พระภูริทัต ๑

    พระภูริทัต ภูริทัต   หรือ   “ภู”   ในคำย่อเป็นเรื่องของความอดทนซึ่งความลำบากตรากตรำด้วยประการทั้งปวง หากใครอดทนไว้ได้ ก็อาจสำเร็จผลที่ปรารถนาทั้งในปัจจุบันและภายหน้า หากเห็นว่าจะมีประโยชน์ จากการสดับเรื่องของการประพฤติปฎิบัติต่อไป ขอได้โปรดอ่านเรื่องต่อไปนี้

     สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่เมืองพาราณสีพระองค์มีพระโอรสพระองค์หนึ่งและทรงตั้งไว้ในตำเเหน่งอุปราช ภายหลังกลัวว่าอุปราชจะแย่งสมบัติ จึงระบุสั่งให้ออกท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ พร้อมกับสั่งว่า
   “ ถ้าพ่อสิ้นเมื่อไหร่ เจ้าจงกลับมาครองราชสมบัติ” ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ส่งไปเป็นทูต เพื่อความเหมาะสม หรือมิฉะนั้นก็ให้เดินทางไปเรื่อยเปื่อยใปในที่ต่างประเทศเพื่อผูกสัมพันธไมตรีจนกว่าจะมีตำแหน่งให้ใหม่

     พระราชโอรสก็ค่อนข้างมักน้อยอยู่ จึงได้ออกท่องเที่ยวไปตามป่าเขาตามใจปรารถนา ตราบจนกระทั่งพบบรรณศาลาแห่งหนึ่ง อยู่ระหว่างภูเขาและติดกับริมฝั่งแม่น้ำยมนา จึงคิดจะพักผ่อนสงบสติอารมณ์อยู่ที่นั้น และเห็นว่าเป็นสภาพที่ดี มีความวิเวกปราศจากคนผ่านไปมา จึงตกลงใจพักอยู่ ณ บรรณซาลานั้น นางนาคตนหนึ่งปราศจากสามี เห็นคนอื่นเขามีคู่เคล้าเคลียทนอยู่ไม่ได้ ขืนอยู่เมืองบาดาลได้ตายกันไปบ้าง ไม่อยากเห็นเขารักกัน พราะเราไม่มีคนรักจึงหนีขึ้นมาท่องเที่ยงเสียในเมืองมนุษย์

     ถ้ามนุษย์เรามีความคิดเหมือนอย่านางนาคแล้ว เหตุฉกรรจ์ทั้งหลายคงจะไม่มี บางคนเห็นคนอื่นรักกันไม่เหมาะไม่สมด้วยประการทั้งปวง ทีตนเองบ้างยังไงก็ได้ เรื่องของฉันคนอื่นไม่เกี่ยว

     เมื่อนางนาคจำเลงกายเป็นมนุษย์มาเที่ยวเดินตามริมฝั่งน้ำก็มาพบเข้ากับพระราชกุมาร ทั้งสองพอใจซึ่งกันและกันก็ได้เสียกัน และถามทราบความเป็นไปของกันและกันแล้วก็ได้อยู่ร่วมกันมา จนกระทั่งนางตั้งครรภ์ได้คลอดโอรสหนึ่งให้ชื่อว่า เจ้าสาครพรหมทัต และต่อมาภายหลังก็ได้คลอดพระธิดาอีกองค์หนึ่งให้ชื่อว่าสมุทรชา

     เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสด็จสวรรคต พวกขุนนางข้าราชการปรึกษากันเรื่องจะเสี่ยงราชรถ เพราะเหตุที่ไม่ทราบว่าพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัตอยู่ที่ไหน แต่มีพรานไพรคนหนึ่งเคยเดินทางท่องเที่ยวไปพบพระราชโอรสกับมเหสีนางนาค และได้พักอยู่หลายวัน ได้บอกกับอำมาตย์ราชบริพารเหล่านั้นให้ทราบว่า พระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัตยังมีพระชนม์อยู่ ตนรู้จักสถานที่นั้นด้วย และอาสาพาอำมาตย์ราชบริพารเหล่านั้นไปยังอาศรมของพระราชกุมารกับนางนาค

     เมื่อพระราชกุมารได้ทราบว่าพระราชบิดาสวรรคตแล้วและรับเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติ จึงตรัสชวนพระมเหสีให้เข้าไปอยู่ในเมืองด้วยกันแต่นางนาคกล่าวว่า
   “หม่อมฉันเป็นนาคอยากที่จะอยู่กับคนได้ เพระโกรธขึงขึ้นมาก็จะพ่นพิษทำลายคนเหล่านั้นเสีย ขอพระองค์จงเสด็จไปเถิด พร้อมกับพาพระราชโอรสธิดาของหม่อมฉันไปด้วย”
     พระกุมารจะกล่าวชวนด้วยประการใดนางก็ไม่ยินยอมจึงเสด็จกลับพร้อมกับโอรสธิดา ซึ่งต้องขุดไม้เป็นรูปเรือใส่น้ำให้เต็ม ให้ทั้งสองเล่นมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงเมืองพาราณสีแล้ว ให้ขุดสระให้โอรสธิดาเล่นมิฉะนั้นโอรสธิดาจะต้องตาย เพราะวิสัยนาคจะขาดน้ำเสียมิได้

