ศาลา
หน้าแรก
คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ
การฝึกมโนมยิทธิ๑
การฝึกมโนมยิทธิ๒
การฝึกมโนมยิทธิ๓
การท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ
การฝึกญาณ ๘

การฝึกมโนมยิทธิ

หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร - ครูฝึก
คุณสมพร บุณยเกียรติ(เปี๊ยก) - ผู้รับการฝึก

ฝึกที่บ้านซอยสายลม
เมื่อวันที่ ๑๑ พ.ย. ๒๕๒๑

            (หลังจากหลวงพ่อแนะนำวิธีการปฏิบัติและให้ภาวนาสัก ๑๐ นาทีแล้ว จึงเข้ามาสอบถาม)
หลวงพ่อ       “เปี๊ยก สว่างไหม...?”
เปี๊ยก           “แสงสว่างทั่ว ๆ ไป แต่ไม่เป็นดวงนะคะ”
หลวงพ่อ       “ไม่เป็นดวงหรือ ...พิจารณาขันธ์ ๕ ตัดขันธ์ ๕ รูป เป็นสุขหรือเป็นทุกข์...?”
เปี๊ยก           “ทุกข์ค่ะ”
หลวงพ่อ       “เป็นทุกข์หรือ ทำไมเป็นทุกข์ล่ะ...?”
เปี๊ยก           “เพราะหนูได้รับการกระทบกระทั่งทางใจ ทุกข์อันนี้ของหนูมากค่ะ”
หลวงพ่อ       “การรับกระทบกระทั่งทางอารมณ์ เพราะเรามีรูปเป็นสำคัญใช่ไหม.. ทุกข์นะ การที่เราเป็นทุกข์ก็เพราะอาศํยมีรูปเป็นสำคัญนะ ถ้าเราไม่มีรูป มันก็ไม่ทุกข์ แล้วทุกคนเวลานี้ได้โปรดทราบว่า เวลานี้ทั้งพระก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี กำลังควบคุมทุกท่านอยู่ ลองพิจารณาดูซิว่า เวลานี้มีแสงสีอะไรพิเศษเกิดขึ้นบ้างไหม...? มีไหม...?”
เปี๊ยก           “มีแสงเป็นลำขวาง”
หลวงพ่อ       “เป็นลำขวาง ๆ เป็นแสง สีอะไร...?”
เปี๊ยก           “บอกไม่ถูก คล้ายเป็นสีเหลือง”
หลวงพ่อ       “สีเหลืองต้องนึกว่านั่นพระพุทธเจ้านะ ตั้งใจนมัสการท่าน นึกว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ในลักษณะไหน...?”
เปี๊ยก           “ท่านเสด็จประทับอยู่ข้างหน้าค่ะ”
หลวงพ่อ       “ข้างหน้าหรือ ... ต้องเชื่อจิตนะ นี่เป็นมโนมิยิทธิ คำว่ามโนมยิทธิหมายความว่าจิตเป็นทิพย์และมีฤทธิ์ทางใจ พระองค์ยืนอยู่หรือนั่งอยู่...?”
เปี๊ยก           “ยืนค่ะ”
หลวงพ่อ       “ยืนหรือ ทรงเครื่องสีอะไร...? เป็นเสีเหลืองธรรมดาหรือว่าเครื่องประดับของเทวดา ทรงเครื่องแบบไหน...?”
เปี๊ยก             “บอกไม่ถูกค่ะ”
หลวงพ่อ       “อารมณ์จิตบอกว่าอย่างไร”
เปี๊ยก           “บอกว่าเป็นพระค่ะ”
หลวงพ่อ         “เป็นรูปพระสีเหลืองใช่ไหม... อันนี้ถูก พระที่ยืนอยู่ที่เห็นเวลานี้เป็นประจำอยู่ก็คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า “กุกุกสันโธ” ท่านมาในลักษณะของรูปพระธรรมดา ท่านยืนอยู่นะ”
เปี๊ยก           “ค่ะ”
หลวงพ่อ       “ขอนมัสการท่าน ขอท่านโปรดกรุณานำเราไปสู่พระจุฬามณี จิตพุ่งไปคิวด่าเวลานี้เราเข้าสู่เขตพระจุฬามณี จิตน้อมไปตามนั้นไหม..?”
