พระภูริทัต ๒

    “แล้วจะทำอย่างไรล่ะ ?”
  “พระองค์ส่งฑูตไปพร้อมกับข้าพระองค์ เพื่อนัดวันและจะได้ตระเตรียมสิ่งของ” ท้าวทศรถก็เชื่อ จึงส่งเสนานาค ๔ นาย ไปพร้อมกับขุนเจตจูลนั้น

     พอเดินทางไปใกล้จะถึงเมือง เจ้าเต่าก็หาโอกาสจะหนีจึงบอกเสนานาคทั้ง ๔ ว่า
   “เราจะต้องเข้าไปในวัง พระราชกุมารีต่างจะขอรากวัวกับเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาให้เธอ” แล้งก็ลงไปในสระแอบซ่อนตัวเสีย พวกนาคเหล่านั้นคอยอยู่เป็นนานไม่เห็นมีมา ก็คิดว่าเต่าคงไปสู่สำนักของพระเจ้าพรหมทัต เมื่อไปถึงทูลถวายพร และว่าเป็นฑูตของเท้าทศรถจอมบาดาล มาเพื่อจะตกลงขอพระธิดาของพระเจ้าพรหมทัตไปเป็นเอกอัครมเหสี พระเจ้าพรหมทัตเอะใจ มันอะไรกันแน่ จอมนาคราชมาขอลูกสาว บ๊ะ ? มันเป็นไปได้อย่างไร จึงรับสั่งว่า
   “ท่านราชฑูต เจ้านายของท่านเป็นนาคไม่ใช่มนุษย์และลูกฉันเป็นมนุษย์ จะสมสู่กันยังไงได้ ดูไม่เหมาะสมกันเลยนะ”
   “นาคไม่มีเกียรติหรืออย่างไร?”
   “ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นนาคเป็นประเภทสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่มนุษย์และลูกเราเป็นมนุษย์จะอยู่กันได้อย่างไร?”
   “พระองค์ทราบหรือไม่ว่า ที่พวกข้าพระองค์มานี้เพราะขุนเจตจูลของพระองค์ไปทูลเจ้านายของข้าพระองค์ ว่าพระองค์จะถวายพระราชธิดาสมุทรชา เจ้านายของข้าพระองค์จึงได้ส่งพวกข้าพระองค์มาเพื่อที่จะจัดการต่าง ๆ “
   “เราไม่ได้ส่งใครไป ธิดาของเราเป็นมนุษย์ ไม่สมควรจะสมสู่กับสัตว์เดรัจฉาน ไปบอกเจ้านายของพวกท่านให้ทราบด้วย พวกเราเป็นกษัตริย์”
   “ก็หมายความว่าพระองค์หลอกลวง ไม่ให้พระธิดาใช่ไหม ? ไม่น่าจะเข้าใจผิด”
   " ถ้าไม่เกรงใจว่าท้าวทศรถสั่งมาให้เจรจาแต่โดยดี มิฉนั้นคงจะน่ะดู"

     แล้วฑูตทั้ง ๔ ก็กลับมากลาบทูลกับพระเจ้าจอมบาดาล ซึ่งแม้จะโกรธก็ยังระงับไว้ เพียงสั่งว่า
   “นาคทั้งแผ่นดินมีฤทธานุภาพ จงไปเมืองพาราณสีในราตรีนี้ แต่อย่าให้ใครตาย” เพียงเท่านั้นรุ่งขึ้นเข้าเสียงอึกทึกครึกโครมก็ได้เกิดขึ้นทุกแห่งหน เพราะเหตุว่าประชาชนพลเมืองทั้งหลายได้พบงูเล็กบ้างงูใหญ่บ้างตามเรือนในบ้าน เกือบจะพูดได้ว่าเมื่อแลไปทางไหน ก็เจอแต่งูทั้งนั้น บางคนทำท่าขยับจะฆ่าฟัน แต่งูเล็กงูใหญ่เหล่านั้นกลับขู่คำรามฟ่อ ๆ เป็นการป้องกันตัว ขืนตีจะถูกงูกัด ก็เลยทอดอาลัยและงูเหล่านั้นก็ไม่ทำอะไรใครเสียด้วย ในพระราชวังของพระเจ้าพรหมมทัตเองเล่าเกิดอะไรขึ้นตื่นเช้าเสียงสนมกำนันร้องกันวี๊ดว้าย เพราะมองไปทางไหนมีแต่งูทั้งนั้น บนหัวนอน บนหน้าต่าง บนประตู ตลอดจนบนโต๊ะเครื่องแป้งก็ยังอุตสาห์มีงูไปนอนอยู่

