พระสารีบุตรช่วยมารดาในที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติ
เรื่องพระสารีบุตร จากพระไตรปิฏกเล่ม ๒๖ หน้า ๑๖๑ เมื่อพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐานเป็นที่สบายอารมณ์แล้ว ท่านไปแดนเปรตพบหญิงเปรตคนหนึ่งผอมโซมีแต่ซี่โครง เปลือยกายมี้เส้นเอ็นสะพรั่ง ท่านจึงถามว่า เธอเป็นใคร การถามแบบนี้แสดงว่าท่านทราบว่าเปรตนั้นเป็นใคร แต่ระเบียบของพระรู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้
ระเบียบนี้พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นปกติ เปรตตอบว่า เมื่อก่อนในชาติก่อนในชาติที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติ ฉันเป็นมารดาของท่าน เวลานี้ฉันหิวมาก มีความกระหายในอาหาร เมื่อความหิวเกิดขึ้นก็กินน้ำลาย เสมหะ น้ำมูก ที่เขาถ่มทิ้ง กินไขมันเหลวจากซากศพที่เขาเผา กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตร เป็นต้น ลูกเอ๋ย ลูกจงให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้าง แม่จะได้เลิกหิวเสียที
พระสารีบุตรท่านตั้งใจจะช่วยมารดา เมื่อท่านรับรองว่าจะช่วยแล้วท่านก็ปรึกษากับ พระโมคคัลลน์ พระอนุรุทธ พระกับปินะ หรือที่ชาวบ้านหรือพระนักเทศน์เรียกว่า พระกบิน ท่านทั้งหมดช่วยกันสร้างกุฏิ ๔ หลังใน ๔ ทิศ ( สร้างกุฏิเพิงหมาแหงน ) และถวายข้าวหยิบมือหนึ่งกับข้าวหยิบมือหนึ่ง ใส่ใบไม้ และน้ำหนึ่งฝาบาตร ผ้ากว้างคืบ หนึ่งผืน ถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานและวิหารทาน แล้วร่วมกันอุทิศส่วนกุศลให้มารดาพระสารีบุตร ( มารดาคนนี้เคยเป็นมารดาพระสารีบุตรเมื่อ ๑๐๐ ชาติที่แล้วมา ไม่ใช่มารดาในชาติปัจจุบันของท่านซึ่งก่อนตายท่านเป็นพระโสดาบัน )
เมื่ออุทิศกุศลให้แล้ว อานิสงส์บังเกิดดังนี้
ถวายข้าวและน้ำ ทำให้เธอได้ร่างกายที่เป็นทิพย์
ถวายผ้าคืบยาวคืบ เป็นเหตุให้เธอได้วิมานที่สวยงามมาก
ถวายกุฏิเพิงหมาแหงน เป็นเหตุให้เธอได้วิมานที่สวยงามมาก
ถวายน้ำ ๑ ฝาบาตร เป็นเหตุให้เธอได้สระโบกขรณี
เมื่อยามราตีเธอก็ปรากฏกายพร้อมทั้งวิมานและสระโบกขรณีให้พระโมคคัลลาน์เห็นท่านก็ถามว่า เป็นใคร
เธอตอบว่า ฉันคือมารดาพระสารีบุตรที่เป็นเปตร ที่พระสารีบุตรถวายสังฆทานและพระคุณเจ้าช่วยกันสร้างกุฏิถวายสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้
แสดงว่าคนฉลาดรู้จักทำบุญไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก ก็ได้รับอานิสงส์สูง เมื่อให้เขา เบาได้รับเราผู้ทำก็มีผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อให้ใครก็ตามผู้รับก็ผลไม่บกพร่อง...