พระวิธูรบัณฑิต ๒
๔   ได้สดับก็เกิดโสมนัสปีติยินดี ท้าวอมรินทร์บูชาด้วย  ผ้าวิเศษทุกุลพัสตร์ มีเนื้อละเอียดเหงื่อไคลไม่สามารถจะจับได้ พร้อมกับตรัสว่า   “ผ้าทิพย์ผืนนี้ข้าพเจ้าขอบูชาธรรม”
   พญาครุฑก็บูชาด้วย    ดอกไม้ทอง
   ส่วนนาคก็บูชาด้วย   แก้วคล้องอยู่ที่พระศอ
   พระเจ้าโกรพทรงบูชาด้วย   โคนมถึงพันตัว

  แล้วต่างองค์ต่างก็กลับยังสถานที่อยู่ของตน พญานาคพอกลับลงไปถึงบาดาล วิมาลามเหสีเห็นแก้วที่ห้อยพระศอพญานาคหายไปก็ถามขึ้น พญานาคก็ตอบว่าได้บูชาธรรมที่วิธูรบัณฑิตแสดงไปเสียแล้ว

   วิมาลามเหสีก็อยากจะสดับธรรมบ้าง แต่เห็นว่าตนจะขึ้นไปฟังธรรมก็ไม่ได้ จะเอาวิธูรลงมาเทศให้ฟังก็คงไม่มีทางเพราะท้าววรุณนาคราชคงไม่อาจจะทำได้ เพราะเคารพเจ้าวิธูรมาก ทำอย่างไรจึงจะได้ฟังธรรม เห็นจะต้องใช้กลอุบาย ดังนั้นนางจึงทำเป็นป่วยไม่สบายไป เมื่อท้าววรุณนาคราชมาถามก็แกล้งทำเป็นอิดเอื้อน และแกล้งทำเป็นเฉยเสียไมได้ตอบว่า

   “ขอเดชะ กระหม่อมฉันป่วยไข้ครั้งนี้ ถ้าไม่เห็นหัวใจเจ้าวิธูรมาแล้วเห็นจะไม่มีชีวิตต่อไป แต่ว่าต้องได้มาโดยชอบธรรม คือเจ้าตัวยินดีจะให้ด้วย” ท้าววรุณก็หนักใจจึงปรารภกับพระนางว่า
   “น้อง เรื่องนี้เห็นจะยาก เพราะเจ้าวิธูรนั้นพระเจ้าแผ่นดินรักษากวดขันนัก เพียงแต่จะได้เห็นก็ยังยากอยู่ แล้วใครเลยจะสามารถไปเอาตัวเจ้าวิธูรมาได้ เห็นจะไม่สำเร็จเสียแล้ว”

     เมื่อเห็นว่านางยังมีอาการเช่นเดิม ท้าวเธอก็กลัดกลุ้มกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอมผิดปกติไป อิรันทตีผู้เป็นราชธิดาเห็นจึงสอบถามได้ความว่า มารดาอยากได้หัวใจเจ้าวิธูร จึงทูลว่า
   “ขอเดชะ หากพระราชบิดาไม่มีความสามารถแล้ว กระหม่อมฉันจะขอรับอาสาที่จะนำหัวใจเจ้าวิธูรมาให้พระมารดาให้ได้” พร้อมกับทูลลาไป ท้าววรุณนาคราชก็อวยพรให้ได้การให้ไปได้รับความสำเร็จกลับมา

     อิรันทตีเมื่อออกจากวังแล้ว ก็แทรกน้ำขึ้นมายังเมืองมนุษย์โลก และเหาะไปยังเขากาลคีลีอันสูงถึง   ๖๐ โยชน์   ครั้นถึงแล้วก็ตกแต่งชะง้อนหินแห่งหนึ่งด้วยดอกไม้หลายหลาก และตนเองประดับประดาเครื่องแต่งตัวอย่างงดงาม ยืนฟ้อนรำขับร้องอยู่ยังสถานที่นั้น

     ข้อความขับร้องนั้นก็พรรณนาถึงความงามของนางและความปรารถนาที่นางจะได้ดวงใจของเจ้าวิธูร มิว่าผู้ใดทำให้สำเร็จความประสงค์ของนางได้ นางจะมอบตัวให้เป็นคู่ครองของผู้นั้น