เปี๊ยก           “ค่ะ”
หลวงพ่อ       “คิดว่าเข้าไปนะ เข้าไปดูว่าข้างหน้าที่เราจะเห็นข้างหน้า ตรงเข้าไปที่ประทับสูงแล้วก็จะมีแสงปรากฏนั่นคือเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ข้างหน้า”
            ต่อนี้ไปตัดขันธ์ ๕ ขอว่าพระรูปพระโฉมขององค์็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระรูปพระโฉมเป็นอย่างไร ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีโอกาสได้นมัสการ ได้เป็นรูปชัด
            ตอนนี้ตัดขันธ์ ๕ ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ที่เราต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ขัดขวางอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะอาศัยขันธ์ ๕ เป็นสำคัญ ถ้าเราไม่มีขันธ์ ๕ เสียอย่างเดียว เราก็จหาคนด่าไม่ได้ หาคนว่าไม่ได้ หาคนกลั่นแกล้งไม่ได้ ที่เรายังมีคนด่าเราได้ มีคนว่าเราได้ มีคนกลั่นแกล้งเราได้ หรืว่ามีอาการป่วยไข้ไม่สบายได้ ก็เพราะอาศัยที่เรามีร่างกายเป็นสำคัญ
            ฉะนั้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจะไม่เห็นว่าร่างกายมีความหมาย ไม่เห็นว่าร่างกายมีความสำคัญ ถือว่าร่างกายเป็นศัตรูใหญ่สำหรับเรานะ จิตคิดอย่างนั้นไหม...?”
เปี๊ยก           “คิดค่ะ”
หลวงพ่อ       “เวลานี้มีแสงสว่างขึ้นไหม...?”
เปี๊ยก           “สว่างแต่ยังไม่เห็นเป็นภาพค่ะ”
หลวงพ่อ       “เอ้า ไม่เป็นไร สว่างขึ้นกว่าเก่าใช่ไหม จิตคิดดูซิ ว่าพระองค์เสด็จประทับอยู่ตรงไหน มีที่ประทับเฉพาะหรือว่ายืนอยู่”
เปี๊ยก           “มีที่ประทับเป็นที่สูง ๆ ค่ะ”
หลวงพ่อ       “สูง ๆ หรือ จิตบอกว่าเป็นแท่นหรือเป็นเก้าอี้ เอาจิตเวลานี้บอก ตอบตามเรื่องของจิต”
เปี๊ยก           “เป็นแท่นค่ะ”
หลวงพ่อ       “เป็นแท่นเรอะ ตามความรู้สึกของจิตบอกว่าท่านเสด็จประทับนั่งขัดสมาธิหรือว่าห้อยพระบาททั้ง ๒ ข้าง ความจริงท่านยิ้มแล้วนะ น่าจะใสขึ้นแล้วนะ ใสขึ้นหน่อยไหม...?”
เปี๊ยก           “สว่างขึ้นค่ะ”
หลวงพ่อ       “สว่างขึ้นแล้วนะ”
เปี๊ยก           “แล้วห้อยพระบาทค่ะ”
หลวงพ่อ       “เออ...ถูกต้อง ถูกต้องตามนั้น กราบท่านลูก”
เปี๊ยก           “ค่ะ”
หลวงพ่อ       “จำไว้นะ ถ้าทำจิตแบบนี้ไม่ช้าก็เห็นภาพ ปลงขันธ์ ๕ อีกสักครั้งหนึ่งซิ ตั้งใจปลงขันธ์ ๕ ว่า คนที่เกิดมาในโลกทั้งหมด แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงขันธ์ ๕ อยู่ สมเด็จพระบรมครูก็ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นผู้เลิศกว่ามนุษย์ทั้งหลาย เลิศกว่าเทวดาทั้งหมด เลิศกว่าพรหมทั้งหมด เพราะว่าทรงเป็นครูสอนทั้งคน ทั้งเทวดาและทั้งพรหม แต่ทว่าในที่สุดขันธ์ ๕ ของพระองค์ก็ต้องตกในสภาวะของธรรมด คือ เมื่อมีความเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทุกวัน
            ในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรม์ยังทรงชีวิตอยู่ สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงมีป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกับเรา นั่นคือขันธ์ ๕ นะ และในที่สุดขันธ์ ๕ ของพระองค์ก็ดับ คือเข้าสู่พระนิพพาน และเวลานี้เราก็มีสภาพเช่นเดียวกัน คือว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารพระองค์ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ ในที่สุดขันธ์ ๕ ของพระองค์ก็ต้องพัง ร่างกายของเราก็มีสภาพเช่นเดียวกัน นับตั้ยแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ขอยึดถือขันธ์ ๕ ที่เป็นสภาวะที่เป็นปัจจัยของความทุกข์ เราเลิกกันนะ
            ความเป็นคนเราก็ไม่เอา
            ความเป็นเทวดาเราก็ไม่ต้องการ
            เป็นพรหมเราก็ไม่ต้องการ

            ขึ้นชื่อว่าวัตถุทั้งหลายที่เป็นทรัพย์สินทั้งหลายในโลกนี้ ทุกคนมักจะมัวเมาในชีวิตของตน คิดว่าร่างกายของตนจะไม่ตาย ร่างกายของตนจะไม่แก่ ในที่สุดร่งกายของตนก็ต้องตายต้องแก่ มีทรัพย์สินมากเทาไหรก็ไม่สามารถจะแบกไปชาติหน้าได้ ตายแล้วต่างคนต่างก็ปล่อยกันไป
            ทีนี้ในเมื่อสภาพความจริงของโลกเป็นอย่างนี้ เราก็จะไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด คือร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมดก็ดี สิ่งทั้งหลรายเหล่านี้จะมีประดยชน์อยู่บ้าง เมือ่ชีวิตของเรายังอาศัยร่างกายอยู่ เมื่อตายแล้วมันก็ไม่ตามไป เราขอตัดมันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องการมันนะ
            ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาโปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพระรูปพระโฉมของพระองค์ แม้ไม่ชัดก็ไม่เป็นไร ดูแสงสว่างขึ้นมากไหม...?”
เปี๊ยก             “ยังไม่มากค่ะ”
หลวงพ่อ       “มากกว่านิดไหม...?”
เปี๊ยก           “ค่ะ”
หลวงพ่อ      “ดีขึ้นกว่าเก่านะ เอาละตอนนี้ก็ขอทูลพระโอวาท ต้องเชื่อใจนะ เวลานี้จิตเป็นทิพย์มันถูกต้องทุกอย่างแล้ว ถามว่าข้าพพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติอย่างไรด้วยวิธีสั้น ๆ ให้ตรงกับอารมณ์เพื่อความเป็นอรหันต์ในชาตินี้เชื่อจิตที่รับสัมผัส จิตมีความรู้สึกบอกว่ายังไง...? บอกได้ไหม..?”
เปี๊ยก           “ยังไม่ได้ค่ะ”
หลวงพ่อ       “ยังไม่ได้นะ ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วลองนึกซิ ลองพิจารณาดูว่าเวลานี้นอกจากแสงสว่างของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีแสงสว่างพิเศษอะไรบ้างไหม นอกจากแสงนั้น จุดอาจจะไม่เท่ากัน มีไหม... เอายังงี้ก็แล้วกัน ทางซ้ายเปี๊ยกน่ะมีอะไรบ้าง...?”
เปี๊ยก           “มีแสงค่ะ”
หลวงพ่อ       “มีแสงเหรอ...?”
เปี๊ยก           “ใจหนูมันยังสั่นอยู่ค่ะ”
หลวงพ่อ       “ใจสั่น กลัวเหรอ รวบรวมกำลังใจ”
เปี๊ยก           “แสงมากกว่าเมื่อกี้นี้ค่ะ”
หลวงพ่อ       “ทำใจให้สบายลูก คิดว่าเวลานี้เราพบพระพุทธเจ้าเป็นของยาก และแสงข้าง ๆ น่ะไม่ใช่แม่ศรีนะ แม่จัน เห็นแม่จันแม่ของเปี๊ยกเป็นแม่ระดับที่สองรองลงมา”
เปี๊ยก           “ท่านแม่ยืนใช่ไหมคะ...?”
หลวงพ่อ       “ใช่ ... ยืน”
เปี๊ยก           “ทางซ้ายค่ะ”
หลวงพ่อ       “ใช่ทางซ้ายมือ ลองนึกดูซิว่าแม่แต่งเครื่องแบบสีอะไร...?”
