ฤาษีจึงได้บอกมนต์และยาทิพย์ให้แก่เขา แม้เขาจะไม่อยากได้ก็ต้องรับเพราะเกรงใจฤาษี เมื่อเรียนมนต์อาลัมพายได้แล้วจึงลาฤาษีออกเดินทาง และเผอิญผ่านริมน้ำยมนาซึ่งภูริทัตจำศีลอยู่
คืนวันนั้นนางนาคพากันมาขับกล่อมให้ภูริทัตเพลิดเพลิน
เมื่อสว่างแล้วจึงพากันไปเล่นอยู่ที่หาดทราย เอาแก้ววิเศษวางไว้ระหว่างทาง ขณะกำลังเล่นอยู่นั้นพราหมณ์ก็เดินท่องมนต์ผ่านมานางนาคเหล่านั้น ก็ตกใจคิดว่าพญาครุฑมา จึงพากันทิ้งแก้วเสียแล้วหลบหนีไปยังบาดาล พราหมณ์เห็นแก้วมณีวางอยู่ จึงหยิบมาถือแล้วเดินเรื่อยไปจนกระทั่งมาพบพรานพ่อลูกซึ่งเคยไปอยู่เมืองบาดาลมาแล้ว
พอลูกพรานเห็นแก้วก็จำได้ว่าเป็นของที่ภูริทัตให้มาแต่ตนทำตกถึงพื้น
แก้วดวงนี้เลยอันตรธานหายไป จึงบอกบิดาทราบ และพากันเข้าไปขอแก้ว พราหมณ์ไม่ให้ และได้สอบถามเรื่องแก้วได้ความดังเรื่องข้างต้น เพื่อจะได้ทดลองมนต์ พรานก็พาไปจนถึงที่ภูริทัตจำศีลอยู่ที่จอมปลวก แล้งชี้บอกและขอรับแก้ว พราหมณ์จึงยื่นให้กับพราน แต่เขารับไว้ไม่แน่นแก้วตกลงถึงพื้นเลยหายลงไปเสีย เขาก็เลยอดทั้งแก้ว และได้เนรคุณต่อผู้มีพระคุณของตนอีกด้วย
พอพรานพาพราหมณ์เข้าไปถึง ภูริทัตเห็นแล้วก็จำได้ว่าเคยนำไปไว้เมืองบาดาล และขอกลับมาอยู่มนุษย์โลกจะบรรพชาอุปสมบท
แต่ก็หาทำไม่ กลับพาหมองูมาทำทำอันตรายแก่ตน และตนจะทำอันตรายหมองูตนก็จะขาดศีล จึงคิดตกลงยอมสละชีวิตตามแต่เขาจะทำ
พราหมณ์กินยางู แล้วร่ายมนต์เข้าไปจับภูริทัตดึงลงจากจอมปลวก แล้วจับลากกรอกยาทำให้หมดกำลังไป และทารุณอีกต่าง ๆ จนมีเลือดไหลออกทั้งปากและจมูก แล้วเขาก็ตัดเถาวัลย์มาสานกระโปรงใส่ภูริทัต เพื่อจะไปแสวงหาเงินตามที่ต่าง ๆ
มาสถานที่ชุมชนคน ก็จัดแจงป่าวประกาศให้ผู้คนมาดู แล้วบังคับภูริทัตให้แผ่พังพาน ๓ ชั้น ๗ ชั้น ทำให้ใหญ่ให้เล็กตามความประสงค์เก็บเงินจากผู้ดู สภาพอย่างนี้ทำให้นึกไปถึง แขกเล่นงู เขาใช้ให้งูแผ่แม่เบี้ยฉกจวักด้วยเสียงดนตรีเท่านั้นแต่พราหมณ์เก่งกว่า ไม่ต้องใช้ดนตรี ใช้แต่คำสั่งเท่านั้น พญานาคที่มีฤทธ์เช่นภูริทัตยังต้องอยู่ในอำนาจ เล่นแล้วเอาเขียดใส่เพื่อจะให้กิน ภูริทัตก็ไม่กิน หากินโดยวิธีนี้จนร่ำรวยมีเงินมีทองมาก
