไปปรินิพพานที่ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในดาวดึงส์เทวโลก พระอัญญาโกญทัญญเถระ ก็ไปปรินิพพานที่ฉัตทันตะสระ ในหิมวันตประเทศ

              ต่อนั้น พระเถระเจ้าปรารภถึงมารดาว่า มารดาของอาตมานี้ ได้เป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ องค์ แม้อย่างนั้นแล้ว มารดาก็ยังไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ก็อุปนิสัยในมรรคผลจะพึงมีแก่มารดาบ้างหรือไม่หนอ ? ครั้นพระเถระเจ้าพิจารณาไป ก็ทราบชัดว่า มารดามีนิสัยแห่งพระโสดาบัน ด้วยธรรมเทศนาของอาตมา มหาชนเป็นอันมาก จะได้พลอยมีส่วนได้มรรคผลด้วย ควรอาตมาจะไปปรินิพพานที่เรือนมารดาเถิด ครั้นดำริแล้ว พระเถระเจ้าจึงเรียกพระจุนทะเถระ ผู้เป็นน้องชายมาสั่งว่า "จุนทะ เรามาไปเยี่ยมมารดากันเถิด ท่านจงออกไปบอกภิกษุบริษัททั้ง ๕๐๐ ว่า พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร มีความประสงค์จะไปบ้านนาลันทคาม" พระจุนทะรับพระบัญชาพระเถระเจ้าแล้ว ออกไปแจ้งแก่พระสงฆ์ทั้งปวง

              ครั้นพระสงฆ์ทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว พระสารีบุตรก็พาพระสงฆ์ทั้งปวง ไปเฝ้าพระบรมศาสดายังพระคันธกุฏี กราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม บัดนี้ ชีวิตของข้าพระองค์เหลือ ๗ วันเท่านั้น เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาปรินิพพาน "
              พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " สารีบุตร เธอจะไปปรินิพพาน ณ ที่ใด "
              "ข้าพระองค์จะไปปรินิพพาน ณ ห้องประสูติ ในเคหะสถานของมารดา พระเจ้าข้า"
              "สารีบุตร เธอจงกำหนดกาลนั้นโดยควรเถิด " แล้วทรงรับสั่งต่อไปอีกว่า "สารีบุตร บรรดาภิกษุทั้งหลายชั้นน้อง ๆ จะเห็นพี่เหมือนอย่างเธอ หาได้ยาก ฉะนั้นเธอจงแสดงธรรมแก่ภิกษุน้อง ๆ ของเธอ เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกสำหรับครั้งนี้ก่อนเถิด"

              เมื่อพระเถระเจ้าได้รับประทานโอกาสเช่นนั้น จึงสำแดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปในอากาศ สูงประมาณชั่วลำตาล กลับลงมาถวายนมัสการพระบรมศาสดาเสียครั้งหนึ่ง ครั้งที่สองเหาะขึ้นไปสูงได้ ๒ ชั่วลำตาล กลับลงมาถวายนมัสการอีกหนึ่งครั้ง ครั้งที่ ๓ เหาะขึ้นไปถึง ๓ ชั่วลำตาล จนถึงครั้งที่ ๗ เหาะขึ้นไป ๗ ชั่วลำตาล ลอยอยู่บนอากาศ แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายในท่ามกลางอากาศ ขณะนั้น ชาวพระนครสาวัตถีได้มาสโมสรสันนิบาตอยู่เป็นอันมาก แล้วพระเถระเจ้าก็ลงมาจากอากาศ ถวายอภิวาทบังคมลา คลานคล้อยถอยออกมาจากพระคันธกุฏี

              ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระมหากรุณา เสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์ ออกมาส่งพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรถึงหน้าพระคันธกุฏี ประทับยืนอยู่ที่พื้นแก้วมณี หน้าพระคันธกุฏีนั้น

              พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ทำประทักษิณพระบรมศาสดา ๓ รอบ แล้วประคองอัญชลีกราบทูลว่า "ในที่สุดอสงไขยแสนกัลป์ล่วงมาแล้วนั้น ข้าพระองค์ได้หมอบลงแทบบาทมูลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอโนมทัสสี ตั้งปณิธานปรารถนาพบพระองค์ และแล้วมโนรถของข้าพระองค์ ก็พลันได้สำเร็จสมประสงค์ ตั้งแต่ได้เห็นพระองค์เป็นปฐมทัศนะ บัดนี้ เป็นปัจฉิมทัศนะแห่งการได้เห็นพระองค์ ผู้เป็นนาถะของข้าพระองค์แล้ว" ทูลเพียงเท่านั้นแล้วก็ประนมหัตถ์ถอยหลังบังคมลาออกไป พอควรแล้ว ก็ถวายนมัสการกราบลาลงที่พื้นพสุธา บ่ายหน้าออกไปจากพระเชตวนาราม

              พระผู้มีพระภาคตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า "ภิกษุทั้งหลาย เธอจะตามไปส่งพี่ใหญ่ของเธอ ก็ตามใจเถิด"

              ภิกษุทั้งหลายได้พากันไปส่งพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเป็นอันมาก ครั้นถึงซุ้มประตูพระเชตวนาราม พระเถระเจ้าจึงกล่าวห้ามว่า "ท่านทั้งหลาย จงหยุดแต่เพียงนี้เถิด " พร้อมกับได้ให้โอวาท ด้วยวาจาที่นิ่มนวล ควรดื่มไว้ในใจ ให้ตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาทเป็นนิรันดร แล้วพาภิกษุผู้เป็นบริวารพ้นจากเชตวนาราม มุ่งหน้าไปบ้านนาลันทคาม

              ในครั้งนั้น ชนทั้งหลายร้องไห้ รำพัน ด้วยความอาลัยในพระเถระเจ้า ติดตามไปเป็นอันมาก พระเถระเจ้าได้ให้โอวาท ให้เห็นความไม่จีรังของสังขารทั้งหลาย พร้อมกับเตือนใจให้มั่นอยู่ในความไม่ประมาทในอริยธรรมแล้ว ให้ชนเหล่านั้นพากันกลับไปสิ้น

              พระเถระเจ้าเดินทางไป ๗ วัน ก็ถึงบ้านนาลันทคาม แคว้นมคธรัฐ ในเวลาเย็น จึงพาภิกษุทั้งหลายพักอยู่ที่ร่มไทรใหญ่ใกล้ประตูบ้าน บังเอิญอุปเรวัตตมานพ หลานชายของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เดินเที่ยวออกมานอกบ้าน เห็นพระเถระเจ้าเข้าก็ดีใจเข้าไปนมัสการ
              พระเถระเจ้าถามว่า "อุปเรวัตต ยายของเธออยู่หรือไปไหน ?"
              "อยู่ที่เรือน เจ้าข้า" อุปเรวัตตเรียนพระเถระเจ้าด้วยเคารพ
              "ถ้าเช่นนั้น เธอจงกลับเข้าไปบอกยาย ขอห้องที่ประสูติให้ลุงพัก กับขอให้จัดที่สำหรับพระสงฆ์ ๕๐๐ ที่มานี้พอได้พักอาศัยในวันนี้ด้วย"

              อุปเรวัตตมานพรีบกลับเข้าบ้าน ตรงเข้าไปหานางสารีพราหมณี ผู้เป็นยายด้วยความดีใจ บอกตามคำที่พระเถระเจ้าสั่งมา
              "เวลานี้ลุงของเจ้าอยู่ที่ไหน ?"
              "อยู่ที่ประตูบ้านจ้า ยาย"
              "เจ้ารู้ไหมว่า ลุงเจ้ามาทำไม ?"
              "ไม่ทราบจ้า"

              นางสารีพราหมณีคิดว่า "อุปดิส ลูกเรา ขอพักที่ห้องประสูติ เธอบวชมานานแล้ว ชะรอยจะเบื่อบวช มาคราวนี้อาจมาสึกก็ได้" คิดแล้วก็ดีใจ สั่งให้คนใช้รีบจัดแจงห้องประสูติแลที่พระสงฆ์ ๕๐๐ พอได้พักอาศัยภายในบ้าน แล้วให้อุปเรวัตตมานพออกไปอาราธนาพระเถระเจ้าให้เข้ามาสู่เรือน

              พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร พาพระสงฆ์ขึ้นเรือนมารดา ให้พระสงฆ์ทั้งหลายพักอาศัยอยู่ยังที่จัดแจงไว้ภายนอก ส่วนพระเถระเจ้าเข้าไปพักยังภายในห้องประสูตของท่าน พอเวลาค่ำ โรคาพาธกล้าได้เกิดแก่พระมหาเถระ ถึงอาเจียนเป็นโลหิต พระภิกษุเข้าถวายปฏิบัติ นำภาชนะอาเจียนและภาชนะอาจมออกมาชำระผลัดเปลี่ยนอยู่เนือง ๆ

              นางสารีพราหมณีเป็นทุกข์ใจในการอาพาธของพระมหาเถระเจ้าเป็นอันมาก นั่งคอยดูอยู่ที่ประตูห้อง

              ในค่ำคืนนั้น เทพดาในเทวโลกได้พากันมาเยี่ยมพระเถระเจ้าเป็นอันมาก เริ่มต้นแต่ ท้าวโลกบาลทั้ง ๔ องค์ ท้าวโกสีย์เทวราช ท้าวสุยามเทวราช และท้าวสันตุสิตเทวราช ตลอดท้าวมหาพรม ต่างเข้ามาขอโอกาสปฏิบัติพยาบาลเช่นเดียวกันโดยลำดับ

              พระเถระเจ้าให้คำตอบแก่เทพดาทั้งหลายว่า "ภิกษุคิลานุปัฏฐาก ผู้ปฏิบัติพยาบาลของอาตมามีแล้ว ขอให้ท่านกลับไปเถิด"

              ฝ่ายนางสารีพราหมณี เห็นเทวดามาไม่ขาดสาย แต่ละองค์ล้วนมีรัศมีโอภาสงามยิ่งนัก เพียบพร้อมด้วยทิพยรัตน์สรรพาภรณ์ล้ำค่าทั้งสิ้น ต่างเข้าไปหาพระเถระเจ้า ด้วยอาการคารวะเป็นอันดี มีความสงสัยเทพดานั้นคือใคร มาธุระอันใดหนอ ? จึงเข้าไปถามอาการไข้กะพระจุนทะเถระ บุตรชายคนน้อยว่า "พ่อจุนทะ อาการไข้ของอุปดิสพี่ชายของพ่อ เป็นอย่างไรบ้าง ?"
              "ยังพอทนได้อยู่ดอก แม่" พระจุนทะตอบ แล้วแจ้งอาการไข้ให้มารดาฟัง "ขณะนี้อาการไข้สงบแล้ว ทั้งว่างคนเยี่ยมด้วย แม่เข้าไปหาสนทนากับพี่ใหญ่เถิด"
              นางพราหมณี ได้โอกาสเข้าไปหาพระเถระเจ้าแล้ว ถามว่า "บุคคลที่เข้ามาหาพ่อนั้น คือผู้ใด"
              "ท้าวจตุโลกบาล จ้ะ แม่"
              นางพราหมณีตลึงในเกรียติอันสูงของลูกชาย พลางปราสัยต่อไปว่า " พ่ออุปดิส พ่อยังเป็นใหญ่กว่าท้าวจตุโลกบาลอีกหรือนี่ ? "
              "ท้าวจตุโลกบาลก็เหมือนคนอุปฐาก บำรุงวัด เท่านั้นแหละ แม่ เมื่อครั้งพระบรมศาสดาของลูกปฏิสนธิในครรภ์ของพระพุทธมารดา ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่พระองค์นี้ ยังลงมาถวายอารักขาเป็นนิตย์"
              "บุคคลที่สองเล่าพ่ออุปดิส คือผู้ใด ?"
              "นั่นท้าวโกสีย์ อมรินทราธิราช จ้า แม่"
              "พ่ออุปดิส ลูกยังสูงกว่า จอมเทพดาชั้นดาวดึงส์สวรรค์อีกหรือ ?"
              "ท้าวโกสีย์ ก็เหมือนกับสามเณรถือบริกขารของพระบรมศาสดาเท่านั้นแหละ แม่ เมื่อครั้งพระบรมศาสดาของลูกเสด็จลงจากเทวโลก ที่ประตูเมืองสังกัสสะนคร ท้าวโกสีย์องค์นี้ ยังถือบาตรนำเสด็จพระบรมครูของลูกเลย แม่"
              "ใครกันเล่า พ่ออุปดิส ที่เข้ามาหาลูก หลังจากท้าวโกสีย์เทวราช และใครต่อใครกลับไปแล้ว ท่านผู้นั้นช่างมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก"
              "นั่นท้าวมหาพรหม จ้า แม่"
              "พ่ออุปดิส ลูกยังเหนือกว่าท้าวมหาพรมอีกหรือลูก ?"
              "ท้าวมหาพรมองค์นี้แหละแม่ ในวันที่พระบรมศาสดาของลูกประสูติ ได้ถือเอาข่ายทองเข้ารองรับพระกุมาร ถวายการบำรุงรักษาพระบรมศาสดาอยู่เนืองนิตย์ แม้ในวันที่พระบรมศาสดาเสด็จลงจากเทวโลก ก็ยังกั้นเศวตรฉัตร์ถวาย ปรากฏแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย ที่ประชุมอยู่แทบประตูเมืองสังกัสสะนครทั่วทุกคน"
              นางสารีพราหมณี ฟังพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรบรรยายแล้ว เห็นคุณอันมหัศจรรย์ในพระมหาเถระว่า อานุภาพบุตรเรายังปรากฏถึงเพียงนี้ และอานุภาพของพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของบุตรเรา คงจะสูงยิ่งกว่านี้เป็นแน่ เกิดปีติเบิกบานใจ

              ต่อมา พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็แสดงธรรมพรรณาพุทธคุณโปรดมารดา ให้นางสารีพราหมณีมารดา ตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลในพระศาสนา สมมโนรถที่อุตสาหะมาสนองพระคุณมารดา แล้วพระเถระเจ้าก็เชิญให้มารดาออกไปพักด้วยดึกมากแล้ว ครั้นนางสารีพราหมณีออกไปแล้ว พระเถระเจ้าจึงถามพระจุนทะเถระว่า "เวลาเท่าใดแล้ว" เมื่อได้รับคำตอบว่า "ใกล้รุ่งแล้ว" จึงสั่งให้พระสงฆ์ทั้งหลายมาประชุมพร้อมกัน ให้พระจุนทะเถระพยุงกายท่านนั่งขึ้น แล้วกล่าวแก่ภิกษุทั้งหลายว่า "ตลอดเวลา ๔๔ พรรษา ที่ท่านทั้งหลายติดตามมา หากกรรมอันใดที่มิชอบใจท่านทั้งหลายจะพึงมี ท่านทั้งหลายจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าเสียเถิด"

              ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ได้เรียนท่านว่า "ข้าแต่พระเถระเจ้า ตลอดเวลาที่บรรดาข้าพเจ้าติดตามพระเถระเจ้า ไม่มีกรรมอันใดของพระเถระเจ้าเลย ที่มิชอบใจข้าพเจ้าทั้งหลาย หากข้าพเจ้าทั้งหลายพึงมีความประมาทสิ่งใดสิ่งหนึ่งในพระเถระเจ้าแล้ว ขอพระเถระเจ้าได้กรุณาอดโทษแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย"

              พอเวลาอรุณปรากฏ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ก็ดับขันธปรินิพพาน ในเวลาวารปุรณมี แห่งกัตติกมาส เพ็ญเดือน ๑๒

              ครั้นรุ่งเช้า เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้มาสโมสรสันนิบาตทำสักการะศพพระมหาเถระในที่ปรินิพพาน ทำที่ประดิษฐานศพประชุมเพลิงงามวิจิตร ทำฌาปนกิจถวายเพลิงสระรีศพของพระมหาเถระตามประเพณีนิยม พระจุนทะเถระได้รวบรมอัฏฐิธาตุ ห่อผ้าขาว แล้วถือเอาบาตรและจีวรของพระมหาเถระ กับพระธาตุมาสู่ประตูพระเชตวันวิหาร ชวนพระอานนท์เถระเจ้า นำเข้าไปทูลถวายพระบรมศาสดา

              พระบรมศาสดาทรงรับเอาพระธาตุแล้ว ตรัสสรรเสริญคุณพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรในท่ามกลางพุทธบริษัทเป็นอันมาก แล้วโปรดให้ก่อพระเจดีย์บรรจุพระธาตุ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรไว้ในพระเชตวนาราม ครั้นสำเร็จแล้ว เสด็จไปพระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเป็นบริวาร ประทับที่เวฬุวนาราม

              ในกาลนั้น พระมหาโมคคัลลานะเถระสถิตอยู่ที่กาฬศิลาประเทศ ในมคธชนบท หมู่เดียรถีย์ทั้งหลายเห็นร่วมกันว่า " พระโมคคัลลานะเถระเจ้า มีอานุภาพมาก สามารถไปสวรรค์ได้ ไปนรกได้ ครั้นไปแล้วก็นำเอาข่าวสารจากเทพดาในสวรรค์ จากสัตว์นรกในแดนพวกนั้น ๆ มาบอกแก่มนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นญาติ เป็นมิตรสหายในโลกนี้ มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นบิดามารดาของเทพดาและสัตว์นรกนั้น ๆ ก็เลื่อมใส อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา หากพระสมณะโคดมก็ดี พระสงฆ์ทั้งหลายก็ดี เว้นพระโมคคัลลานนะเถระเจ้า ก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ คือไม่อาจยึดเหนี่ยวใจชนทั้งหลายได้เลย พวกเราทั้งหลายต้องเสื่อมคลายความนับถือของมหาชน เสื่อมจากลาภผล ก็เพราะพระเถระเจ้าองค์นี้ ดังนั้น ตราบใดที่พระเถระเจ้าองค์นี้ยังมีชีวิตอยู่ ตราบนั้นชื่อเสียงลาภผลของพวกเราจะดีขึ้นไม่ได้เลย ควรหาอุบายจ้างคนฆ่าพำระเถระเจ้าเสียเถิด "

              ครั้นแล้วจึงจัดการเรี่ยไรทรัพย์จากอุปฐากของตน ๆ จ้างโจรทั้งหลายที่โลภในทรัพย์ ให้ไปฆ่าพระเถระเจ้า ซึ่งอยู่ ณ กาฬศิลาประเทศ พวกโจรเหล่านั้นรับเอาทรัพย์ค่าจ้างแล้ว ยกพวกไปล้อมจับพระเถระเจ้ายังที่อยู่ พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าได้ทำปฏิหาริย์หนีไปได้ทุกครั้ง แต่โจรพวกนั้นก็พยายามล้อมจับอยู่ถึงสองเดือน ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ครั้นถึงเดือนที่สาม พระเถระเจ้าพิจารณาเห็นกรรมของท่าน ที่ทำในชาติก่อนติดตามมา เห็นควรจะรับผลแห่งกรรมที่ตามมาสนองนั้น จึงยอมให้โจรล้อมจับตามประสงค์ ครั้นพวกโจรจับพระเถระเจ้าได้แล้ว จึงได้ทุบตีจนอัฏฐิหัก แตก แหลกไม่มีดี โดยเกรงว่าจะไม่ตาย แล้วจะกลับฟื้นคืนชีพได้ ครั้นแน่ใจว่า พระเถระเจ้าไม่อาจฟื้นคืนชีพได้แล้ว จึงเอาสรีระของท่านไปทิ้งไว้ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าพอจะลับตาคนได้ แล้วพากันหนีไปจากที่นั้น
              พระโมคคัลลานะเถระดำริว่า อาตมาควรจะไปทูลพระบรมศาสดาเสียก่อนจึงปรินิพพาน ครั้นดำริแล้วก็เรียงลำดับสรีระกาย ผูกเข้าให้มั่นด้วยกำลังฌาน แล้วเหาะไปโดยอากาศวิถี เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาปรินิพพาน "
              มีพระพุทธดำรัสว่า "เธอจะปรินิพพานล่ะหรือ ? โมคคัลานะ"
              "พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาปรินิพพานในวันนี้แล้ว"
              "โมคคัลลานะ เธอจะปรินิพพาน ณ ที่ใด ?"
              "ที่กาฬศิลาประเทศ พระเจ้าข้า" พระโมคคัลานะกราบทูล
              "ถ้าเช่นนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน" พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่ง "ด้วยการที่จะเห็นสาวกเหมือนอย่างเธอ จะไม่มีต่อไปแล้ว"
              พระมหาโมคคัลานะเถระ รับพระพุทธบัญชาแล้ว ได้ทำปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปในอากาศ โดยอาการเช่นเดียวกับพระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงธรรมแล้ว ลงมาจากอากาศถวายอภิวาท ทูลลาพระบรมศาสดาไปยังกาฬศิลาประเทศ ปรินิพพานในที่นั้น ในวันสิ้นเดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรเถระปรินิพพาน ๑๕ วัน

              ในกาลนั้น เทพดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ไปสโมสรประชุมกันถวายสักการะบูชา สรีระศพพระเถระเจ้าด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และไม้หอม อันวิจิตร มีประการต่าง ๆ

              พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลาย ได้เสด็จไปเป็นประธานจุดเพลิง ทำฌาปนกิจสรีระศพพระเถระเจ้า ในท่ามกลางเทพดาและมนุษย์ ซึ่งได้พร้อมเพรียงกันมามากยิ่งนัก ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ได้ตกลงมาในบริเวณถวายเพลิงพระเถระเจ้า ประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ มหาชนได้มาประชุมสักการะศพพระเถระเจ้าถึง ๗ วัน

              พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดให้เก็บอัฏฐิธาตุพระเถระเจ้า มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ที่ซุ้มประตูพระเชตวนาราม

ลำดับพรรษายุกาล    ทรงปรารภชราธรรม