เปี๊ยก           “สีเขียวค่ะ”
หลวงพ่อ       “สีเขียวเหรอ บอกแม่ขอให้เห็นชัดกว่านี้ ยกมือไหว้ท่าน ตั้งใจแสดงความเคารพนะ เขาคุมมานานแล้วนี่ ขอให้เห็นเครื่องแต่งกายเอาจุดใดจุดหนึ่ง ส่วนล่างหรือส่วนบนก็ได้ อย่าเพิ่งเห็นทั่วตัว เห็นท่านไหม...?”
เปี๊ยก           “เห็นแต่มือค่ะ ท่่านประทับยืนค่ะ”
หลวงพ่อ       เห็นยืนใช่ไหม... มัวใช่ไหม ... เอ้าดีใจตัดขันธ์ ๕ บอกแม่ช่วย ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วย ขอบารมีท่านแม่ช่วย ขอให้มีอารมณ์จิตแจ่มใส ขอให้มีโอกาสได้ชัด ๆ ยิ่งกว่านี้ ทำใจให้สบาย อย่าให้ใจมันสั่น ทำอารมณ์ให้เป็นสุข ถือว่าแดนนี้เป็นแดนของความสุข เราถือว่า การขึ้นมาได้แค่นี้ถือว่าเราเป็นผู้ชนะกิเลสแล้ว ถ้าเราเป็นเหยื่อของกิเลสอยู่เราขึ้นมาไม่ได้ นี่เราเป็นผู้ชนะ เห็นแสงสว่างขึ้นไหม...?”
เปี๊ยก           “ดีขึ้นแล้วค่ะ”
หลวงพ่อ       “เห็นแล้วลองบอกลักษณะรูปร่างของแม่ซิ”
เปี๊ยก           “ท่านผอมค่ะ องค์ท่านค่อนข้างสูงค่ะ”
หลวงพ่อ       “ค่อนข้างสูง อย่างนี้เขาไม่เรียกผอม ผอมมันก็เป็นเปรต เพรียวใช่ไหม..?”
เปี๊ยก           “ค่ะ”
หลวงพ่อ       “อย่าไปเรียกผอมซิ ค่อนข้างสูง พอมองเห็นใช่ไหมนี่ เห็นทั้งองค์ใช่ไหม...?”
เปี๊ยก           “เห็นผ้านุ่งค่ะ ท่านยืนหันหน้าเอียงไปทางหลวงพ่อ...”
หลวงพ่อ       “ใช่ ๆ ยืนเฉียงนิด ๆ ดูตรงรองเท้าซิสวมอะไร...มีเครื่องประดับข้อเท้าหรือเปล่า...?”
เปี๊ยก           “ข้อเท้ามีกำไลค่ะ”
หลวงพ่อ       “กำไลทำด้วยแก้วหรือทอง...?”
เปี๊ยก           “ทองค่ะ”
หลวงพ่อ       “เป็นทองเหรอ ทองแท้ ๆ หรือผสมอะไรบ้าง...?”
เปี๊ยก           “ทองเหลืองมากนะคะ วาว ๆ นิด ๆ แต่ไม่ค่อยใสค่ะ”
หลวงพ่อ       “ถามแม่ซิ กำไลเท้าเป็นทองหรือเป็นแก้ว ถามเลยถ้าจิตบอกยังไงก็ตอบมา”
เปี๊ยก           “เป็นแก้วแล้วค่ะ”
หลวงพ่อ       “เป็นแก้วหรือ ใช่ ถูกต้อง ถามเขาตามนั้นนะ ต้องรักษาอารมณ์ นี่เกร็งเกินไป”
เปี๊ยก           “ใจมันสั่นค่ะ”
หลวงพ่อ       “ใจสั่นนี่มันเกร็งเกินไป ทีหลังทำใจสบาย ๆ นะ ไอ้แกไฟมันคอยจะดับอยู่เรื่อยนี่”
เปี๊ยก           “เมื่อกี้หลวงพ่อมาใจมันสั่นค่ะ”
หลวงพ่อ       “ทีหลังทำใจสบาย ๆ ซิ พ่อไม่ได้มาฆ่าใช่ไหม พ่อมาช่วย ต้องนึกอย่างนั้นนะ ขอทุกท่านที่ไม่สามารถจะเห็นเองได้ ก็วาดภาพตามนั้น คิดว่าเราอยู่ในสถานที่นี้ ถ้าบังเอิญคนใดคนหนึ่งคิดว่าตนเองอยู่ในสถานที่ใดก็ขอให้เชื่อ เพราะวันนี้พระและเทวดาพรหมคุมเต็มที่ ดูขึ้นมาตั้งแต่ผ้าของแม่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีอะไรหรือยัง...? บอกว่าอยากจะต้องการเห็นชุดใหญ่ ให้แม่แต่งชุดใหญ่”
เปี๊ยก           “สีเริ่มสว่างขึ้นแล้วค่ะ”
หลวงพ่อ       “ชัดขึ้นไหมลูก..?”
เปี๊ยก           “มันออกทอง ๆ แต่ไม่ใช่สีทองเข้มนะคะ”
หลวงพ่อ       “ออกทอง ๆ นะ ทองเลื่อม ๆ ใช่ไหม...?”
เปี๊ยก           “ค่ะ”
หลวงพ่อ       “เอ้อดูซิ ลองดูไปตามอย่างที่แป๊วเขาดูซิ ดูขึ้นเรื่อย ๆ ลักษณะผ้านุ่งลักษณะไหน...?”
เปี๊ยก           “ผ้าเป็นชุดไทยค่ะ มีเข็มขัดค่ะ”
เปี๊ยก           “เข็มขัดท่านเป็นทองวาว ๆ ค่ะ”
หลวงพ่อ       “เป็นทองวาว ๆ เฉย ๆ หรือว่าเป็นอะไร...? ลองถามแม่เขาดูซิ”
เปี๊ยก           “เป็นแก้วผสมค่ะ”
หลวงพ่อ       “แพรวพราวนะ”
เปี๊ยก           “แต่ยังไม่มากค่ะ เห็นแต่ว่าเริ่มใสขึ้นค่ะ”
หลวงพ่อ       “เอ้อ จิตเริ่มดีขึ้นแล้ว จิตตกใจมากเกินไป แล้วก็ดูเสื้อซิ แขนสั้นหรือแขนยาว...? เอาจิตถาม มโนมยิทธิแปลว่ามีฤทธิ์ทางใจ”
เปี๊ยก           “แขนยาวค่ะ”
หลวงพ่อ       “แขนยาวเหรอ นอกจากแม่จันแล้ว ข้างหลังมีอะไรไหม..? มีความรู้สึกบอกว่ามีใครยืนอยู่สักคนไหม...?”
เปี๊ยก           “มีแสงแต่ว่าไม่ทราบค่ะ”
หลวงพ่อ       “มีแสง ถามว่าแม่ศรีใช่ไหม...? แกจะเขกหัวแกแล้วนะน่ะ นี่เขาแม่ใหญ่ ถามแม่จัน แม่ศรีใช่ไหม...?”
เปี๊ยก           “ใช่ค่ะ ยืนถัดต่อไปค่ะ”
หลวงพ่อ       “ยืนยิ้มอยู่นานแล้วแกจะเขกหัวเอ็งแล้วเมือ่กี้นี้ เขาบอกว่าไม่รู้หรือ สองคนแต่งตัวคล้ายคลึงกันไหม..? ขอบารมีท่านแม่ทั้ง ๒ องค์ ขอให้เห็นให้ชัดกว่านี้ เห็นดีขึ้นไหม...?”
เปี๊ยก           “สว่างขึ้นเยอะเลยค่ะ”
หลวงพ่อ       “ทีหลังคุมอารมณ์สมาธิให้ดีนะ ตั้งใจปลงขันธ์ ๕ อีก ลองปลงซิมีความรู้สึกในร่างกายเป็นอย่างไร...?”
เปี๊ยก           “คิดว่าหนูไม่ห่วงใยในอะไรทั้งหมดแล้วต่อไปนี้”
หลวงพ่อ       “งั้นเหรอ มาอยู่บนนี้ อารมณ์ใจสบายดีกว่ามนุษย์หรือสบายเท่ามนุษย์”
เปี๊ยก           “ใจสบายกว่าค่ะ”
หลวงพ่อ       “ดีกว่านะ ถ้าอยู่กับแม่ดีกว่าอยู่มนุษย์ในโลกนะ ตัดสินใจว่าเราเลิกกัน ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไอ้กฏของกรรมใด ๆ ที่ทำให้เราเป็นทุกข์ เราถือว่านั่นเป็นกฏของอกุศล กรรมที่เราทำมาก่อน เราจะใช้หนี้มัน เราจะไม่เดือดร้อนต่ออารมณ์ใดทั้งหมดที่มากระทบกระทั่งนะ แล้ววางอารมณ์เสีย แล้วก็ตอนนี้สว่างขึ้นไหม...?”
เปี๊ยก           “สว่าง มีความรู้สึกว่าท่านแม่ศรียิ้ม หันหน้ามาทางหนู”
หลวงพ่อ       “เอ้อ เขายิ้มตลอดเวลา ท่านแม่จันล่ะยิ้มหรือเปล่า...? แม่ศรีแกยิ้มมานานแล้ว แกหลอกเอ็งน่ะ เอ้อถ้างั้นละก็นมัสการพระพุทธเจ้านะ ขอให้ท่านแม่ทั้งสองพาไปหาท่านปู่ ท่านย่าา เดี๋ยวชนปู่ย่าตายนะนี่ เห็นแสงข้างหน้าไหม...?”
เปี๊ยก           “สว่างค่ะ”
หลวงพ่อ       “สว่าง ๒ จุดใช่ไหม...?”
เปี๊ยก           “เป็นทางยาว ๆ ค่ะ”
หลวงพ่อ       “เข้าไปให้ถึงจุดว่าท่านปู่ ท่านย่าประทับอยู่ตรงไหน ขอให้ปรากฏพระรูปพระโฉมให้ชัด หรือไม่งั้นขอให้แสงสว่างขึ้น ถามแม่เขาก็แล้วกัน ถามซิว่าถึงหรือยัง...?”
เปี๊ยก           “ค่ะ ถึงแล้วค่ะ”
หลวงพ่อ       “ถึงแล้วเหรอ ท่านปู่ท่านย่านั่งตรงไหน ถาม ๒ แม่เลย อย่าไปถามแม่เดียว จิตบอกว่าอย่างไร...?”
เปี๊ยก           “จิตบอกว่าท่านปู่นั่งอยู่บนแท่น”
หลวงพ่อ       “บนแท่น ท่านนั่งยังไง...?”
เปี๊ยก           “นั่งห้อยขาค่ะ”
หลวงพ่อ       “ห้อยกี่ข้าง...?”
เปี๊ยก           “ห้อยข้างเดียวค่ะ”
หลวงพ่อ       “แล้วท่านย่าล่ะ...?”
เปี๊ยก           “ท่านย่าอยู่ทางซ้าย”
หลวงพ่อ       “ทางซ้ายมือของท่านปู่ใช่ไหม...?”
เปี๊ยก           “ใช่ค่ะ”
หลวงพ่อ       “ตั้งใจตัดขันธ์ ๕ ใหม่ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วย บารมีท่านปู่ท่านย่าช่วย บารมีท่านแม่ช่วย แล้วก็บุญบารมีใด ๆ ที่เราบำเพ็ญกุศลมาแล้วนับเป็นเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ขอบุญบารมีทังหมดจงรวมตัวให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเห็นท่านปู่ท่านย่าท่านแม่ให้ชัดเจนแจ่มใส ดีขึ้นไหม...? จิตชักบอกว่าคล่องตัวขึ้นไหม...?”
เปี๊ยก           “จิตนิ่งกว่าเมื่อกี้นี้ค่ะ”
หลวงพ่อ       “จิตนิ่งเหรอ ความรู้สึกท่านปู่แต่งตัวอย่างไร...? ท่านแจ่มใสขึ้นไหม...?”
เปี๊ยก           “ท่านแต่งเป็นสีใส ๆ คล้าย ๆ สีทองค่ะ”
หลวงพ่อ       “เอ้อ... ถูก ท่านย่าล่ะ เอาจิตบอก รวบรวมกำลังใจให้เข้มแข็ง”
เปี๊ยก           “ท่านย่าก็แต่งสีทองละเอียด ๆ ค่ะ”
หลวงพ่อ       “เอ้อ...ดีแล้ว ทำใจให้สบาย ๆ นะ นึกถอยหลัง คำว่าถอยหลัง คิดว่ามองดูร่างกายขันธ์ ๕ ข้างล่างเราจะทิ้งมันนะ มันจะตายเมื่อไรก็เชิญตาย เราไม่เสียดาย อยู่บนนี้เราสุขกว่าใช่ไหม...? ในเมื่อเราอยู่บนนี้เราสุขกว่า และถ้าเรามีโอกาสที่จะอยู่ได้ ทำไม เราจำจะต้องไปห่วงร่างกาย แต่ทว่าถ้าร่างกายมันยังไม่ตาย ก็ต้องเลี้ยงดูมันเป็นของธรรมดานะ เรียกว่าเราใช้หนี้ชั่วคราว ระยะไม่กี่ปีเราก็หมดหนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดเราก็มีโอกาสมาอยู่กับแม่ และท่านปู่ ท่านย่า ทีนี้กราบท่านซิ เข้าไปกราบท่าน ทำความเคารพท่าน นี่ไหว้แม่เขาหรือยังนี่....?”
เปี๊ยก           “กราบแล้วค่ะ หนูกราบที่เท้าค่ะ”
หลวงพ่อ       “เออ กราบท่านปู่ ท่านย่าหรือยัง...?”
เปี๊ยก           “ค่ะ กราบแล้วค่ะ
หลวงพ่อ       “กราบท่านปู่ ดูความรู้สึกว่าท่านปู่ยิ้มหรือว่า ท่านเอามือมาทำอะไร? กราบตักท่านซิ เราเป็นหลานนี่”
เปี๊ยก           “ท่านยิ้มค่ะ”
หลวงพ่อ       “เข้าไปหาท่านย่า ความรู้สึกบอกว่าไง...?”
เปี๊ยก           “ความรู้สึกว่าท่านเคยสอนหนูค่ะ”
หลวงพ่อ       “เออ...ว่าไงเหรอ”
เปี๊ยก           “ท่าเคยเตือนหนูว่ายังแย่อยู่มาก”
หลวงพ่อ       “เออ วันนี้ทำใจซิลูกนะ ทำใจให้เข้มแข็ง คำว่ากลัวอะไรก็เลิกนึกถึงมันนะ นี่เพียงแค่หลวงพ่อเิดินเข้ามา แกก็ลดวูบไปแล้ว นึกถึงว่าหลวงพ่อนะต้องการให้ลูกทุกคนได้ดี ไม่ใช่ว่าจะไปฆ่าลูกนะ ทำใจให้สบาย นึกถึงว่ายิ่งอยู่ใกล้ยิ่งดี เวลานี้ตัดสินใจทำใจให้เป็นสุข เราถือว่าเราอยู่ในแดนที่เป็นสุข และก็ลองถามแม่ซิว่าวิมานของเปี๊ยกเองที่นิพพานน่ะมีไหม ท่านว่าไง....?”
เปี๊ยก           “ความรู้สึกบอกไม่มีค่ะ”
หลวงพ่อ       “ยังไม่มี นี่แสดงว่าสมาธิมันยังโคลงเคลงมาก นี่เป็นอันว่าเวลานี้ใจมันยังสั่น ยังสั่นอยู่ไหม...?”
เปี๊ยก           “สั่นไม่มากเท่าเมื่อกี้นี้องค์ท่านปู่ท่านย่าสว่างมากเลยค่ะ”
หลวงพ่อ       “เอองั้นเหรอ ถ้างั้นดูปู่ย่าดีกว่า สว่างขึ้นแล้วเหรอ เห็นตัวท่านไหม...?”
เปี๊ยก           “เห็นสว่างทั่วไปหมดเลยค่ะ”
หลวงพ่อ       “ใช่ซี หากว่าท่านเปล่งรัศมี ถ้าเราจะสามารถจะเห็นได้ มันสว่างเลยสายตา ที่เราจะมองไปได้ เพราะบารมีท่านมากนะ พอเห็นพระองค์ท่านไหมตอนนี้...?”
เปี๊ยก           “เห็นค่ะ ท่านสว่างแล้วก็ยิ้มค่ะ”
หลวงพ่อ       “ใช่ ๆ รักษากำลังใจนะ ทรงกำลังใจไว้ตอนนี้ เวลานี้เอากันแค่นี้นะ เอากันแค่ท่านปู่ท่านย่า ท่านแม่ทั้งสองนะ เวลานี้พูดถึงแม่ศรี แล้วก็ท่านปู่พระอินทร์ แล้วก็ชายาของท่านและแม่จัน ถ้าบังเอิญใครคนใดคนหนึ่งจะไปเห็นภาพท่านนอกจากสถานที่นี้นะ ต้องถือว่าใช้ได้ เพราะเทวดานี่ใช้รัศมีกายแทนตัว หรือบางทีท่านนั่งอยู่ที่เดียว ท่านอาจจะสงเคราะห์คราวเดียว คนได้ทั้งโลก”

(จบคำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ)