หลวงพ่อจวน ภูทอก ท่านได้จำพรรษาที่ภูสิงห์ ท่านไปเดินจงกรมบนยอดเขา เวลาเดินไปท่านก็พิจารณาใน
กายคตานุสติกรรมฐาน ได้แก่อาการ ๓๒ ของร่างกายมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ตับ ไต ไส้ ปอด เป็นต้น โดยพิจารณาเบื้องต้นต่ำตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมาเบื้องสูงถึงปลายผม และจากปลายผมลงมาเบื้องต่ำถึงฝ่าเท้า ว่าทุกส่วนของร่างกายมันเต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยปฏิกูลของโสโครก
การพิจารณาอย่างนี้เป็นสมถภาวนา และในด้านวิปัสสนาภาวนา ก็คิดว่านอกจากมันจะสกปรกแล้ว มันยังเป็นอนิจจังหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ คือไม่มีการทรงตัว เกิดมาแล้วก็เปลี่ยนแปลงคือโตขึ้น พอถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เปลี่ยนสภาพทรุดตัวลงคือแก่ เรียกว่ามีความเสื่อมไปทุกขณะจิตที่ล่วงไป หรือทุกลมหายใจเข้าออกที่ผ่านไป
มันเป็นความเสื่อมของร่างกายและร่างกายก็เป็นปัจจัยของความทุกข์ เพราะเมื่อเรามีร่างกายอยู่ มันมีความหิวความกระหาย มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการกระทบกระทั้งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปราถนาไม่สมหวังนานาประการ สิ่งเหล่านี้รบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะทุกข์คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ
ตัวต้นเหตุของความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็เพราะเราเกิดมีร่างกายตัวเดียว
หลวงพ่อจวนท่านเดินพิจารณาอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เมื่อพิจารณาไป ๆ จิตก็เข้าถึงสมถะและวิปัสสนา คืออารมณ์เป็นสมาธิ
ที่อารมณ์เป็นสมาธิก็เพราะมีการทรงตัวคิดเฉพาะเรื่องกายอย่างเดียว อารมณ์ทรงสมาธิไม่ใช่มีแต่
การภาวนา อย่างเดียว
การพิจารณาก็เป็นสมาธิได้ ขณะใดที่พิจารณาอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ก็หมายถึงเป็นสมาธิในกองนั้น
เมื่อเป็นสมาธิแล้วก็เป็นทั้งสมถะด้วยวิปัสสนาด้วย จิตก็เริ่มสะอาดจากกิเลส เมื่อจิตสะอาดจากกิเลสอารมณ์ของจิตก็เริ่มเป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์จิตเป็นทิพย์ จิตก็สามารถจะสัมผัสกับกลิ่น แสง เสียง สี และสิ่งที่เป็นทิพย์ได้
ฉะนั้น ขณะที่ท่านพิจารณาไปเดินไปเดินมาอยู่นั้นก็ได้กลิ่นแปลก ไม่ใช่กลิ่นสุนัขเน่าหรือคนเน่าเหม็นคาวของคน มันเป็นกลิ่นที่ไม่เคยปรากฏก่อน ท่านก็เดินไปใคร่ครวญพิจราณาขันธ์ ๕ ไป จิตก็จิตสัมผัสกลิ่นอะไป ในที่สุดท่านก็สงสัยว่ากลิ่นอะไร ท่านก็ใช้กำลังของทิพพจักขุญาณถามว่า กลิ่นที่ได้รับเป็นกลิ่นอะไร จิตก็ตอบว่า กลิ่นที่ได้รับสัมผัสนั้นเป็นกลิ่นเปตร เมื่อทราบว่าเป็นเปตร ท่านก็อุทิศส่วนกุศลให้ดังนี้
บุญใดที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่จนถึงปัจจุบัน ผลบุญนี้จะผลแก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนาบุญนี้ รับผลเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
พอท่านนึกอธิษฐานจิตอุทิศส่วนกุศลให้เท่านั้น กลิ่นก็หายไป หลังจากนั้นท่านเลิกเดินจงกลมแล้วมานั่ง ท่านเห็นผู้หญิงสองคนเดินมาข้าง ๆ ท่านก็ถามว่า เธอสองคนเป็นใครและเป็นอะไรกัน เธอก็ตอบว่า เธอทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ท่านถามว่า คนไหนเป็นพี่ เธอก็ชี้ตัวเธอเป็นพี่ ท่านถามว่า คนไหนเป็นน้อง เธอก็บอก คนนี้เป็นน้อง ถามว่า เวลานี้เป็นอะไร เธอก็ตอบว่า
เป็นเปตรที่แสดงตน ท่านถามคนพี่ว่า ชื่ออะไร เธอตอบว่า ชื่อนางสาวทาและน้องชื่อนางสาวสีบวกกันสองคนเป็นทาสี
ถามว่า ทำไมตายแล้วจึงมาเป็นเปตร
เธอตอบว่า สมัยที่เธอมีชีวิตอยู่ เธอเอาตัวหม่อนมาต้มเอาใยไหม อันนี้เป็นปัจจัยให้เธอเกิดเป็นเปตร
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างว่า ตายแล้วไม่สูญ ถ้าหากเรามาพิจรณากายคตานุสสติ ก็พิจรณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้เป็นเปลือกที่เราอาศัยชั่วคราว ไม่มีการทรงตัว ถ้าเรายึดถือมันเกินไป มันก็เป็นทุกข์ เพราะร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วเราคือใคร ก็ต้องไปดูเปตรสองเปตรคือ เปตรทากับเปตรสี ความจริงร่างกายเดิมเธอเขาเผาหรือฝังไปแล้ว แต่สภาพที่ปรากฏนั้นไม่ใช่ร่างกายที่มีเนื้อมีหนังแต่เป็นร่างกายที่เราเรียกว่า อทิสสมานกาย มีการลงโทษ มีการเจ็บปวด เหมือนเราเจ็บปวดเหมือนกัน ถึงแม้จะเป็น
นามธรรม ก็ตาม
ตัวแท้ ๆ ของเราก็เหมือนกับสองสาวคือสาวทากับสาวสีนั้นแหละ
รวมความว่าเรื่อง กายคตานุสสติ นี้มีความสำคัญมาก
สำหรับสมถภวานาเรียกว่า กายคตานุสสติ ถ้าวิปัสสนาภาวนาเรียกว่า สักกายทิฏฐิ มันตัวเดียวกันและเราตัดตัวเดียวคือตักสักกายทิฏฐิ มี ๓ ขั้นตอนคือ
๑ . มีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้จะต้องตาย ไม่ปรามาทในชีวิต เป็นอารมณ์ของพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี
๒ . มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ร่างกายสกปรกโสโครกน่าเกลียด ไม่มีตัญหาเกิดขึ้นจากร่างกาย เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี
๓ . ถ้าจิตวางเฉยในร่างกายทั้งหมด ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นเราก็เฉยหมดอย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
ถ้าวางเฉยได้ไปพระนิพพานได้ ถ้าวางเฉยไม่ได้ไปพระนิพพานไม่ได้ เราต้องตัดสักกายทิฏฐิให้ได้ คือการวางเฉยในร่างกายเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย...