พระอนาคตวงศ์
กัณฑ์ที่ ๕

 


พระสุมงคล
จบตอน

       ครั้งนั้นสมเด็จพระกุกกุสนธสัพพัญญญูทรงทราบวาระน้ำจิตแห่งบรมจักร์มหาปนาทปรารถนาจะบรรพชาบวชในพระพุทธศาสนา จึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า “ ดูก่อนอัฏฐบริกขาร ๘ ประการ บัดนี้บุคคลมีชื่อโน้น ปรารถนาจะทรงบรรพชาบวช ท่านจงไปยังสำนักแห่งบุคคลผู้นั้นเถิด ฯ ” ขณะนั้นเครื่องอัฏฐบริกขารทั้ง ๘ ประการ ก็ลอยมาตกลงตรงพระพักตร์แห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทด้วยพุทธนุภาพ ฯ

       ครั้นสมเด็จพระบรมจักร์มหาปนาท ทรงเห็นเครื่องอัฏฐบริกขาร ๘ ประการพร้อมแล้ว ด้วยเดชะนุภาพแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอัศจารรย์ยิ่งนัก ก็ ทรงยกเครื่องอัฏฐบริกขารขึ้นทูลเหนือพระเศียรเกล้าแล้วออกพระวาจาว่า “ ดูก่อนอัฏฐบริกขาร ๘ ประการผู้เจริญ เราอาศัยซึ่งท่านจักใคร่ออกสังสารทุกข์ให้ได้พบเห็นพระนิพพาน อันประเสริฐสุดโลกวิสัยตรัสเท่านั้นแล้ว ก็เปลื้องเครื่องราชอาภรณ์ของพระองค์ออกจากพระสรีรกาย ทรงสะบงครองจีวรสังฆาฏิคาดกายพันธ์มั่นคง

       ทรงบรรพชาเป็นพระภิกษุภาวะเสร็จแล้ว จึงเอาพระมงกุฏแก้ววางลงในฝ่าพระหัตถ์ตรัสว่า “ ดูก่อนมงกฏแก้ว ท่านจงไปยังสำนักแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้ากราบทูลแจ้งประพฤติเหตุข่าวศาส์นแก่พระองค์ว่า บัดนี้พระเจ้ามหาปนาทบรมจักร์ เสียสละศิริราชสมบัติออกทรงบรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความปรารถนาเพื่อจะมายังสำนักสมเด็จพระทศพลญาณ ท่านจงไปกราบทูลศาส์นแด่สมเด็จพระพุทธองค์ด้วยประการดังนี้ฯ

       พระองค์ทรงพระอธิษฐานฉะนี้แล้ว มงกฏแก้วของพระองค์ก็ลอยเลื่อนไปในอากาศเวหา ประดุจว่าพระยาสุวรรณราชหงส์ลงยังสำนักแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่แทบฝ่าพระบาท กราบทูลประพฤติเหตุดังนั้นแก่สมเด็จพระกุกกุสนธ์ ประดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ สมเด็จพระบรมโลกุตตมาจารย์ ก็มีพระพุทธฏีการับว่าสาธุ ฯ

       ลำดับนั้นพระยามหาปนาทซึ่งทรงเพศเป็นภิกษุ ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามบ้าน ได้อาหารพอเป็นยาปนมัตต์บริโภคสำเร็จแล้ว ก็เจริญพระกัมมัฏฐานอยู่ในที่อันสมควร พิจรณาซึ่งพระพุทธคุณมีพระ อิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ และพระกายคตาสติกัมมัฏฐานมีเกษาเป็นต้น เจริญไปด้วยความอุตสาหะดังนั้น ยังโลกียฌานให้บังเกิดขึ้น

       ในขณะนั้นแล้วเหาะไปโดยอากาศเวหา ถึงสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า ได้ทัสสนาการพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธ์ อันประดับไปด้วยพระทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ และพระอสีตยานุพยัญชนลักษณะงามบริบูรณ์พร้อมทุกประการ ก็บังเกิดความปีติเต็มตื้นซาบทั่วสรรพางค์ตลอดสิ้นสกลกายก็สลบลงในที่นั้น

       สมเด็จพระภควันตบพิตรเจ้า ทรงเอาอุทกวารีมาประพรมลงเหนือพระอุระก็ฟื้นสมปฤดีขึ้นมา แล้วถวายนมัสการกราบลงด้วยเบ็ญจาคประดิษฐ์แทบพระบาท กราบทูลอาราธนาให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนา ฯ ครั้งนั้นสมเด็จพระกุกุสนธบรมทศพลญาณ ก็ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า “ ดูก่อนภิกษุ ท่านจงพิจารณาซึ้งสภาวธรรม ที่จะนำตนไปสู่พระนิพพานเถิด ” มีพระพุทธบรรหารตรัสดังนี้

       ฝ่ายพระเจ้ามหาปนาทบรมพุทธางกูร ได้ทรงสดับกระแสพระพุทธฏีกาตรัสเป็นนัย ดังนั้นพระองค์ก็มีปีติซาบซ่านทั่วสกลกาย จึงทรงพระอธิษฐานเด็ดพระเศียรเกล้าด้วยเล็บของพระองค์ ทรงกระทำสักการบูชา แทบพระบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ฝ่ายพระเศียรเกล้านั้น จึงกราบทูลพระกรุณาว่า

        “ ภนเต ภควา ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเจ้า พระองค์ได้โปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อนข้าพระบาท ข้าพระบาทก็มีควมปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อภายหลัง ด้วยผลศีลทานของข้าพระบาทในครั้งนี้ ขอเชิญองค์อัครมุนีผู้ทรงพระภาคเจ้าจงเสด็จเข้าสู่พระนิพพานก่อนข้าพระบาทเถิด ข้าพระบาทขอตามเสด็จพระพุทธองค์เจ้าเข้าสู่พระนิพพานต่อภายหลัง ”

       พอขาดคำลงแล้ว พระเจ้าปนาทก็ดับขันธ์สิ้นชีวิตอินทรีย์ ไปบังเกิดในดุสิดาสวรรค์เสวยทิพย์ศิริเป็นสุขสถาพร ไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า จะได้ตรัสเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ฯ ดูก่อนสำแดงสารีบุตรฝูงสัตว์ทั้งหลายไม่ได้มรรคและผลธรรมวิเศษในพระศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระตถาคตเป็นต้น มีพระดิสสะเป็นปริโยสานแล้วก็ให้มหาชนปรารถนาไปให้เห็นพระศาสนาช้างปาลิไลยหัตถีที่ได้เป็นพระบรมจักร์มหาปนาทนี้

       ซึ่งจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลทรงพระนามว่า พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะได้มรรคและผลธรรมวิเศษสิ้นสังสารทุกข์ทั้งปวง เข้าสู่พระอมตะมหานครนิพพาน ฯ แสดงมาด้วยเรื่องราวช้างปาลิไลยหัตถีบรมโพธิสัตว์เป็นคำรบ ๑๐ ก็สิ้นความยุตติแต่เพียงนี้ ฯ

อวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้