ศาลาปฏิบัติกรรมฐาน
คำนำ
อานาปานสติสูตร
สติปัฏฐานสูตร
กายคตาสติสูตร
อาพาธสูตร
มรณัสสติสูตร (ที่ ๑)
มรณัสสติสูตร (ที่ ๒)
เสขปฏิปทาสูตร
โลกวิปัตติสุตร
อาทิตตปริยายสูตร
อปัณณกสูตร
วังสสูตร
สัปปุริสสูตร
มรณัสสติสูตร (ที่ ๑)

        สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทสร้างด้วยอิฐ ใกล้บ้านนาทิกคาม ณ ที่นั้นแลพระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
        "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ......"
        ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
        พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
        "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรณัสสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย ย่อมเจริญมรณัสสติหรือ ?"
        เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่ง ได้กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ"
        พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
        "ดูก่อนภิกษุ ก็เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร ? "
        ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า
        โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
        ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ"
        พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
        "ดูก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ?"
        ภิกษุรูปนั้น กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
        ภิกษุอีกรูปนึ่ง ได้กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ"
        พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
        "ดูก่อนภิกษุ ก็เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร ?"
        ภิกษุรูปนั้น กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
        ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ"
        พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
        "ดูก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ?"
        ภิกษุรูปนั้น กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
        ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ"
        พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
        "ดูก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ?"
        ภิกษุรูปนั้น กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
        ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ"
        พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
        "ดูก่อนภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ?"
        ภิกษุรูปนั้น กราบทูลว่า
        "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่หายใจเข้า แล้วหายใจออก หรือหายใจออก แล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
        ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล"
        เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
        "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า
        โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า
        โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า
        โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่ฉันบิณบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า
        โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้ประมาทเจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายช้า ส่วนภิกษุใด ย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า
        โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ ชั่วขณะที่เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ และภิกษุใด ย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า
        โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ ชั่วขณะที่หายใจเข้า แล้วหายใจออก หรือหายใจออก แล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้ เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่ประมาทย่อมเจริญมรณัสสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแรงกล้า
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลาย จักเป็นผู้ไม่ประมาท จักเจริญมรณัสสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอย่างแรงกล้า
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล"

มรณัสสติสูตร ๒๒/๓๑๕

อาพาธสูตร(คิริมานนทสูตร)      มรณัสสติสูตร(ที่ ๒)