ทางเมืองนาคเมื่อพวกนางนาคขึ้นมาไม่พบพระภูริทัตก็นำความไปบอก และนางสมุทรชาก็บังเกิดสุบินว่ามีคนมาตัดแขนเบื้องขวาของพระนางหนีออกไป กับประกอบได้ข่าวว่าเจ้าภูริทัตหายไป
เจ้าสุทัศน์ผู้พี่ภูริทัต ก็รับอาสาออกติดตามพร้อม ๆ กับน้อง ๆ
คือเจ้าสุโภคะและเจ้าอริฎฐะ และเห็นว่าน้อง ๆ เป็นคนโทโสร้าย หากว่าจะไปพบภูริทัตบนเมืองมนุษย์จะเกิดเดือดร้อนภายหลัง เมื่อไม่พอใจขึ้นมาก็จะพ่นพิษเผาผลาญตามนิคมชนบทพินาศหมด จึงส่งเจ้าสุโภคะไปยังป่าหิมพานต์ ให้เจ้าสุทัศน์อริฎฐะไปยังเทวโลก ช่วยกันค้นคว้าหาเจ้าภูริทัต ส่วนเจ้าสุทัศน์เองไปสู่เมืองมนุษย์พร้อมกับนาคผู้น้องอีกตนหนึ่งชื่อว่าอัจจะมุขี
การเล่นงูของพราหมณ์ได้แพร่สะพัดไปจนทราบถึงพระเจ้าสาครพรหมทัต ซึ่งเป็นพระเจ้าลุงของเจ้าภูริทัต ผู้ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสีทรงพระประสงค์จะใคร่ทอดพระเนตร จึงรับสั่งให้พาเข้าไปแสดงให้ดู แต่พราหมณ์ก็ขอให้เป็นวันพรุ่งนี้
เมื่อถึงเวลาพราหมณ์ก็ให้คนหากระโปรงแก้วซึ่งใส่เจ้าภูริทัตเข้าไปในวังตรงไปยังหน้าพระลาน แต่พระเจ้าสาครพรหมทัตยังมิได้เสด็จออก มีประชาชนพลเมืองพร้อมอำมาตย์ราชบริพารมากันเป็นอันมาก มีพระดำรัสออกมาให้หมออาลัมเล่นไปก่อนเถิด สักครู่จึงเสด็จออกมา
อาลัมพายจึงยกเอากระโปรงแก้วมาเปิดออก แล้วเรียกเจ้าภูริทัตออกมา เจ้าภูริทัตออกมาพอพ้นกระโปรงก็ชะเง้อดูรอบ ๆ การดูรอบ ๆ ของนาคนั้นด้วยสองประการคือเพื่อดูพญาครุฑ ถ้าเห็นก็จะได้หนีทันไม่เป็นอันตราย ๑ และถ้าเห็นญาติของตนเกิดละอายไม่อาจจะแสดงได้ ๑ เมื่อเจ้าภูริทัตชะเง้อมองรอบ ๆ ก็พบเจ้าสุทัศน์ซึ่งแปรงเพศเป็นฤาษีติดตามมา โดยสอบถามประชาชนพลเมืองเรื่อยมา จนทราบความว่ามีหมองูจะนำเอางูใหญ่มาเล่นให้ดู จึงมายืนดูด้วย เจ้าภูริทัตก็เลื้อยช้า ๆ ตรงเข้าไป
ประชาชนพลเมืองเห็นงูใหญ่เลื้อยตรงเข้ามาก็ตกใจพากันแตกหนีเป็นช่องไป เจ้าภูริทัตเลื้อยมาตรงหน้าเจ้าสุทัศน์ก็ซบศรีษะลงไปบนเท้าของฤาษี ร้องไห้สักครู่แล้วเลื้อยกลับเข้ากระโปรงไม่ยอมแสดง
อาลัมพายเห็นงูของตนเลื้อยไปซบศรีษะบนเท้าฤาษีก็คิดว่าจะกัดเข้าแล้ว จึงตรงไปเพื่อจะปลอบฤาษีโดยบอกว่า
ท่านผู้เจริญ งูพิษร้ายของข้าพเจ้าตัวนี้คงไปกัดท่านเข้าแล้ว ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะรักษาให้เพราะข้าพเจ้าเป็นหมองู