     เรื่องมันก็น่าจะหมดลงเพียงเท่านี้ ถ้าไม่มีเต่าเจ้าเล่ห์แสนกลเข้ามาด้วย เรื่องมันมีอยู่ว่า
     ในสระที่สำหรับเล่นน้ำของราชโอรสธิดานั้น วันหนึ่งมีเต่าตัวหนึ่งมาจากไหนและทิศทางใดไม่มีผู้ใดเห็น ลงไปสู่ในสระน้ำ พอพระราชโอรสธิดาลงเล่นก็โผล่หัวขึ้นมามองดู เด็กทั้งสองเห็นเข้าก็ไม่ทราบว่าอะไร ก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ พวกพี่เลี้ยงก็เข้าไปถาม ได้ความว่ามีสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งโผล่ขึ้นมามองดูก็เลยตกใจร้องขึ้น พี่เลี้ยงจึงให้เอาแหและอวนมาลากก็ติดเจ้าเต่าเจ้าเล่ห์ตัวนั้นขึ้นมา ต่างก็ร้องบอกกัน
   " อ้ายนี่เองที่ทำให้พระราชโอรสธิดาตกพระทัย ต้องใส่ครกโขลกให้ละเอียดอย่างแป้งจึงจะสะใจมัน” บางคนก็ว่า
   “ไม่ดีหรอก สู้อย่างของฉันไม่ได้ เอาไม้เล็ก ๆ พาดบนกะทะที่ตั้งไฟจนน้ำเดือด ให้เจ้าเต่าไต่ข้ามกะทะไป ถ้ารอดไปได้ก็ยกชีวิตให้มัน ถ้ามันตกน้ำร้อน...หวานล่ะ ยำเต่า” แต่มีอีกคนหนึ่งค้านขึ้นว่า
   “ไม่ได้ เจ้าเต่านี่ต้องทำให้เจ็บ เอามันไปทิ้งน้ำวนที่ทำลายเรือแพนาวามากต่อมาก ให้กระดองมันพังไปหมดทั้งร่างเลย” เจ้าเต่าเห็นทางรอดเลยทำเป็นกลัว พูดออกไปว่า
   “ท่านขอรับ จะทำยังไงก็ทำเข้าเถอะครับ ใส่ครกโขรกทีเดียวก็ตาย เอาไฟสุมกระดองถึงตายช้าหน่อยก็ต้องตาย เพราะกระดองไหม้ ไต่ข้ามกะทะน้ำร้อนตกปุ๋มเดียวตาย แต่อย่าเอาผมไปถ่วงน้ำเลยครับ มันเวียนหัว จะตายก็ขอให้ตายสบายสักหน่อยเหอะ”
   “ไม่ได้ ๆ เอ็งต้องถูกถ่วงน้ำวน ไอ้นี่ต้องเอาให้เข็ด” แล้วเจ้าเต่าก็ถูกถ่วงลงน้ำวน
   “ฮ่ะ ๆ เจ้าเต่าเก่งไหมล่ะ ?” เมื่อถูกถ่วงน้ำ แพแตกถึงโคลนเจ้าเต่าก็เดินดุ่มไปใด้น้ำอย่างสบายใจ นึกว่าคงได้กลับที่อยู่ของตนเอง แต่ที่ไหนได้ล่ะนาคเล็ก ๆ หลายตัว ซึ่งกำลังซนอยู่ทั้งนั้นได้มาเที่ยว พอเห็นเต่าเดินงุ่มง่ามอยู่ก็จับโยนเล่น โยนกันไปโยนกันมา เจ้าเต่าถึงกับนึกทอดอาลัย นึกว่าจะพ้นภัย กลับมาเจอพวกนาคแสนซนเข้าอีก ทำไงดีล่ะ ดีไม่ดีตายง่ายเสียด้วยสิ ปัญญามีอยู่กับตัวกลัวอะไรน่ะ แล้วมันก็เอ่ยถามขึ้นว่า
   “ท่านผู้เจริญ พวกท่านรู้จักสำนักของจอมบาดาลบ้างไหม?”
   “แล้วจะถามไปทำไม ?”
   “เพราะมีเรื่องจะกราบทูลให้ทรงทราบ”
   “บอกให้พวกเรารู้บ้างไม่ได้หรือ?”
   “จะพูดเฉพาะพระองค์เท่านั้น” แล้วเจ้าเต่าก็ได้ถูกพาเข้าเฝ้าจอมนาค คือ ท้าวทศรถ จอมนาคได้เห็นเจ้าเต่าจึงสอบถามได้ความว่า ตัวมันชื่อเจตจูล เป็นฑูตของพระเจ้าพรหมมทัต ซึ่งจะถวายธิดาผู่ทรงโฉมจของตนแก่จอมบาดาล ท้าวทศรถหัวเราะอย่างขบขัน
   “ฮ่ะ ฮ่ะ นี่น่ะหรือราชฑูต ใครเขาจะใช้เต่าเป็นราชฑูต”
   “ขอเดชะ มิได้มีแต่ข้าพองค์เท่านั้น ราชฑูตมีมากมายแต่เพราะสำนักของพระองค์อยู่ในน้ำ จึงต้องใช้ข้าพระองค์ซึ่งชำนิชำนาญทางน้ำ”
   “เอ้า ว่าไป พระราชาของท่านสั่งมาว่าอย่างไร ?”
   “เหตุเพราะว่าเจ้าของกระหม่อมฉัน ใครจะผูกพันธมิตรกับพระองค์ เพราะในชมภูทวีปทั้งสิ้นเจ้าของกระหม่อมฉันก็ได้ผูกเป็นมิตรสหายกันหมดแล้ว จึงได้ตรัสบังคับให้ข้าพระองค์มาติดต่อกับพระองค์”

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3