ตายไม่สูญ..ตายแล้วไปไหน
 หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

หลวงพ่อปานกับขรัวอีโต้ ตอน ๒
อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

   ต่อมาแกก็กลับคุยกับหลวงพ่อ ตอนกลางคืน แกไปนอนห้องเดี่ยวกับหลวงพ่อ ฉันก็นอนอยู่ใกล้ ๆ แก ตอนก่อนจะค่ำเรียกว่าตอนค่ำใหม่ ๆ แกมีลอบเล็ก ๆ ของแกอยู่ลูกหนึ่ง แกทำอย่างนี้อยู่ ๒ วัน พอถึงวันที่ ๓ ฉันก็สงสัย สงสัยว่าธนบัตรใบละ ๑๐ บาท นี่มันจะมาจริง ๆ ก็เป็นของอัศจรรย์ ก็ผลัดกันอยู่ยามเฝ้ายามว่าเวลาที่แกเอาลอบไปไว้นี่แกเอาธนาบัตรใส่ไปรึเปล่า สังเกตว่าเวลาที่แกเอาลอบไปไว้แกไม่ได้ใสธนบัตรเป็นลอบเปล่า ๆ เวลาเช้ามืดเป็นยามของฉัน ฉันอยู่ยามตอนเช้ามืด ก่อนที่แกจะมากู้ลอบของแก ฉันก็ย่องขึ้นไปก่อน ไปจับเอาลอบลงมาดูมีธนาบตรใบละ ๑๐ บาทใหม่เอี่ยม มีอยู่จริง ๆ แล้วฉันก็เอาไปเก็บไว้

   สักครู่หนึ่งแกก็มาดูลอบของแก เอาลอบลงปรากฏว่าไม่พบธนบัตร เสียงแกด่าพ่อแม่ขรมหมด หลวงพ่อปานเปิดหน้าต่างออกมาถามว่าอะไร แกบอกว่าพระของท่านขโมยสตางค์ผม หลวงพ่อปานก็ถามว่าใครขโมยไป รักปากท่านว่ากระผมเองขอรับหลวงพ่อ ถามว่าขโมยของเขาทำไม ก็เลยบอกว่าไม่ได้ขโมย บอกว่าอยากจะพิสูจน์ดูว่าขรัวอีโต้นะดักเงินได้จริง ๆ หรือเปล่า แล้วหลวงพ่อปานก็ถามว่าผลพอสูจน์เป็นประการใด ก็กราบเรียนกับท่านว่า เวลาที่ขรัวอีโต้เอาลอบไปไว้กระผมก็ขึ้นไปดูไม่มีเงิน

   แล้วเมื่อคืนนี้ผลัดกันอยู่ยาม ๓ องค์ก็ไม่เห็นขรัวอีโต้เอาสตางค์ไปไว้เวลาไหน ทีนี้ตอนเช้าตรูไปดูก็ปรากฏว่าพบธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ที่เอาลงมานี้ไม่ได้ตั้งใจขโมย อยากจะลองพิสูจน์ดูว่าถ้าแกแน่ใจว่าลอบของแกดักเงินได้จริง ๆ แกก็ต้องโวยวายด่าแบบนี้ แสดงว่าการดักเงินเป็นผงจริง หลวงพ่อปานก็หัวเราะ หันไปบอกขรัวอีโต้ว่านี่เขาลองพิสูจน์ความดีของเราน่ะ เราจะเอะอะโวยวายไปยังไง แล้วแกก็เลยบอกว่า ในเมื่อเขาคิดอย่างนั้นก็ต้องทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะหาว่าไม่ดีจริง นี่เป็นเรื่องของขรัวอีโต้นะตอนดักเงิน

   วันรุ่งขึ้นตอนหัวค่ำหลวงพ่อปานก็เรียกฉันเข้าไป บอก เออ คุณ นี่ขรัวอีโต้เขามาอยู่กับเรา เขาหาเงินของเขาได้วันละ ๑๐ บาท แล้วเขาก็เอาเงินของเขานี่ไปซื้อกับข้าว ซื้อหมูซื้อเนื้อ เอามาเลี้ยงพวกเราบ้าง เขากินบ้าง รู้สึกอายเขานะ ความจริงเขาเป็นแขกเราน่าจะเลี้ยงเขา นี่เขามาเลี้ยงเรานี่น่าอายเขา เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเรามันเป็นคนจนไม่สามารถจะดักเงินดักทองได้ คืนวันนี้ เธอไปเอาเบ็ดราวนะ ไม่ทราบว่าพ่อปานเอามาจากไหน เบ็ดราวที่เขาเชือกผูกแล้วเอาเบ็ดผูกเป็นระยะ ๆ ที่เขาดักปลาน่ะ

   ท่านบอกว่าในห้องมีเบ็ดราวอยู่ราวหนึ่ง เธอเอาไปขึงจากยอดต้นจามจุรีต้นนี้นะ แล้วเอาไปผูกไว้ที่ยอดต้นหางนกยูงต้นโน้น เราจะดักปลาในอากาศเอามาเลี้ยงขรัวอีโต้บ้าง ถามขรัวอีโต้ บอกว่าอยากกินปลาอะไร ขรัวอีโต้ก็บอกไอ้เรื่องปลานี้มันอยากทุกปลา แต่ว่าสิ่งที่ชอบที่สุดมันมีอยู่ ๒ อย่าง คือหัวกับพุง อยากจะได้ไอ้ปลาช่อนหรือปลาชะโดนะไอ้ที่มันพุงใหญ่ ๆ มีไข่เต็มอก ไข่เม็ดใหญ่ ๆ ชอบกินพุง กับไข่ต้มยำ

   หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่าได้ พวกเรานี่ต้องหาปลาเลี้ยงเขานะ ก็ชักสงสัยถามว่า หลวงพ่อขอรับ พระลงเบ็ดหาปลาได้รึขอรับ ท่านบอกว่า ถ้าปลาอยู่ในน้ำ ปลาอยู่ในหนอง ปลาอยู่ในคลอง ปลาอยู่ในบึง อย่างนี้ถ้าเรานำมา เป็นโทษในทางปาณาติบาต แต่ว่านี่เราลงเบ็ดบนอากาศนี่ ถ้าปลาบินขึ้นมากินเบ็ดของเราเอง อย่างนี้เราถือว่าปลาตัวนั้นถึงที่ตาย เราไม่บาป หรือมิฉะนั้นก็เทวดาบันดาลให้ปลาตัวที่ที่ถึงที่ตายมาติดเบ็ดของเรา ท่านว่าอย่างนั้น

   ตอนพูดนี้ไม่ใช่พูดกับฉันคนเดียวนะ พระทั้งวัดกำลังมารวมกันอยู่ที่หน้ากุฏิ หลวงพ่อปานพูดแบบนี้แล้วก็สั่งให้ฉันไปหยิบเบ็ดราว ฉันไปหยิบเบ็ดราวมาแล้วไปขึงตามท่านว่า พอถึงเวลาเช้า เวลาเช้าตรู่พอแสงทองขึ้น ท่านก็เรียกฉันว่า ลิงดำเอ้ย ไปปลดปลาซิลูก ประเดี๋ยวจะได้ต้มยำเลี้ยงขรัวอีโต้เขา พระทุกองค์ที่ได้ฟังต่างคนต่างวิ่งไปดูที่เบ็ด ปรากฏว่ามีปลาชะโดบ้าง ปลาช่อนบ้าง ตัวขนาดใหญ่ ถ้าทำเป็นริ้วก็เห็นจะถึง ๗ - ๘ ริ้ว สักสิบตัว ติดห้อยแขวนต่องแต่งอยู่ รู้สึกว่าปลาขณะไปเห็นยังจะมีชีวิตอยู่ แต่ว่าพอปล่อยเบ็ดลงมาแล้ว พอปล่อยเชือกลงมา พอลงมาถึงดินก็ปรากฏปลาทั้งหมดตาย เป็นปลาตายสด แล้วเอามาต้มกินกันอร่อยเหมือนปลาธรรมดา หัวพุง ไข่ยังงี้ เป็นที่ชอบใจขรัวอีโต้

   ในขณะที่ขรัวอีโต้อยู่นั้นหลวงพ่อปานท่านสั่งให้ลงเบ็ดทุกวัน หลวงพ่อปานเป็นคนหาปลา ขรัวอีโต้ก็เป็นคนเอาสตางค์จ่ายของอย่างอื่นเอามาผสมกับปลา จะแกงอะไร จะต้มอะไร จะผัดแบบไหนก็หาผสมด้วยเงินของแก แต่เนื้อปลา พุงปลา หัวปลา ไข่ปลา เป็นของหลวงพ่อปาน พวกพระทุกองค์ก็พลอยกินปลาสดไปตาม ๆ กัน นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์

   เมื่อขณะที่ขรัวอีโต้อยู่ท่านทำแบบนั้น พอขรัวอีโต้กลับไปแล้วฉันขอให้ท่านทำ ท่านไม่ทำเพราะว่าไม่มีคู่แข่งขันนี่ เรื่องนี้มันไม่ใช่ปลาจริง ท่านบอกว่าใบไม้ทั้งนั้นแหละคุณปลาที่มาห้อยที่เบ็ดน่ะใบไม้ ฉันเป็นศิษย์หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นเวลาคนมาทำโบสถ์ ท่านเอาใบไม้ทำปลาไว้ในสระให้คนทำโบสถ์กิน แต่นี้ของเราเอาเบ็ดขึ้นไปลงบนยอดไม้ จะลงหรือไม่ลงต้องการเมื่อไรมันก็ได้เมื่อนั้น ถ้าเราคิดอยากจะกินปลาขึ้นมาจริง ๆ ก็เอาใบไม้มาอธิษฐานให้มันเป็นปลา จะเป็นอะไรก็ได้ จะกินให้มีรสอร่อยอย่างไรก็ได้ แต่ว่าอย่าทำเลยนะ อย่าตามใจลิ้นที่มีกิเลส แต่ว่าถึงแม้ว่าท่านไม่ห้ามฉันก็ไม่ทำ

   ตอนนี้มาพูดกันถึงคุณสมบัติของขรัวอีโต้อีกปราการหนึ่ง เวลาคนไข้มา ถ้าคนไข้เป็นโรคปวด โรคเมื่อย เป็นแผล ฟกช้ำดำเขียวที่ไหน แกก็บอกว่าแกจะทำน้ำมนต์ให้ แล้วแกก็ให้คนไข้เอามะพร้าวมา ๑ ลูก เอาดินเหนียวมา ๑ ก้อน แกขูดมะพร้าวเสร็จแกก็เอามาขยำกับดินเหนียว ขยำไปขยำมาไอ้น้ำมันมะพร้าวมันไหลออกมามีสีเหมือนน้ำมันเคี่ยว แล้วมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำมันที่เคี่ยวแล้ว แล้วให้คนเอาไปทารักษาโรคหาย

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5