ทรงปรารภชราธรรม

              วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่ง ณ พุทธอาสน์ ซึ่งปูลาด ณ ร่มเงาแห่งพระวิหาร พระอานนท์เถระเจ้าเข้าเฝ้าถวายนมัสการแล้ว กราบทูลว่า "ข้าพระองค์ได้เห็นความผาสุกแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว และความอดกลั้น ทนทานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นแล้ว เมื่อได้เห็นพระองค์ทรงพระประชวร ข้าพระองค์รู้สึกว่า กายของข้าพระองค์จะหนัก จะงอมระบมไปด้วย แม้ทิศานุทิศทั้งหลาย ก็ดูมืดมนไป แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่สว่างแก่ดวงจิต เพราะมาวิตกคิดถึงความไข้ที่ทรงพระประชวรนั้น แต่ยังอุ่นใจอยู่หน่อยหนึ่งว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ปรารภพระภิกษุสงฆ์ แล้วตรัสพระพุทธวจนะอันใดอันหนึ่งแล้ว ยังจักไม่ทรงปรินิพพานก่อน ข้าพระองค์มีความดีใจอยู่หน่อยหนึ่ง ฉะนี้"
              "ดูก่อนอานนท์ ภิกษุสงฆ์ยังมาหวังอะไรในตถาคตอีกเล่า ธรรมที่ตถาคตแสดงแล้วทั้งปวง ตถาคตแสดงโดยเปิดเผย ไม่มีภายในภายนอก ไม่มีการปกปิดซ่อนความสำคัญในธรรมใด ๆ เลย"
              "อานนท์ ตถาคตเป็นศาสดาของเทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย โดยจิตบริสุทธิ์ พ้นจากตัณหา มานะ ทิฎฐิ นิสัย ด้วยประการทั้งปวง ข้อซึ่งลี้ลับ จะปกปิดซ่อนบังไว้ โดยแสดงเฉพาะแก่สาวกบางรูปบางเหล่า ไม่ทั่วไปก็ดี หรือจะเก็บไว้แสดงต่ออวสานกาลสุดท้ายก็ดี ข้อนั้นมิได้มีแก่ตถาคตเลย"
              "อานนท์ ผู้ใดยังมีฉันทะ อาลัยอยู่ว่า จะรักษาภิกษุสงฆ์ ผู้นั้นแหละจะพึงปรารภภิกษุสงฆ์ แล้วกล่าวคำอันใดอันหนึ่ง แสดงความห่วงใย อันฉันทะปริวิตกเช่นนั้น ไม่มีแก่ตถาคตเลย"
              "อานนท์ บัดนี้ ตถาคตเจริญวัย อายุตถาคตถึง ๘๐ ปีแล้ว กายของตถาคตปรากฎวิปริต โดยอาการเห็นปานนี้ อินทรีย์ทั้งหลาย มีจักษุเป็นต้น ก็วิกลแปรปรวน ไม่ปกติเหมือนแต่ก่อน ทุกประการเหมือนเกวียนเก่าคร่ำคร่า อาศัยไม้ไผ่ผูกกระหนาบ คาบ ค่ำ อุปถัมภ์บำรุงไว้ ฉันใดกายของตถาคต ก็ฉันนั้น เมื่อล่วงลุถึงชรา อาศัยสมาธิภาวนาอุปถัมภ์บำรุงไว้จึงค่อยพอเป็นไป"
              "อานนท์ เธอจงอาศัยตนของตนเอง เป็นที่พึ่งที่พำนักเถิด สิ่งอื่นซึ่งจักเป็นที่พึ่งที่แน่นอนแก่ตนไม่มี"
              พระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงธรรมปรารภความชรา ซึ่งเบียดเบียนกายของพระองค์แก่พระอานนท์เถระเจ้าด้วยประการฉะนี้ เทพดาที่มาสดับพระธรรมเทศนาในที่นั้น ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอันมาก

              ครั้นวันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี เมื่อเสด็จกลับมาทำภัตตกิจแล้ว เสด็จไปเมืองไพศาลี พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูปประทับที่กุฎคารศาลา ป่ามหาวัน

              ฝ่ายบรรดากษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลาย ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาต่างมีความยินดีเลื่อมใส ได้นำสักการะออกไปเฝ้าถวายบังคมพระบรมศาสดา สดับพระธรรมเทศนา แล้วทูลอาราธนาให้เสด็จเข้าไปรับอาหารบิณฑบาต

              ครั้นรุ่งเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก เสด็จเข้าไปในพระราชนิเวศน์ ทรงทำภัตตกิจแล้ว ประทานธรรมนุศาสน์แก่กษัตริย์ลิจฉวีทั้งปวง แล้วเสด็จออกจากพระนคร ทรงประทับยืนอยู่หน้าประตูเมืองไพศาลี เยื้องพระกาย ผันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเมืองไพศาลีเป็นครั้งสุดท้าย รับสั่งแก่พระอานนท์เถระว่า "อานนท์ การเห็นเมืองไพศาลีของตถาคตครั้งนี้ เป็นปัจฉิมทัศนะ" แล้วเสด็จไปยังกุฎาคารศาลาสถานที่ประทับยืนนั้น เรียกว่า "นาคาวโลกเจดีย์สถาน"

อัครสาวกปรินิพพาน    ทรงทำนิมิตโอภาส