     ในขณะนั้นเองยักษ์เสนาบดีของท้าวกุเวร หรือเรียกอย่างหนึ่งว่า ท้าวเวสสุวัณ อันมีนามว่าปูณณกะ เผอิญขี่ม้าเหาะผ่านมาทางนั้น พอได้ยินเสียงนางก็รู้สึกเพราะจับจิตจับใจเหลือเกิน จึงเข้าไปสอบถาม เมื่อทราบความแล้วก็กล่าวว่า
   “แม่อิรันทตี นี่เป็นเรื่องเล็กเหลือเกิน ข้าพเจ้าอาสาจะนำหัวใจเจ้าวิธูรมาให้แม่ให้ได้ และเมื่อนั้นก็จะขอตัวเจ้าเป็นคู่ครอง”
   “ถ้าท่านทำได้อย่างปากว่า ข้าพเจ้าก็ยินดี” ปูณณกะยักษ์ขับเข้าม้าเข้ามาใกล้นาง พลางกล่าวชวนเชิญนางขึ้นหลังม้าเพื่อจะพานางไป แต่นางท้วงว่า
   “หากท่านปฎิบัติงานสำเร็จ ได้ดวงใจเจ้าวิธูรมาให้มารดาแล้ว ข้าพเจ้ายินดีเป็นคู่ครองของท่าน แต่เวลานี้ต้องขอตัวก่อน”
   “ถ้าอย่างนั้นอีก   ๒ - ๓ วัน   เราจะนำหัวใจเจ้าวิธูรมา”
   “ขอให้ท่านจงโชคดีเถิด”

     แล้วปุณณกะยักษ์ก็ขับม้ากลับไปยังสถานที่ของตน ปุณณกะยักษ์จะขาดเฝ้ามิได้ จึงคิดหาอุบายหลีกเลี่ยงไม่ต้องเฝ้าท้าวเวสสุวัณ พอดีวันนี้มีคดีระหว่าง   ๒ ยักษ์เกิดขึ้น   เรื่องถึงท้าวเวสสุวัณตัดสิน ปุณณกะยักษ์รู้ดีว่าถ้าไปลาเพื่อจะออกไปเอาหัวใจเจ้าวิธูรก็จะไม่ได้รับอนุญาต

     จึงไปแอบที่หลังของยักษ์ที่ชนะหมอบกราบอยู่ พอท้าวเวสสุวัณตรัสกับผู้ชนะว่า ไปได้ เป็นคำอนุญาติแล้วขึ้นมา คิดว่าจะไปจับตัวเจ้าวิธูร แล้วก็กลับมาคิดได้ว่าเจ้าวิธูรมีข้าทาสบริวารมากมายเห็นจะไม่ได้ และเห็นกลอุบายอย่างหนึ่ง เพราะเขาทราบมาว่าพระเจ้าโกรพทรงติดสกางอมแงม ถ้าใครไปเล่นก็มีหวังจะแพ้ เพราะพระองค์ทอดแต้มลูกสกาได้อย่างกับมือผีพลิก
     ก็จะอะไรเสียอีก มือผีพลิกจริง ๆ ปุณณกะยักษ์เห็นชนะพระเจ้าโกรพได้ง่าย ๆ ดังนั้นจึงเอาแก้วมณีชื่อมโนหรได้แล้ว ก็ควบม้าตรงไปยังอินทปัตย์

     ครั้นมาถึงก็ตรงเข้าไปเฝ้า ท้าวเธอก็ตรัสถามเป็นเชิงสนทนา ปุณณกะยักษ์ก็ได้ตอบตามสมควรพร้อมกับกล่าวว่า
   “ขอเดชะ ข้าพระองค์ได้ทราบข่าวว่าพระองค์เชี่ยวชาญทางสกานัก ข้าพระองค์จึงได้ดั้นด้นมมาเพื่อจะดูแต้มสกาของพระองค์สักหน่อย”
   “พระเจ้าโกรพทรงพระสรวลด้วยความพระทัย พร้อมกับตรัสว่า
   “เชื่ออะไรใครว่าเราเก่ง เราเดินได้เพียงเล็กน้อย เล่นแก้รำคาญล่ะมากกว่า”
   “ข้าพระองค์อยากเห็นจริง ๆ”
   “ได้ แต่ท่านมีอะไรมาวางเป็นเดิมพันล่ะ”

     ปุณณกะยักษ์ขยายเอาแก้วมโนหรออกมา แสงสว่างก็รุ่งเรืองพราวพรายไปทั่วทั้งบริเวร พร้อมกับทูลว่า
   “ของเล็กน้อยเช่นนี้ พอจะเดิมพันได้หรือยัง”
   “ได้ พอดีเสียอีกน่ะสิ”
   “ม้าของท่านดีอย่างไร?”
   “ม้าของข้าพเจ้ามีความเร็วหาที่เปรียบมิได้ เพราะว่าความเร็วของมันจะว่าอย่างลดก็เร็วกว่าลม ควรจะบอกว่าเร็วกว่าลมกลดพระเจ้าค่ะ” ถ้าเป็นสมัยนี้ล่ะก็ คงจะเร็วยิ่งกว่าจรวด หรือไอพ่นทุกชนิดรวมกันอีก

     พระเจ้าโกสพจึงตรัสให้ทดลองให้ดู พระนครนั้นวัดวงกลมได้   ๑๒ โยชน์ ปุณณกะยักษ์จึงเอาผ้าแดงคาดเอวแล้วก็ขึ้นม้า พลางร้องทูลว่า
   “ขอพระองค์ทอดพระเนตรความเร็ว แล้วก็ขับควบออกไปบนกำแพงพระนคร สักครู่ก็แลไม่เห็นตัวม้าและคนขี่ เห็นแต่สีแดงพาดเป็นแผ่นเดียวกันตลอดรอบพระนคร เมื่อขับขี่พอสมควรแล้วก็ลงจากหลังม้า บอกให้ม้าโดดลงในสระม้าก็วิ่งลงไป แม้น้ำก็ไม่กระเพื่อม วิ่งไปแล้วก็ขึ้นมา บอกให้วิ่งแสดงตัวเบา ม้าก็โดดลงโผบนใบบัวนิ่งอยู่บนใบบัวก็ไม่จมน้ำ

     พระเจ้าโกรพจึงตรัสกับปุณณกะยักษ์
   “ความเร็วและความวิเศษของม้าเราได้เห็นแล้ว ทีนี้ความดีของแก้วล่ะ”
   “ขอเชิญพระองค์ทอดพระเนตร ทรงนึกว่าดูอะไรก็โปรดนึกแล้วจะทอดพระเนตรเห็นจริง” แล้วก็แลดูไปก็เห็นจริงตาม

     แล้วก็แลดูไปก็เห็นจริงตามมาณพว่า แม้ในนรก สวรรค์ก็เห็นได้ดังใจนึก เมื่อพระเจ้าโกรพทอดพระเนตร
   “วิเศษจริง ๆ”
   “ข้าพระองค์เอาแก้วกับเอาม้าตัวนี้เป็นเดิมพันของการพนันสกา” แล้วทูลต่อไปว่า
   “แล้วพระองค์เอาอะไรเป็นเดิมพัน”
   “มาณพ ถ้าเราแพ้แก่ท่านเราจะยกราชสมบัติและแผ่นดินทั้งปวงที่เราครองให้แก่ท่าน ยกเว้นเรา เศวตฉัตร และอัครมเหสีเท่านั้น”
   “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลง ขอพระองค์ได้โปรดจัดสถานที่ ๆ จะเล่นเถิด” พระโกรพก็สั่งให้จัดที่

     เมื่อประจำที่ พระเจ้าธนญชัยโกรพก็ตรัสให้ปุณณกะยักษ์ให้ท้าวเธอทอดก่อน เพราะท้าวเธอถือแต้มลูกบาศสูงกว่า ท้าวเธอก็เริ่มขับมนต์สรรเสริญมารดาและขอให้นางผู้เป็นมารดร ซึ่งเป็นอารักขเทพมาช่วยพลิกลูกสกาให้มีแต้มดีชนะแก่ปุณณกะยักษ์ แล้วก็ทอดไป ด้วยอภินิหารของปุณณกะยักษ์ บังคับให้ออกแต้มไม่ดีแต่ยังไม่ตกถึงพื้น พระเจ้าธนญชัยโกรพทรงมองเห็นลางแพ้ ก็รีบรับลูกบาศก่อนจะตกถึงพื้น แล้วทอดลูกใหม่ลูกบาศก็แต้มอย่างเดิมอีก

     พระองค์ก็รับไว้อีก เป็นอย่างนี้ถึง   ๓ ครั้ง ปุณณกะยักษ์ชักเอะใจ เออ กษัตริย์องค์นี้ช่างว่องไวหนักหนา เรายังคับลูกบาศเพื่อจะให้แพ้ แต่ท้าวเธอก็รับไว้เสียก่อนตกพื้นถึง ๓ ครั้ง คงจะมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ จึงเล็งแลเห็นนางเทพธิดามาคอยช่วงรับลูกบาศ จึงถลึงตาเป็นเชิงโกรธ

      นางเทพธิดานั้นเห็นปุณณกะยักษ์ถลึงตาใส่ก็กลัว เพราะอนุภาพของปุณณกะยักษ์นั้นไม่ใช่น้อย เป็นถึงยักษ์เสนาบดีมีมหิทธานุภาพมากมายนัก จึงหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนั้นอย่างอกสั่นขวัญแขวนทีเดียว ไปถึงขอบจักรวาลแล้วก็ยืนหอบหายใจ ใจเต้นเป็นตีกลองอยู่นั้นเหละ เออ น่ากลัวจริง ๆ

หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4