     แม้พระเจ้าพรหมทัตเอง นับแต่ลืมตาขึ้นมาก็พบกับราชทูตทั้ง ๔ นาย อันมีสภาพเป็นพญานาคขดไว้รวบปราสาท แผ่พังพานอยู่แทบจะเหนือศรีษะ ถึงกับตะลึง ตายจริงนี่มันอะไรกัน เสียงประชาชนแตกตื่นกันมาหน้าพระลาน เสียงร้องทูลขรมถมเถไปหมด จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มองไปทั่วพระนครมีแต่งูทั้งนั้น พอท้าวพรหมทัตเสด็จออก ประชาชนก็ทูลขอให้ถวายราชธิดาแก่ท้าวทศรถเสีย มิฉนั้นประชาชนพลเมืองจะพากันเดือดร้อนถึงชีพ เพราะศักดานุภาพของจอมบาดาล

     เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ ท้าวพรหมทัตก็จำยอมต้องออกพระโอษฐ์ ยอมถวายพระนางสมุทรชาแก่ท้าวทศรถ พวกนาคทั้งหมดก็อันตรธานหายไปจากที่นั้น ไปปรากฎตั้งเป็นกองคอยอยู่ ณ ที่ไม่ไกลเมืองนัก พอท้าว พราหมทัตส่งพระราชธิดาไปถวายเจ้านายแล้วก็พากันกลับไปยังบาดาล อภิเษกพระนางสมุทรชาไว้ในตำแหน่งอัครใเหสี ท้าวทศรถกลัวพระนางสมุทรชาจะตกใจกลัว จึงบังคับสั่งบรรดานาคทั้งหมดว่า
   “ใครแสดงรูปนาคให้ปรากฎแก่พระนาง ผู้นั้นจะต้องตาย” นับแต่นั้นพระนางก็ร่วมสโมสรอยู่กับท้าวทศรถจนมีโอรสถึง ๔ พระองค์ องค์ที่ ๑ ชื่อสุทัศนะ องค์ที่ ๒ ชื่อทัต องค์ที่ ๓ ชื่อสุโภคะ องค์ที่ ๔ ชื่ออริฎฐะ ก็ยังไม่เคยรู้เลยว่าที่นี่เป็นเมืองบาดาล เพราะบรรดานาคทั้งหลายต่างแปลงกายเป็นคนเมื่ออยู่ในสายพระเนตรของพระนาง

     ในเรื่องนี้เจ้าทัตซึ่งเป็นองค์ที่ ๒ เป็นตัวเอกของเรื่องนี้เพราะมีปัญญามาก จึงได้นามภายหลังว่า ภูริทัต
     เพราะพระนางสมุทรชาไม่เคยรู้ว่าเมืองนี้เป็นเมืองนาคนั้นเอง จึงมีพี่เลี้ยงของเจ้าอริฎฐะ ซึ่งเป็นโอรสองค์สุดท้ายของท้าวทศรถเสี้ยมสอนเจ้าอริฎฐะ ว่ามารดาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่นาค อริฎฐะอยากทราบความจริง เวลากินนมเลยแสดงอาการข้างล่างเป็นนาค พระนางตกพระทัยผลักเจ้าอริฎฐะตกลงไป เล็บพระนางเผอิญทิ่มตาของเจ้าอริฎฐะถึงกับแตกไปข้างหนึ่ง ท้าวทศรถทราบเรื่องจะประหารเจ้าอริฎฐะเสีย แต่พระนางทูลขอไว้ และนับแต่นั้นพระนางก็ทราบว่าเมืองนั้นเป็นเมืองนาค

     ท้าวทศรถต้องไปเฝ้าท้าววิรูปักข์ ซึ่งเป็นมหาราชกำหนด ๑๕ วันครั้งหนึ่ง เจ้าทัตก็ไปพร้อมกับบิดาด้วย และได้แก้ปัญหาในที่ประชุม ได้รับสรรเสริญว่าเป็นคนมีปัญญา นับแต่นั้นมาจึงได้นามว่าภูริทัต ภูริทัตได้เห็นสมบัติของท้าวมหาราช และสมบัติพระอินทร์ และสมบัติของบิดาตนแล้ว เห็นว่าสู้ของพระอินทร์ไม่ได้ อยากจะได้ แต่ตนเป็นสัตว์เดรัจฉานทำอย่างไรก็คงไม่ได้จึงคิดรักษาอุโบสถศีลเพี่อเสวงเลิศในภายหน้า
     เมื่อลงมาจากเฝ้าเท้ามหาราชแล้ว ก็ดำริจำรักษาอุโบสถในแดนมนุษย์ แต่ถูกพระมารดาาห้ามปรามก็เลยไปรักษาอุโบสถอยู่ในพระราชฐาน แต่อยู่ไป ๆ ก็คิดเห็นว่าไม่เป็นปกติได้ เพราะสนมกำนันในยังเฝ้าแหนอยู่มิได้ขาด เลยไม่บอกให้ใคร ๆ รุ่งขึ้นไปรักษาอุโบสถอยู่ที่จอมปลวกริมฝั่งน้ำยมนา ตั้งความปรารถนาสละชีวิตร่างกายของตนให้แก่ผู้ต้องการ

     ยังมีพรานป่า ๒ คนพ่อลูก พ่อชื่อเนสาท ลูกชื่อโสมทัตทั้งสองคนเข้าป่าล่าเนื้อไปขายเป็นประจำ วันหนึ่งเข้าป่าไปแต่หาเนื้อวันยังค่ำก็ไม่พบเนื้อเลย จนกระทั้งเย็นมาถึงใกล้ฝั่งแม่น้ำยมนา ก็พอดีพบเนื้อตัวหนึ่งมากินน้ำ จึงยิงธนูไปถูกเนื้อ แต่เผอิญเนื้อไม่ตายหนีไปได้ จึงติดตามรอยเลือดไปก็พอดีพลบค่ำ จึงจำเป็นเข้าไปอาศัยซุ้มไม้แห่งหนึ่งใกล้กับเจ้าภูริทัตจำศีลเป็นที่พักผ่อนหลับนอน และในคืนนั้นเองพราน ๒ พ่อลูก ก็ได้ยินเสียงดนตรีขับกล่อม จึงย่องไปมองดูก็พบเจ้าภูริทัตซึ่งมีนางนาคสาว ๆ ขับกล่อมบรรเลงอยู่ จึงเข้าไปใกล้ พวกนาคเหล่านั้นก็เลยหนีไปหมดเหลือแต่ภูริทัตผู้เดียว พรานทั้งสองจึงเข้าไปสอบถามว่าเป็นอะไร มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ภูริทัตจึงบอกความจริงว่าเป็นพญานาคมารักษาศีลอยู่ที่นี่ แล้วกลัวว่าพราะเป็นหมองูมาทำอันตราย จึงเชิญไปเสวยสุชอยู่ในนาคพิภพด้วย
     แต่เพราะคนทั้งสองมีวาสนาน้อย ไม่อาจจะเสวยสุขอยู่ในบาดาลได้ จึงขอกลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์อีก เจ้าภูริทัตก็อำนวยตามทุกประการ และได้มอบสมบัติให้เป็นอันมากอีกด้วย เมื่อคนทั้งสองขึ้นไปแล้ว สมบัติที่ให้มาก็อันตธานหายไปสิ้น ทั้งสองคนก็คงตกเป็นพรานพร้อมด้วยเครื่องแต่งกายอย่างเดิมอีก และนับแต่นั้นก็เข้าป่าล่าเนื้อขายเช่นเดิม

     คราวครั้งนั้นมีครุฑตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในวิมานฉิมพลีแถบใกล้มหาสมุทร บินลงมาจับนาคได้ตัวหนึ่งแล้วพาบินไปนาคนั้นกลัวตายก็เอาหางตวัดต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งอันเป็นที่จงกลมของฤาษีตนหนึ่งหนึ่งติดไปด้วย ครุฑพาไปจนถึงที่เคยกินก็กินนาคเสีย ต้นไทรก็เลยตกลงไปยังพื้นข้างล่างดังสนั่น ครุฑจึงคิดว่าเราจะบาปหรือไม่ จึงแปลงกายเป็นหนุ่มน้อยเข้าไปหาฤาษี ถามว่าจะเป็นบาปหรือไม่ พระฤาษีว่าไม่บาป เพราะไม่มีเจตนา ก็ดีใจแล้วถวายแก้วให้ฤาษีไว้ดวงหนึ่ง พร้อมกับมนต์ชื่ออาลัมพายและยาทิพย์ซึ่งงูจะต้องกลัว และอยู่ในอำนาจ พระฤาษีแม้จะไม่อยากได้ก็ต้องรับไว้ เพราะครุฑยัดเยียดให้รับ
     สมัยนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่งตกยากเป็นหนี้สินมากจนไม่มีจะใช้เขา จึงคิดจะซุกซ่อนตัวตายเสียในป่า จึงเดินทางเข้าไปป่าจนกระทั่งถึงอาศรมของฤาษีนั้น เห็นว่าไกลจากบ้านเมืองผู้คน จึงแวะเข้าไปอาศัยอยู่ และกระทำปฎิบัติฤาษีนั้นตามสมควร

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3