ฮ่ะ? ฮ่ะ? พระดาบสหัวเราะ ท่านว่ายังไงนะ งูตัวนั้นน่ะรึมีพิษ
มีจริงนะท่าน เพียงแต่ท่านถูกพิษเพียงเล็กน้อยท่านก็จะถึงแก่ความตายทันที
ท่านโกหกหลอกลวงประชาชน อาตมาดูแล้วว่างูตัวนี้ไม่มีพิษเลย ยังบอกว่ามีพิษ เรานี่แหละหมองูผู้วิเศษล่ะ
พระดาบส ท่านอย่าอวดดีไป งูของเรามีพิษร้ายมากถ้าไม่เชื่อพนันกันสัก ๕.๐๐๐ ไหมล่ะ
พระฤาษีก็รับคำท้าและบอกว่า
เดี๋ยวก่อน เราจะเข้าไปหาเงินมาวางก่อน
แล้วเจ้าสุทัศน์ก้เข้าไปในพระราชวัง ขอเฝ้าพระพระเจ้าสาครพรหมทัต เมื่อเข้าเฝ้าแล้วก็กลาบทูลขอเงิน ๕.๐๐๐ ซึ่งก็ทำให้พระพระเจ้าสาครพรหมทัตสงสัย ก็สอบถามจนได้ความว่าจะเอาไปพนันกับหมองู พระองค์ก็ยินยอมให้ และเสด็จออกมาพร้อมกับเจ้าสุทัศน์ด้วย
อาลัมพายพอเห็นก็ตกใจว่าพระฤาษีเป็นคนของพระเจ้าแผ่นดิน เกรงจะมีภัยจึงพูดกับดาบสว่า
ท่านผู้เจริญ เรื่องพนันอย่าถือเป็นเรื่องจริงเรื่องจังเลย เมื่อกี้ข้าพเจ้าโกรธที่ท่านดูถูกข้าพเจ้าหาว่าหลอกลวง เอางูไม่มีพิษมาเล่น
"จริงอย่างนั้นท่านหมองู งูตัวนั้นไม่มีพิษ แม้แต่งูเหลือมงูเขียวก็ดูมีจะมีพิษมากกว่า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงว่าท่านหลอกลวงประขาชนหากินไปวันหนึ่ง ๆ
พิโธ่? พระดาบส ข้าพเจ้าพูดจริง ๆ ว่างูตัวนี้มีพิษร้าย
ข้าพเจ้าจะสู้กับท่านด้วยเขียดน้อยเท่านั้น
ท่านผู่เจริญ ท่านออกจะดูหมิ่นข้าพเจ้ามาก ท่านควรจะรู้ข้าพเจ้าเป็นหมองู ซึ่งในแผ่นดินไม่มีใครเทียมเลย
โกหก ท่านลองดูเขียดของข้าพเจ้าก่อนเถิด
แล้วเจ้าสุทัศย์ก็เรียกนางอัจจะมุขี ซึ่งแปลงกายเป็นเขียดน้อยอาศัยอยู่บนชฎา โดยแบมือร้องเรียก
นางอัจจะมุขีก็โดดลงบนฝ่ามือ แล้วคายพิษไว้บนมือเจ้าสุทัศน์หน่อยหนึ่ง แล้วโดดขึ้นไปอาศัยอยู่บนชฎาอีก
พระฤาษีจำเป็นก็ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า
เมืองพาราณสีจะพินาศเสียแล้ว
พระเจ้าสาครพรหมทัตตกพระทัยมาก จึงรับสั่งถามว่า
"เพราะเหตุใดจึงได้ว่าเช่นนั้น
เพราะว่าพิษที่ข้าพเจ้าถืออยู่นี้ร้ายแรงเหลือที่จะกล่าว
อาลัมพายก็ได้แต่ยิ้ม ๆ พิษเขียด เออ? ช่างพูดออกมาได้ว่าร้ายแรง แต่ก็ฟังต่อไป
พระคุณเจ้าก็ทิ้งลงในแผ่นดินสิ
ขอเดชะ หากอาตมาภาพจะทิ้งพิษนี้บนแผ่นดินแล้วไซร้ ภายในเมืองนี้ข้าวกล้าก็จะวิบัติ รุขชาติทั้งหลายจะตายหมด
ถ้าเช่นนั้นจงสาดขึ้นไปบนอากาศ
ถึงเช่นนั้นจะทำให้ฝนแล้งไปถึง ๗ ปี
อาลัมพายชยับปากจะต่อคำสักหน่อย แต่เพราะอยู่หน้าพระที่นั่ง จึงได้แต่นิ่งฟัง
แล้วทำอย่างไรจึงจะไม่มีความวิบัติ
พระองค์จงตรัสให้ขุดหลุมลึกสัก ๓ หลุม หลุมที่ ๑ ใส่ยาสมุนไพรทุกชนิดลงไปให้เต็ม หลุมที่ ๒ ใส่มูลโคลงไปให้เต็ม หลุมที่ ๓ ใส่ยาทิพย์ให้เต็ม"
พระราชาตรัสสั่งให้ทำดังนั้น เจ้าสุทัศน์จึงเอาพิษนาคนั้นใส่ในหลุ่มที่ ๑ ก็เป็นไฟเผาไหม้ยาทั้งปวงนั้นจนกระทั่งหมดแล้วลามไปหลุมที่ ๒ ไหม้มูลโคหมด แล้วลามไปไหม้หลุมที่ ๓ ที่ใส่ยาทิพย์แล้วจึงดับ
อาลัมพายซึ่งไม่ยอมเชื่อได้ยืนใกล้หลุมที่ ๓ จึงถูกไอไฟลน ร้อนถึงถลอกปอกเปิกกลายเป็นขี้เรื้อนด่างเป็นดวง ๆ โดดออกไปห่าง พลางร้องว่าเราปล่อยนาคล่ะ
ภูริทัตพอได้ยินอาลัมพายบอกว่าปล่อย ก็ออกจากกระโปรง แล้วกายร่างเป็นมนุษย์เข้าไปเฝ้าพระเจ้าสาครพรหมทัตพร้อมกับเจ้าสุทัศน์และนางอัจจะมุคี ซึ่งก็กลายร่างเป็นคนเข้าไปเฝ้าด้วยกัน
เมื่อเข้าไป เจ้าสุทัศน์จึงถามพระเจ้าสาครพราหมทัตว่าทราบหรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร ซึ่งพระเจ้าสาครพรหมทัตก็บอกว่าไม่รู้ จึงบอกว่าพวกตนเป็นหลาน อันเกิดจากท้าวทศรถกับพระนางสมุทรชา ซึ่งเป็นน้องสาวของพระเจ้าสาครพรหมทัตเอง พร้อมกับลากลับไป และว่าจะพาพระมารดามาเยี่ยมภายหลังแล้วก็แทรกแผ่นดินกลับบาดาลไป
ทางบาดาลยินดีกันใหญ่ที่เห็นเจ้าภูริทัตกลับมา เมื่อพระนางสมุทรชาได้ทราบเรื่องจากเจ้าสุทัศน์ แล้วก็คิดจะไปเยี่ยมพี่ชาย
เจ้าสุโภคะซึ่งติดตามไปทางหิมพานต์ไม่พบอะไร ก็มุ่งหน้ากลับมา เผอิญได้ยินพรานป่าผู้กำลังอาบน้ำล้างบาปที่ได้ประทุษร้ายเจ้าภูริทัต จึงเอาตัวมาให้ภูริทัตตัดสิน ซึ่งภูริทัตก็ปล่อยไป
เมื่อพระนางสมุทรชาไปเยี่ยมพระเจ้าสาครพรหมทัตแล้วก็กลับมายังเมืองนาค
นับแต่นั้นเจ้าภูริทัตก็อยู่สุขสบายตราบจนสิ้นอายุ
。
ในเรื่องนี้เราจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง ก็คือว่าเราได้ขันติ คือความอดทน ตอนที่นายอาลัมพายมาทำร้ายจับเอาไปทรมานทรกรรมจนแทบทนไม่ได้ หากเป็นนาคอื่นก็อาจจะพ่นพิษเอาอาลัมพายตายไปก็ได้
และเห็นโทษของการเนรคุณ ซึ่งนายพรานสองพ่อลูกได้ทำให้เจ้าภูริทัตถูกจับ
เพราะอยากได้แก้วเท่านั้นเอง เรื่องนี้ก็ถึงที่สุดเพียงเท่านี้ ฯ。。。